Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Timeless History (ประวัติศาสตร์ไร้กาลเวลา)
•
ติดตาม
13 ส.ค. เวลา 11:41 • ประวัติศาสตร์
เมื่อ “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์” ถูกรุกราน
“เยรูซาเลม (Jerusalem)” คือเมืองที่เป็นศูนย์กลางของความขัดแย้งมายาวนานนับพันปี มีความสำคัญทางศาสนาอย่างยิ่งต่อชาวยิว คริสเตียน และมุสลิมทั่วโลก
ตลอดช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ เยรูซาเลมได้ถูกเปลี่ยนมือหลายครั้ง ตั้งแต่โรมัน ไบแซนไทน์ กองทัพครูเสด ออตโตมัน อังกฤษ และในยุคปัจจุบัน กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของรัฐอิสราเอลสมัยใหม่
ทุกวันนี้ ความขัดแย้งที่รายล้อมเยรูซาเลม ส่วนใหญ่ก็เกิดจากความขัดแย้งระหว่างชาวอาหรับท้องถิ่นกับชาวยิวเกี่ยวกับสิทธิครอบครองเมืองและอนาคตของเมือง แต่คำถามสำคัญก็คือ
“อิสลามเข้ายึดครองนครศักดิ์สิทธิ์นี้ครั้งแรกเมื่อใด?”
เรื่องราวนี้เป็นอย่างไร ลองมาดูกันครับ
ในปีค.ศ.636 (พ.ศ.1179) จักรวรรดิไบแซนไทน์อันยิ่งใหญ่ ซึ่งอ่อนแรงจากการทำสงครามอันยืดเยื้อกับเปอร์เซียและถูกบั่นทอนจากความขัดแย้งภายใน ก็ต้องเผชิญกับภัยคุกคามใหม่ที่น่าเกรงขาม
นั่นคือ “รัฐเคาะลีฟะฮ์ราชิดูน (Rashidun Caliphate)” ซึ่งเป็นคอลิฟะฮ์มุสลิมแห่งแรกหลังการสิ้นชีวิตของ “มูฮัมหมัด (Muhammad)” ศาสดาแห่งศาสนาอิสลาม และได้ขยายอำนาจจากคาบสมุทรอาหรับออกไปอย่างรวดเร็ว กวาดล้างและยึดครองพื้นที่กว้างใหญ่ตั้งแต่แอฟริกาเหนือไปจนถึงเปอร์เซีย โดยกองทัพมุสลิมได้กวาดล้างซีเรียและปาเลสไตน์ ยึดเมืองต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
การโจมตีครั้งชี้ขาดเกิดขึ้นที่ “ยุทธการที่ยาร์มุก (Battle of Yarmuk)” เมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.636 (พ.ศ.1179) ซึ่งเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่หลวงของจักรวรรดิไบแซนไทน์ ทำให้อำนาจในการครอบครองซีเรียพังทลาย กองทหารจักรวรรดิที่เหลือต้องถอยร่นอย่างโกลาหล ทิ้งไว้เพียงเมืองหนึ่งที่ยังตั้งตระหง่านและดื้อดึง
“เยรูซาเลม”
เยรูซาเลม
กองกำลังย่อยไบแซนไทน์ต้องถอยกลับเข้าไปหลังกำแพงโบราณของเมือง ส่วนกองทัพหลักได้ถอยขึ้นเหนือเข้าสู่ซีเรียตอนใน ทำให้เมืองตกอยู่ในสภาพเสี่ยงต่อการถูกตัดขาด
ในช่วงปลายปีค.ศ.636 (พ.ศ.1179) กองทัพมุสลิมได้เคลื่อนทัพเข้าสู่เยรูซาเลม โดย “พระสังฆราชโซฟรอนิอุส (Patriarch Sophronius)” ซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองเยรูซาเลม อีกทั้งยังเป็นชาวคริสต์ที่เคร่งศาสนา ก็มองกองทัพที่กำลังรุกคืบเข้ามาด้วยความสิ้นหวังปนยอมรับในชะตากรรม
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เยรูซาเลมถูกปิดล้อม เมืองนี้เพิ่งถูกเปอร์เซียยึดไปเมื่อราว 20 ปีก่อน และถูกไบแซนไทน์ยึดคืนมาได้เพียงไม่กี่ปีก่อนหน้านั้น
แต่ครั้งนี้ เมืองกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่ทั้งแปลกถิ่นและมีแรงศรัทธาลึกซึ้งเป็นแรงผลักดัน
พระสังฆราชโซฟรอนิอุส (Patriarch Sophronius)
กองทัพราชิดูนไม่ได้บุกจู่โจม แต่เลือกทำการปิดล้อมอย่างมีแบบแผนและเป็นระบบ มีการตัดเส้นทางส่งเสบียงทั้งหมด และรอคอยให้ฤดูหนาวคืบคลานเข้ามาปกคลุมเทือกเขายูเดีย ก่อนจะตัดเส้นทางเข้าออกเมืองทุกสาย
ฝ่ายปกครองเยรูซาเลม ร่วมด้วยผู้ลี้ภัย ชาวยิวท้องถิ่น และทหารไบแซนไทน์ที่เหลืออยู่ ต่างก็พึ่งพากำแพงโบราณของเมืองเป็นเกราะสุดท้ายในการป้องกันศัตรู และตลอดเวลาหลายสัปดาห์ของการปิดล้อม เมื่อความตึงเครียดจากการรบเริ่มผ่อนคลายลง การทูตก็เริ่มเข้ามามีบทบาทควบคู่กับแรงกดดันทางทหาร
พระสังฆราชโซฟรอนิอุสอาจจะตระหนักว่าต้านทานไปก็ไร้ประโยชน์ อีกทั้งผู้รุกรานก็มีศรัทธาอย่างแรงกล้า จึงตกลง ยื่นข้อเสนอยอมจำนน แต่มีเงื่อนไขพิเศษเพียงข้อเดียว นั่นคือการมอบเมืองนั้น จะเป็นการมอบให้แก่คอลิฟะฮ์ด้วยตนเองเท่านั้น
เมื่อข่าวนี้ล่วงรู้ไปถึง “คอลิฟะฮ์อุมัร (Umar)” ผู้ปกครองชาวมุสลิม คอลิฟะฮ์อุมัรก็ออกเดินทางจากเมืองเมดินาไปยังเยรูซาเลม
การมาถึงของคอลิฟะฮ์อุมัรในช่วงปลายปีค.ศ.637 (พ.ศ.1180) กลายเป็นเหตุการณ์เลื่องลือในประวัติศาสตร์ อุมัรสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ขี่อูฐ และมีผู้ติดตามเพียงไม่กี่คน เขามาถึงไม่ใช่ในฐานะผู้พิชิต แต่ในฐานะผู้รับใช้พระเจ้า โดยคอลิฟะฮ์อุมัรได้เข้าพบพระสังฆราชโซฟรอนิอุสด้วยความเคารพและนอบน้อม และพระสังฆราชโซฟรอนิอุสก็ได้มอบอำนาจการปกครองเมืองให้คอลิฟะฮ์อุมัร
คอลิฟะฮ์อุมัรนั้นเลือกที่จะให้เกียรติฝ่ายตรงข้าม โดยปฏิเสธที่จะทำละหมาดภายใน “โบสถ์แห่งพระคูหาศักดิ์สิทธิ์ (Church of the Holy Sepulchre)“ เพราะเกรงว่ามุสลิมในอนาคตจะอ้างสิทธิ์เปลี่ยนเป็นมัสยิด จึงทำละหมาดด้านนอก และภายหลังก็ได้มีการสร้างมัสยิดขึ้นใกล้ๆ
นอกจากนั้น ยังมีการออกประกาศ “พันธสัญญาอุมัร (Umariyya Covenant)” เพื่อรับประกันเสรีภาพทางศาสนาแก่ชาวคริสต์ และคุ้มครองโบสถ์รวมถึงทรัพย์สินของชาวคริสต์ แลกกับการจ่ายภาษีญิซยะฮ์
และแล้ว เยรูซาเลมก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิม โดยชัยชนะครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์สำคัญเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์โลก
โบสถ์แห่งพระคูหาศักดิ์สิทธิ์ (Church of the Holy Sepulchre)
เมืองศักดิ์สิทธิ์ได้ถูกเปลี่ยนมือ จากเดิมอยู่ในอำนาจของชาวคริสต์จากไบแซนไทน์ ก็เปลี่ยนไปอยู่ในความดูแลของมุสลิม และการเปลี่ยนแปลงนี้ก็ได้กำหนดทิศทางของความขัดแย้งทางศาสนาและการเมืองต่อเนื่องอีกหลายศตวรรษ
ภายในปีค.ศ.638 (พ.ศ.1181) เยรูซาเลมได้ถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิมุสลิมใหม่ที่กำลังขยายอำนาจในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ และอยู่ใต้อำนาจของมุสลิมต่อเนื่องอีกราว 350 ปี จนกระทั่งกองทัพครูเสดสามารถยึดคืนได้ในเวลาต่อมา
แต่ทว่า ชาวคริสต์จากยุโรปก็ครองเมืองได้เพียงราวหนึ่งศตวรรษเท่านั้น ก่อนที่เยรูซาเลมจะกลับคืนสู่การปกครองของมุสลิมไปอีกเกือบพันปี
ในเวลานั้น การที่เยรูซาเลมตกเป็นของคอลิฟะฮ์อุมัรอาจจะดูเหมือนเป็นเพียงเหตุการณ์หนึ่งในบันทึกประวัติศาสตร์ที่ไม่สำคัญมากนัก แต่แท้จริงแล้ว มันได้จุดชนวนให้เกิดความขัดแย้ง ความวุ่นวาย และสงครามนับศตวรรษเกี่ยวกับสถานะของเมืองนี้ โดยเยรูซาเลมยังคงเป็นศูนย์กลางความศรัทธาของสามศาสนาหลักของโลกมาจนถึงทุกวันนี้
ในหลายๆ แง่ ท่าทีเคารพของคอลิฟะฮ์อุมัรก็ได้วางแนวทางการปกครองเมืองที่ละเอียดอ่อนนี้อย่างชาญฉลาด เขาเข้าใจดีว่าการใช้กำลังแข็งกร้าวกับเยรูซาเลมจะก่อปัญหามากกว่าประโยชน์ โรมันเคยปฏิบัติกับเยรูซาเลมอย่างรุนแรงจนสูญเสียความเคารพและความร่วมมือจากชาวยิว ดังนั้น การที่คอลิฟะฮ์อุมัรเคารพศาสนสถานของชาวคริสต์ ได้สร้างมาตรฐานสำหรับการวางตัวทางการเมืองที่ผู้ปกครองเยรูซาเล็มในอนาคตต้องเดินตาม
ข่าวลือว่าผู้ปกครองมุสลิมบางคนไม่เคารพต่อประเพณีของชาวคริสต์และชาวยิวในเยรุซาเลม ได้เป็นหนึ่งในเชื้อไฟที่จุดประกายสงครามครูเสดในศตวรรษที่ 11 และแม้กระทั่งปัจจุบัน เมื่อเยรูซาเลมตกอยู่ภายใต้การควบคุมของอิสราเอล เมืองนี้ก็ยังถูกบริหารอย่างระมัดระวังและมีลักษณะพหุวัฒนธรรม เพราะทุกคนเข้าใจดีว่าการลบล้างหรือกีดกันศาสนาหนึ่งเพื่อเอื้ออีกศาสนาหนึ่งจะนำไปสู่ความรุนแรงอย่างเลี่ยงไม่ได้
มุสลิมในสมัยศตวรรษที่ 7 มีศักยภาพพอที่จะทำลายเยรูซาเลม แต่พวกเขาเลือกที่จะเจรจากับฝ่ายไบแซนไทน์เพื่อรักษาเมืองให้รอดพ้นจากการนองเลือด พวกเขาจะปฏิเสธข้อเรียกร้องที่ดูจะบังอาจนัก เช่นการที่ต้องให้คอลิฟะฮ์เดินทางมารับมอบเมืองด้วยตนเองก็ได้ แต่พวกเขากลับให้เกียรติและยอมทำตาม
อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่าเยรูซาเลมเคยตกอยู่ภายใต้การปกครองของมุสลิม และอาจกลับมาเป็นเช่นนั้นอีกในอนาคต ได้สร้างความขุ่นเคืองแก่คริสเตียนและยิวทั่วโลกมานานหลายศตวรรษ ความบาดหมางนี้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 และยังเป็นที่เล่าขานมาจนถึงปัจจุบัน
References:
https://grantpiperwriting.medium.com/the-first-muslim-conquest-of-jerusalem-38249d932363?source=list---------0-------predefined%3Af06bcd4c0010%3AREADING_LIST----------------------------
https://dergipark.org.tr/tr/download/article-file/294102
https://isamveri.org/pdfdrg/D02023/2000_2/2000_2_AWAISIAF.pdf
https://www.bu.edu/mzank/Jerusalem/p/period4-1.htm
ประวัติศาสตร์
2 บันทึก
16
7
1
2
16
7
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย