13 ส.ค. เวลา 03:25 • ไลฟ์สไตล์
เพราะเรามีชีวิต ที่ได้มาอาศัย ธาตุนะโม ธาตุทั้งสี่ มาประกอบเป็นสังขาร อีกทั้งต้องเอาน้ำเลือดน้ำหนองของผู้ที่มีกรรม มาหนุนนำกาย แล้วยังมีตัวกินเลือดกินเนื้อ พวกพยาธิต่างๆ มากัดกินกาย ที่เรื่องราวทำนองนี้ ที่ต่อเนื่องกันมากับ คำว่า ธาตุทั้งสี่ ดินน้ำลมไฟ เก็บสะสมมา ที่จะไหลออกมาเป็นอารมณ์กรรม ตัวกระทำต่าง ให้จิตนั้นยึดถือ ยึดอยู่กับทุกข์ กายทั้งหมด ก็เป็นกายกรรม ที่จิตอาศัย ก็ยึดสิางต่างๆที่เกิดขึ้นในกาย
คราวนี้ เมื่อเราใช้กายนี้ไปทำมาหากิน มีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้น กายนี้ใช้กายวาจาใจอย่างไร ก็มีการเก็บบันทึกลงที่ธาตุทั้งสี่ เป็นสักขีพยาน ว่า จ้ตที่อาศัยกายพ่อแม่ ที่ได้มา ใช้ทำเรื่องราวอะไร ก็มีการบันทึก . ชีวิตขิงคนเรานั่น สิ่งที่บันทึกลวไปที่ธาตทั้งสี่เป็นสีดำสีม่วง สีกรมท่าสีเวรกรรม ที่จะนำพาจิตไป เมื่อออกจากสังขาร สิ่งที่บันทึกก็อาศัยวิญญาณทั้งหก ส่งไปให้จิต จิตส่งต่อลงไปที่ธาตุทั้งสี่
คราวนี้ เมื่อเราจะทำบุญ เราก็หาที่ ทำบุญให้เกิดเป็นเนื้อนาบุญ ต้องมีความตั้งใจ อาศัยกายที่นิ่ง จิตที่นิ่ง ทำบุญวางไว้ กับเครื่องหมายธรรม .ผ้ากาสาวพัสตร์ ที่เป็นเครื่องขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่บุุคคลใดนำไป ประพฤติปฏิบัติธรรม เพื่อหนีทุกข์ หนีการเกิดแก่เจ็บตาย ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
..หากไม่เจอะเจอ เราก็ทำบุญต่อเครื่องหมายธรรม นอบน้อมถวาย ฝากไว้ศาสนา บำรุงศาสนา ด้วยความเต็มใจ ทำแล้วก็ไม่เรียกร้องหากรรม ให้เพิ่มพูน เพื่อให้บุญกุศลนั้น บริสุทธิ์ แล้วมีก็มีการกระจายบุญกุศล อาศัยธาตนะโม อม่ทั่งสี่มากระจายบุญกุศล ให้ผู้ที่มีพระคุณ พ่อแม่ ผู้ที่อุปถัมภ์ น้ำเลือดน้ำหนองของผู้ที่มีกรรม ตัวกินเลือดกินเนื้อให้เค้าอนุโมทนา
เรื่องราวทำนองนี้ ต้องอาศัย เรื่องราวของแสงรัตนะมาช่วยหนุนนำบุญกุศล เราก็น้อมถวายต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฝากไว้ กับจิตที่ท่านบริสุทธิ์ ..สิ่งเล่านี้ ก็จะส่งคืนมา เมื่อเวลาจำเป็น ..มาช่วยประคับประคองจิต แล้วเป็นเหมือนกระปุกออมสิน เก็บไว้ให้ เมื่อจิตต้องเดืนทางออกจากสังขารกรรม
เรื่องบุญกุศล ต้องอาศัย กระทำด้วยความนอบน้อม ในบุญกุศลของตัวเองที่จะทำ แม้แต่การให้ทาน เศรษฐีที่ทิ้งทรัพย์สิน จะออกไปอยู่เสื้อผ้าชุดเดียว ใครอยากได้ทรัพย์สมบัติ ก็มารับไป ท่านเอาสองมือประคอง ส่งให้ ผู้ที่มารับด้วยความนิบน้อมเต็มใจ เพราะ ท่านไม่กลับมายึด มาใช้มันอีแล้ว
นั่นเป็นเรื่องของผมสะสมบุญบารมีมาเต็ม เกิดมาชาติสุดท้าย .ไม่กลับมาเกิด มาใช้ทรัพย์สินเงินทอง มียศฐานบรรดาศักดิ์ พ่อแม่บุตรธิดา สามีภรรยา ไม่กลับมาเกิด มาใช้รับใชอีกแล้ว มองเห็นสิ่งเหล่านั้น หลอกให้ยึดถือ ปรุงอต่งให้จิตมีกรรม มีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้น ต้องเกิดตายนับชาติไม่ได้ เป็นอสงไขยๆชาติ นับไม่ได้ ที่จิตจมอยู่กับความทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย
..เกิดที่ไร มันก็ทุกข์ ..ก็ไม่รู้จักทุกข์..ไม่คิดจะหนีทุกข์ได้เลย ..เหมือนว่า จิตนั้นมันจมอยู่โคลนตม ที่ห้อมล้อมจิต ..มองเห็นมายาที่นำพาทุกข์มาให้ ว่าสิ่งนี้นำมาซึ่งความสุข เป็นจิตที่ถูกปกปิด วนเวียนกับการเกิดตาย ..นับไม่ได้เลย แล้วก็มิงไม่เห็นเส้นทางออกจากทุกข์ได้เลย .ไม่รู้ว่าเส้นทางเดินหนี ทุกข์ หนีการเกิด นั้นต้องทำอย่างไร .แม้แต่คำว่าบุญๆๆ ที่พูดกัน บุญที่แท้จริงนั้น เป็นอย่างไรกันน่ะ
ลองไปดูเรื่องการสร้างทานกุ้งบารมี ในชาดกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เกิดอะไรบ้าง ทานนั้นเป็นเรื่องราวของการอุปถัมภ์ค้ำชู เรื่องบุญ ที่สละปัจจัยออกไปด้วยความเต็มใจ ยิ่งทำเกิดมา ก็มีทรัพย์สิน ยศศักดิ์ ไปในสถานที่ มีกายเป็นบุญ
พอมาชาติชุดท้าย ก็มีกายเป็นบุญ มีสติปัญญามองเห็นวัตถุสิ่งของ ทรัพย์สินเงิน เป็นสิ่งนำพาให้เกิด ก็ยุติใช้สิ่งเหล่านี้ เข้าไปอยู่ป่า กินผลไม้ใบไม้ ไปนั่งนิ่ง จิตเฉย ที่เกิดแสงรัตนะขึ้นที่จิต กายมันเกิดทุกข์ เจ็บปวด ก็อาศัยกายนิ่ง จิตเฉย ที่มีขันติเป็นบารมี ขจัดสิ่งที่เป็นมลทินนั้นออกไปจากธาตุทั้งสี่ ทำไปจนธาตุนั้นใสสะอาดบริสุทธิ์ ไม่อะไรเกิดขึ้นมาอีกแล้ว กายกายนั่งนิ่ง จิตก็นิ่ง ไม่มีภาระอะไรอีกแล้ว กาายเป็นธรรม จิตเป็นธรรม
..จึงมีเรื่อวราวที่ว่า พระอรหันต์ท่านอยู่ป่า .เรื่อวกินอาหารการกิน ท่านก็ยุติ เลิกไปแล้ว ไปไหนก็ไม่มีอะไรขัดขวาง ..
เรื่องราวของคำว่า บุญ ก็ควรเรียนรู้ว่า บุญนั้น ทำอย่างไร จึงจะเกิดเป็นบุญ ไม่ใช่ทำไปแล้ว มันไม่เกิดเป็นบุญกุศลเกิดขึ้นเลย ..
โฆษณา