Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
FA Talk
•
ติดตาม
30 ต.ค. เวลา 03:17
กองทุนฉุกเฉินกับวิกฤตเศรษฐกิจ: บทเรียนจากปี 1997 และ 2020
[FA Talk – Money in 5 Minutes]
วิกฤตเศรษฐกิจไม่เคยมาขออนุญาตก่อน มันมาเหมือนพายุ…และเรามีเวลาแค่ยืนรับหรือหาที่หลบ
พายุที่เราเคยเจอ
1997 – วิกฤตต้มยำกุ้ง
ค่าเงินบาทลอยตัว 1 ก.ค. 2540 ธุรกิจที่มีหนี้ดอลลาร์ต้องจ่ายเพิ่มเกือบ 2 เท่าในชั่วข้ามคืน คนตกงานกว่าล้าน คนที่เคยอยู่ในชนชั้นกลางต้องขายบ้าน รถ หรือธุรกิจเพื่อเอาเงินมาเลี้ยงครอบครัว
2020 – โควิด-19
ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร หยุดทำการแทบทั้งหมด รายได้หายไป 100% ไม่ใช่ลดลงทีละน้อย คราวนี้ไม่ใช่แค่วิกฤตการเงิน แต่เป็นวิกฤตที่หยุดทั้งวิถีชีวิต
สำหรับคนที่มีพื้นฐานการเงินแล้ว กองทุนฉุกเฉิน หรือ Emergency Fund ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างในวิกฤตจริง คือ ความแตกต่างของขนาด และ การวางตำแหน่งของเงินฉุกเฉินนั้น
การมีเงินสำรอง 3 เดือน เพียงต่อสำหรับเหตุชั่วคราว เช่น พักงาน ป่วยชั่วคราว
การมีเงินสำรอง 12 เดือน ช่วยให้เรายังยืนอยู่ได้ในเหตุการณ์ที่ตลาดแรงงานฟื้นช้า หรือเศรษฐกิจหดตัวทั้งระบบ
สมมติพนักงานในสายการบินสองคน สองตัวอย่างที่ต่างกันเพราะการวางแผน
คนแรก
วางเงินสำรอง 12 เดือน ไว้ในสินทรัพย์สภาพคล่องสูง เช่น บัญชีดอกเบี้ยสูง + กองทุนตลาดเงิน จะสามารถใช้เวลาครึ่งปีเปลี่ยนอาชีพได้อย่างมีแผน
คนที่สอง
มีเงินสำรอง 4 เดือน และส่วนใหญ่ผูกอยู่กับหุ้นในประเทศ พอวิกฤตมาหุ้นร่วง ต้องขายตอนขาดทุนเพื่อเอาเงินมาใช้
ต่างกันเพราะ สภาพคล่อง (Liquidity) และ ความสัมพันธ์ของความเคลื่อนไหวสินทรัพย์ (Correlation) ที่วางไว้ตั้งแต่ก่อนวิกฤต
สภาพคล่อง (ความพร้อมใช้ของเงิน) หรือ Liquidity
คือความง่ายในการเปลี่ยนสินทรัพย์ให้กลายเป็นเงินสด โดยไม่เสียมูลค่ามาก
ยิ่งมีสภาพคล่องสูง ยิ่งขายได้ง่าย รวดเร็ว และราคาที่ขายใกล้เคียงกับราคาตลาด
สภาพคล่องต่ำ ต้องใช้เวลานานกว่าจะขายได้ หรืออาจต้องยอมขายขาดทุน
ตัวอย่าง:
ในเชิงพอร์ตการลงทุน:
การมีสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องพอ (เช่น เงินสด กองทุนตลาดเงิน หรือพันธบัตรระยะสั้น) จะช่วยให้เรารับมือกับเหตุฉุกเฉินหรือวิกฤตได้ง่าย ไม่ต้องรีบขายของที่ราคาตก
ความสัมพันธ์ของการเคลื่อนไหวของราคา หรือ Correlation
คือ “ระดับที่สินทรัพย์ 2 ชนิด เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกันมากน้อยแค่ไหน”
ค่าของ Correlation จะอยู่ระหว่าง -1 ถึง +1
ค่า Correlation ความหมาย ตัวอย่าง
ในเชิงพอร์ตการลงทุน:
ถ้าลงทุนในสินทรัพย์ที่ “Correlation ต่ำหรือเป็นลบ” จะช่วยลดความผันผวนของพอร์ตโดยรวม เพราะเวลาสินทรัพย์หนึ่งตก อีกสินทรัพย์อาจขึ้น
การจัดพอร์ตที่ดี จึงต้องสร้างสมดุลของสินทรัพย์ มีทั้งของที่ขายได้ไว (สภาพคล่อง) และ ของที่ไม่ขึ้นลงพร้อมกัน (ลดความเสี่ยง)
3 มิติที่มักถูกมองข้ามและหลักคิด
1. Correlation Risk
หลักคิด: เงินสำรองควรเคลื่อนไหว “ตรงข้าม” หรือ “ไม่สัมพันธ์” กับรายได้หลัก ถ้ารายได้ผูกกับเศรษฐกิจไทย ก็ไม่ควรให้เงินสำรองทั้งหมดอยู่ในสินทรัพย์ไทยที่ผันผวนตามเศรษฐกิจเดียวกัน เหมือนการเตรียมร่มกันฝน จะไม่มีประโยชน์ถ้าร่มขาดพร้อมวันที่ฝนตก
2. Liquidity vs Return
หลักคิด: ผลตอบแทนสูงไม่คุ้มถ้าทำให้เข้าถึงเงินช้ากว่าที่ความจำเป็นเรียกร้อง เงินสำรองไม่ใช่เงินลงทุนระยะยาว จุดประสงค์คือ “พร้อมใช้ทันที” ไม่ใช่ “โตเร็วที่สุด”
ลองถามตัวเองว่า: ถ้าเหตุฉุกเฉินเกิดวันศุกร์บ่าย คุณจะได้ใช้เงินทันจันทร์เช้าหรือไม่?
3. Mental Safety Net
หลักคิด: เงินสำรองที่พอเพียงทำให้คุณตัดสินใจลงทุนโดยไม่ถูกความกลัวบังคับ เพราะคนที่ไม่มี Safety Net มักขายสินทรัพย์ผิดเวลา เพียงเพราะต้องเอาเงินมาใช้
การมีเงินฉุกเฉินคือการซื้อ “เสรีภาพในการตัดสินใจ” ให้ตัวเอง
คำถามที่คุณควรถามตัวเอง
ถ้าวันนี้ตกงาน คุณต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะหางานใหม่ได้ในอุตสาหกรรมของคุณ?
เงินสำรองของคุณอยู่ในสินทรัพย์ที่ผันผวนพร้อมกับรายได้หลักหรือไม่?
คุณมีกติกาส่วนตัวไหม ว่าเมื่อไหร่ถึงจะ “แตะ” เงินก้อนนี้?
Emergency Fund ไม่ใช่แค่การกันเงินไว้ แต่คือการออกแบบ “ระบบกันกระแทก” ให้สอดคล้องกับความเสี่ยงชีวิตและความผันผวนของตลาด เพราะในวันที่พายุมา…สิ่งที่คุณวางไว้ล่วงหน้า จะเป็นตัวกำหนดว่าคุณ “เลือกได้” หรือ “ถูกบังคับให้เลือก”
ไลฟ์สไตล์
แนวคิด
2 บันทึก
1
1
2
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย