11 ส.ค. เวลา 12:39 • ยานยนต์

Tesla กำลังฆ่า Uber? เจาะลึกแผนทำลายล้างคู่แข่งด้วยราคา 1 ดอลลาร์ต่อไมล์

หากย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ การเกิดขึ้นของรถยนต์คันแรกเมื่อร้อยกว่าปีก่อน มันได้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตและการเดินทางของมนุษยชาติไปตลอดกาล มันย่อโลกให้เล็กลง และเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
แต่ถ้าการเปลี่ยนแปลงทางคมนาคมครั้งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ได้เกิดขึ้นในอดีต แต่กำลังจะเกิดขึ้นในยุคสมัยของเราล่ะ?
วันนี้ ความฝันเรื่อง “รถยนต์ที่ขับเคลื่อนตัวเองได้” ซึ่งเคยเป็นเพียงจินตนาการในนิยายวิทยาศาสตร์ กำลังจะกลายเป็นความจริงบนท้องถนน และนี่คือจุดเริ่มต้นของสมรภูมิทางธุรกิจครั้งประวัติศาสตร์ ที่เดิมพันด้วยอนาคตของการเดินทางทั้งโลก
2
สมรภูมินี้มีชื่อว่า “สงคราม Robotaxi” หรือหุ่นยนต์รถแท็กซี่
ในสนามรบแห่งนี้ มีผู้เล่นระดับยักษ์ใหญ่ที่ทุกคนรู้จักกันดี พวกเขาคืออัศวินจากต่างสำนัก ที่มีปรัชญาและกลยุทธ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
อัศวินคนแรกคือ Waymo บริษัทในเครือ Alphabet หรือบริษัทแม่ของ Google นั่นเอง Waymo คือผู้บุกเบิก คือนักปราชญ์ผู้สุขุมที่ใช้เวลากว่าทศวรรษในการวิจัยและพัฒนารถยนต์ไร้คนขับอย่างอดทน พวกเขาเปรียบเสมือนคนที่เดินตามตำราทุกหน้า ด้วยความเชื่อมั่นในข้อมูลและความแม่นยำ
อัศวินคนที่สองคือ Uber เจ้าแห่งแพลตฟอร์มเรียกรถที่รู้ดีว่าบัลลังก์ของตนเองกำลังสั่นคลอน Uber ตระหนักว่าหากพวกเขาไม่สามารถก้าวสู่ยุคไร้คนขับได้ อาณาจักรทั้งหมดที่สร้างมาอาจพังทลายลง พวกเขาจึงเปรียบเสมือนยักษ์ใหญ่ที่กำลังดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด
และอัศวินคนสุดท้ายคือ Tesla ผู้ท้าชิงจากนอกสายตาที่เลือกเดินในเส้นทางที่ไม่มีใครกล้าเดิน พวกเขาคือผู้ปฏิวัติที่พร้อมจะฉีกทุกกฎเกณฑ์เดิมๆ และสร้างเส้นทางของตัวเองขึ้นมาใหม่
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ เมื่อ Tesla ได้เปิดฉากสงครามด้วยการเคลื่อนไหวที่ทำให้ทั้งวงการต้องหันมามอง พวกเขาไม่ได้แค่เปิดตัวบริการ Robotaxi ในเมือง Austin แต่ยังขยายพื้นที่ให้บริการด้วยความเร็วที่น่าตกใจ
1
แต่สิ่งที่เปรียบเสมือนการลั่นกระสุนนัดแรกที่สั่นสะเทือนไปทั้งสมรภูมิ คือการประกาศราคาค่าบริการที่เหลือเชื่อ… เพียงประมาณ 1 ดอลลาร์ต่อไมล์
2
คำถามสำคัญจึงเกิดขึ้น… ทำไมราคาเพียงเท่านี้ ถึงกลายเป็นเหมือนคำพิพากษาที่เผยให้เห็น “จุดตาย” ของโมเดลธุรกิจที่คู่แข่งทั้งหมดกำลังเดิมพันอยู่?
เพื่อหาคำตอบ เราต้องเจาะลึกลงไปในใจกลางของสมรภูมิ ที่ซึ่งปรัชญาและเทคโนโลยีของแต่ละฝ่ายกำลังเข้าปะทะกันอย่างดุเดือด
ปัญหาใหญ่ข้อแรกของ Waymo, Uber และพันธมิตร คือสิ่งที่เรียกว่า “กับดักของเทคโนโลยี”
หากเราเคยเห็นรถของ Waymo เราจะคุ้นตากับอุปกรณ์ที่หมุนอยู่บนหลังคา นั่นคือ LiDAR ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ใช้เลเซอร์ยิงออกไปเพื่อสร้างแผนที่สามมิติรอบคันรถ มันให้ความแม่นยำสูงมาก และถูกมองว่าเป็นมาตรฐานสำหรับรถยนต์ไร้คนขับ
1
แต่ความแม่นยำนี้ ต้องแลกมาด้วยต้นทุนที่มหาศาล และที่สำคัญกว่านั้นคือ “ข้อจำกัดในการผลิต”
1
ข้อมูลในอุตสาหกรรมชี้ว่า ทั่วโลกยังผลิต LiDAR ได้ในจำนวนจำกัดมาก รถ Robotaxi หนึ่งคันของคู่แข่งอย่าง Volkswagen ต้องใช้ LiDAR ถึง 9 ตัว นี่จึงกลายเป็นคอขวดขนาดมหึมาที่ทำให้เทคโนโลยีนี้ไม่สามารถขยายตัวในระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว
ในขณะที่คู่แข่งเลือกเส้นทางที่ดูปลอดภัยแต่เต็มไปด้วยข้อจำกัด Tesla กลับเดิมพันในสิ่งที่ต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง พวกเขาเชื่อว่ามนุษย์ขับรถได้ด้วยดวงตาและสมองฉันใด รถยนต์ก็ควรทำได้ฉันนั้น
Tesla จึงเลือกใช้เพียง “กล้อง” ราคาถูกที่ติดตั้งอยู่รอบคัน แล้วทุ่มเทพัฒนามันสมอง AI ให้ฉลาดพอที่จะประมวลผลภาพและเข้าใจโลกได้เหมือนมนุษย์ นี่คือการตัดสินใจที่ทำให้ต้นทุนฮาร์ดแวร์ถูกลงมหาศาล และพร้อมที่จะขยายการผลิตไปได้ทั่วโลกอย่างไม่มีขีดจำกัด
1
ปัญหาที่สองที่รุนแรงไม่แพ้กัน คือ “คุกที่มองไม่เห็นของแผนที่”
เทคโนโลยีของ Waymo ไม่ได้พึ่งแค่ LiDAR แต่ยังต้องอาศัยแผนที่สามมิติความละเอียดสูง หรือ Geo-fenced Map ที่ต้องสร้างขึ้นมาล่วงหน้าอย่างละเอียดทุกตารางเซนติเมตร มันเหมือนการสร้าง “กรงดิจิทัล” แล้วให้รถวิ่งอยู่ในนั้น
การสร้างและดูแลรักษาแผนที่นี้ คือฝันร้ายด้านต้นทุน เพราะโลกแห่งความจริงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีการก่อสร้าง มีการเปลี่ยนเลนถนน ทำให้ต้องส่งรถออกไปสแกนเพื่ออัปเดตข้อมูลอยู่เสมอ เป็นต้นทุนที่ไม่เคยจบสิ้น
ขนาดผู้ก่อตั้งบริษัท Cruise ซึ่งเป็นคู่แข่งยังยอมรับเองว่า แนวทางนี้ไม่มีวันที่จะขยายไปได้ทั่วทั้งโลก มันจึงจำกัดให้ Robotaxi ของ Waymo วิ่งได้แค่ในพื้นที่ที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเท่านั้น การขยายไปยังเมืองใหม่ๆ จึงเป็นไปอย่างเชื่องช้า
1
ในทางกลับกัน รถของ Tesla เรียนรู้ที่จะขับขี่บนโลกแห่งความจริงได้เลย มันปรับตัวเข้ากับสภาพถนนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนได้ เหมือนที่เราขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดเป็นครั้งแรก นี่คืออิสรภาพที่ทำให้ Tesla พร้อมจะขยายบริการไปที่ไหนก็ได้ในโลก
และปัญหาข้อสุดท้าย คือ “โมเดลธุรกิจที่ซับซ้อนเกินไป”
ลองนึกภาพการเดินทางหนึ่งครั้งด้วย Robotaxi ของ Uber ที่ใช้รถของ Volkswagen และเทคโนโลยีของ Mobileye… ค่าโดยสารที่เราจ่ายไป จะต้องถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน เพื่อให้ทั้งสามบริษัทมีกำไร นี่คือโครงสร้างที่ไม่มีประสิทธิภาพในตัวเอง
เรื่องนี้คล้ายกับในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟนในอดีต ที่ Apple ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลาย เพราะควบคุมเองทั้งหมด ตั้งแต่ฮาร์ดแวร์ (iPhone) ไปจนถึงซอฟต์แวร์ (iOS) ในขณะที่คู่แข่งจำนวนมากที่พึ่งพาพันธมิตรหลายเจ้า ต้องดิ้นรนกับกำไรที่น้อยนิดและประสบการณ์ใช้งานที่ไม่ต่อเนื่อง
Tesla กำลังใช้กลยุทธ์เดียวกัน พวกเขาทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ตั้งแต่การออกแบบชิป AI, พัฒนาซอฟต์แวร์, ผลิตรถยนต์, บริหารเครือข่ายสถานีชาร์จ ไปจนถึงแอปพลิเคชันเรียกรถ กำไรทั้งหมดจึงไหลเข้าสู่บริษัทเพียงแห่งเดียว
นี่คือพลังวิเศษที่ทำให้ Tesla สามารถควบคุมราคาและประสบการณ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
เรื่องราวความล้มเหลวของ Uber เองก็เป็นเครื่องยืนยันชั้นดี พวกเขาเคยทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างรถไร้คนขับของตัวเอง แต่สุดท้ายก็ต้องยอมแพ้และขายแผนกนั้นทิ้งไป มันพิสูจน์ให้เห็นว่าปัญหานี้มันยากและแพงเกินกว่าที่ใครจะแก้ได้ด้วยวิธีแบบเดิมๆ
1
เมื่อนำจุดอ่อนทั้งสามข้อของคู่แข่งมารวมกัน ทั้งต้นทุนเทคโนโลยีที่สูง, การขยายตัวที่จำกัดด้วยแผนที่ และโมเดลธุรกิจที่ซับซ้อน มันจึงชัดเจนว่าแนวทางของพวกเขานั้น “ไม่ยั่งยืน” ในระยะยาว
และนั่นก็นำเรามาสู่บทสรุปของสงครามครั้งนี้… ฉากสุดท้ายที่ Tesla กำลังจะเดินหมากเพื่อปิดเกม
สิ่งที่ Tesla กำลังทำ ไม่ใช่แค่การตั้งราคาเพื่อแข่งขัน แต่มันคือการสร้าง “มาตรฐานใหม่” ให้กับทั้งอุตสาหกรรม แต่เกมยังไม่จบแค่นั้น เพราะพวกเขากำลังจะปล่อยอาวุธลับชิ้นสุดท้ายออกมา
อาวุธชิ้นนั้นมีชื่อว่า “CyberCab”
นี่ไม่ใช่แค่รถยนต์ แต่เป็น “หุ่นยนต์บนล้อ” ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นแท็กซี่ไร้คนขับโดยเฉพาะ มันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป้าหมายเดียว คือการให้บริการด้วยต้นทุนที่ต่ำที่สุด และใช้งานได้คุ้มค่าที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น มันจะถูกผลิตด้วยกระบวนการปฏิวัติวงการที่เรียกว่า “Unboxed Production Method” ซึ่งเปรียบเสมือนการประกอบรถยนต์แบบตัวต่อเลโก้ แทนที่จะเป็นสายพานการผลิตแบบดั้งเดิม ทำให้ผลิตได้เร็วขึ้นและถูกลงอย่างมหาศาล
เมื่อ CyberCab ออกสู่ตลาด ราคาค่าโดยสารอาจจะลดต่ำลงไปอีก จนถึงจุดที่การ “เรียกรถ” จะมีราคาถูกกว่าการ “เป็นเจ้าของรถ” หนึ่งคันเสียอีก
ลองจินตนาการถึงโลกที่เราไม่ต้องกังวลเรื่องค่าผ่อนรถ, ค่าประกัน, ค่าบำรุงรักษา หรือการหาที่จอดรถอีกต่อไป การเดินทางจะกลายเป็นบริการที่เราเรียกใช้เมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ
นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่จะไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ธุรกิจแท็กซี่ แต่จะสั่นคลอนแนวคิดเรื่อง “การเป็นเจ้าของรถยนต์ส่วนบุคคล” ไปอย่างสิ้นเชิง และนั่นคือสิ่งที่ค่ายรถยนต์ดั้งเดิมหวาดกลัวที่สุด
ท้ายที่สุดแล้ว แนวความคิดอันเฉียบคมของ Tesla ในสมรภูมิครั้งใหม่นี้ ไม่ได้มาจากเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่มันมาจากการมองปัญหาใหม่ทั้งหมดด้วยหลักการพื้นฐาน และสร้างระบบนิเวศขึ้นมาใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ
1
ในขณะที่คนอื่นพยายามนำเทคโนโลยีใหม่ มาใส่ในกรอบความคิดและระบบธุรกิจแบบเก่า…
Tesla เลือกที่จะสร้างกรอบความคิดและระบบนิเวศใหม่ทั้งหมดขึ้นมาเอง
และนี่อาจเป็นบทเรียนที่สำคัญที่สุดจากสงครามครั้งนี้ ที่ว่าผู้ชนะที่แท้จริง ไม่ใช่ผู้ที่ปรับตัวเข้ากับปัจจุบันได้ดีที่สุด แต่คือผู้ที่สามารถสร้างอนาคตขึ้นมาได้ด้วยวิสัยทัศน์ของตนเอง
References : [tesla, yolegroup, bts .gov, reuters, forbes]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
The original article appeared here https://www.tharadhol.com/tesla-is-killing-uber/
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา