16 ส.ค. เวลา 09:30 • ประวัติศาสตร์

JAS-39 Gripen, กรีเป้น/กรีเพ่น [จบ]

#Gripen #กรีเป้น #กรีเพน
ในช่วงทศวรรษ 1980 สวีเดนเผชิญกับความท้าทายจากภัยคุกคามที่หลากหลายขึ้น รวมถึงเครื่องบินรบสมัยใหม่ ขีปนาวุธ และความขัดแย้งในระดับภูมิภาค ประกอบกับงบประมาณจำกัด สวีเดนจึงต้องการเครื่องบินที่ทันสมัย ราคาต่ำ และที่ปฏิบัติการจากฐานชั่วคราวหรือถนนสาธารณะตามแนวคิด BAS 90 ได้ในภารกิจปกป้องน่านฟ้าและชายฝั่งในทะเลบอลติก
เครื่องบินรบตามความต้องการของกองทัพอากาศสวีเดนก็ปรับเปลี่ยนจากที่เน้นภารกิจสกัดกั้นเครื่องบินทิ้งระเบิดในยุค 1950 ไปสู่แพล็ตฟอร์มเอนกภารกิจที่ปฏิบัติการรบได้ทั้งบนอากาศ โจมตีภาคพื้นและทางทะเล (Viggen, Gripen) รวมทั้งภารกิจตรวจการณ์ลาดตระเวณ ประกอบกับการปรับเปลี่ยนระบบฐานบินจากฐานทัพถาวรสู่ฐานบินชั่วคราวขนาดเล็กซึ่งปฏิบัติการได้จากถนนสาธารณะที่กระจายตัวไปทั่วประเทศตามระบบ BAS 60 และ BAS 90 อันเป็นการเพิ่มความอยู่รอดในสงคราม
นอกจากนี้ ในทางยุทธวิธี รูปแบบการปฏิบัติการของเครื่องบินรบก็ถูกปรับเปลี่ยนจากหน่วยรบเอกเทศไปสู่ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย (Network-Centric Warfare) โดยหันมาพัฒนาระบบดาต้าลิงก์ TIDLS ที่เชื่อมโยงกับหน่วยปฏิบัติการอื่นๆ
ช่วงปี 2010-2025 นับเป็นช่วงเวลาแห่งการปรับตัวรับภัยคุกคามสมัยใหม่หลากหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องบินรบยุค 5 (5th Generation) ที่สามารถล่องหนหายไปจากหน้าจอเรด้าร์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ เช่น Su-57, F-35 หรือ โดรน, อากาศยานไร้คนขับ ขีปนาวุธพิสัยไกลตลอดจนสงครามไซเบอร์
ต่อมา สวีเดนเริ่มปรับเครื่องบินรบของตนให้เข้ากันได้กับมาตรฐานของ NATO และเข้าร่วมภารกิจนานาชาติกับ NATO ในช่วงเวลานี้ สวีเดนยังมิได้เลิกนโยบายความเป็นกลาง แม้จะเพิ่มความร่วมมือกับนาโต้ (NATO) และพันธมิตร เช่น ฟินแลนด์ ฯลฯ ในทศวรรษ 1990 โดยเข้าร่วมในโปรแกรมหุ้นส่วนเพื่อสันติภาพ Partnership for Peace
ทว่า เมื่อรัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครนในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 สวีเดนก็ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นสมาชิกนาโต้ นั่นหมายความว่า สวีเดนปรับจุดยืนจากความเป็นกลางและอิสระมาสู่การสร้างพันธมิตรและความร่วมมือกับนานาชาติมากขึ้น
ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น สวีเดนจึงเปลี่ยนความต้องการจากเครื่องบินรบแบบหนัก (Heavyweight Fighter) มาเป็นเครื่องบินรบขนาดเบา (Lightweight Multirole Fighter) ที่ปฏิบัติการได้ด้วยค่าใช้จ่ายต่ำ กรีเป้นจึงเป็นตัวอย่างของการออกแบบเครื่องบินขนาดเล็ก คล่องตัวและต้นทุนต่ำ แต่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีทันสมัย
แนวคิดทางยุทธวิธีของสวีเดนในการใช้เครื่องบินรบเพื่อป้องกันการรุกรานตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 พัฒนาจากการเน้นสกัดกั้นทางอากาศด้วยเครื่องบินขนาดเล็กและคล่องตัว เปลี่ยนมาเป็นการใช้เครื่องบินเอนกภารกิจที่บูรณาการเข้ากับระบบเครือข่ายปฏิบัติการสมัยใหม่
SAAB JAS-39 Gripen (กรีเป้น) นับเป็นจุดสูงสุดของวิวัฒนาการในแนวทางนี้ ด้วยการออกแบบที่เน้นความยืดหยุ่นรองรับภารกิจหลากหลาย ความสามารถในการอยู่รอด และความประหยัดคุ้มค่า ความสามารถในการขึ้นปฏิบัติการจากฐานบินชั่วคราวและถนนสาธารณะ และความสามารถในการเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธีผ่านระบบเดต้าลิ้งค์ TIDLS แนวคิดเช่นนี้เองที่ช่วยในกระบวนการรักษาความเป็นกลางและปกป้องอธิปไตยของสวีเดนได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยงบประมาณอันจำกัด
กรีเป้นเป็นเครื่องบินรบเอนกภารกิจ (Multirole Fighter) ยุคที่ 4/4.5 (4th/4.5th Generation) บริษัท SAAB ของสวีเดนพัฒนาขึ้นโดยสืบทอดคุณสมบัติของเครื่องบินรบสวีเดนตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มาจนถึงยุคหลังสงครามเย็น
ทั้งยังเป็นเครื่องบินขนาดเล็ก คล่องตัวและมีความยืดหยุ่นสูงโดยผสมผสานความสามารถในการขับไล่สกัดกั้น (Air-to-Air), โจมตีภาคพื้น (Air-to-Ground), และลาดตระเวน (Reconnaissance) เข้าด้วยกันในลำเดียว อีกทั้งมีต้นทุนที่ต่ำไม่ว่าจะราคาเครื่องและค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาตลอดจนค่าใช้จ่ายในการออกปฏิบัติการต่อชั่วโมง กรีเป้นตั้งแต่รุ่น C/D มาจนถึงรุ่น E/F ยังถูกออกแบบให้เข้ากันได้กับมาตรฐาน NATO อีกด้วย
สวีเดนเริ่มศึกษาโครงการพัฒนาเครื่องบินรบโมเดลใหม่เพื่อทดแทน โดรเก้น (Draken) และ วีเก้น (Viggen) ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 โดยประเมินข้อมูลของเครื่องบินรบโมเดลต่างๆ รวมทั้งแบบฝึก/โจมตี SAAB 38, โครงการพัฒนา Viggen (A 20) และเครื่องบินรบของต่างชาติหลากรุ่นหลายแบบ อาทิ F‑16, F/A‑18, F‑20, Mirage 2000
จากนั้น โครงการ Gripen ก็เริ่มขึ้นในปี 1982 โดย ซ้าบ (SAAB) ร่วมกับกองทัพอากาศสวีเดน ภายใต้คำจำกัดความ JAS (Jakt - ขับไล่, Attack - โจมตี, Spaning - ลาดตระเวน) โดยกำหนดเป้าหมายเป็นการสร้างเครื่องบินรบขนาดเบา (Lightweight) ต้นทุนต่ำ อัพเกรดได้ง่าย ที่รับมือภัยคุกคามในอนาคตได้อย่างยืดหยุ่น ในการนี้รัฐสภาสวีเดน (Riksdag) อนุมัติสัญญาให้ SAAB ผลิตเครื่องต้นแบบ 5 ลำ และชุดแรกผลิต 30 ลำ
"Gripen" (กรีเป้น) ในภาษาสวีเดนหมายถึง "กริฟฟิน" อันเป็นสัตว์ในเทพนิยายที่มีหัวเป็นนกอินทรีและลำตัวเป็นสิงโตมีปีก สะท้อนถึงความแข็งแกร่งและความคล่องตัว ชื่อ “Gripen” ได้มาโดยการเปิดให้ประชาชนเสนอชื่อเข้าประกวดแข่งขันและยังเป็นสัญลักษณ์ในโลโก้ของ SAAB ด้วย
แม้จะได้รับอนุมัติโครงการในปี 1982 แต่เพราะปัญหาซอฟต์แวร์ควบคุมการบินเป็นเหตุให้ต้องยืดเวลาการพัฒนาออกไปอันเป็นผลให้ต้องใช้เวลาพัฒนาร่วม 6 ปีกว่าที่กรีเป้นต้นแบบจะออกบินเที่ยวบินแรกในวันที่ 9 ธันวาคม 1988 แต่ปัญหายังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะเกิดอุบัติเหตุกับเครื่องต้นแบบจนต้องใช้เวลาปรับปรุงระบบ fly-by‑wire ก่อนกลับมาทดลองบินได้อีกครั้งในปีต่อมา และต้องใช้เวลาอีก 8 ปีในการปรับปรุงพัฒนาจนกระทั่งเปิดสายพานการผลิตและเริ่มส่งรุ่น A/B เข้าประจำการในกองทัพอากาศสวีเดนในปี 1996
ด้วยแนวคิดการพัฒนาเครื่องบินรบ กรีเป้นสืบทอดคุณสมบัติของโดรเก้นและวีเก้นที่รองรับปรัชญาการป้องกันประเทศของสวีเดนในยุคสงครามเย็นที่เน้นการอยู่รอดจากการถูกโจมตีครั้งแรก (First-strike survivability) ซึ่งจะกระจายกำลังรบออกไปสู่ฐานบินลับขนาดเล็กที่ใช้ทางหลวงหรือถนนสาธารณะสั้นๆ เป็นรันเวย์ กรีเป้นจึงถูกออกแบบมาให้มีต้นทุนต่ำ กล่าวคือ
- มีขีดความสามารถในการบินขึ้น-ลงบนรันเวย์ระยะสั้น (STOL, Short Take Off and Landing) ที่มีความยาวเพียง 600-800 เมตรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามแนวคิด BAS 90
- มีค่าใช้จ่ายต่อชั่วโมงบินที่ต่ำกว่าเครื่องบินรบในระดับเดียวกัน ทั้งยังซ่อมบำรุงได้ง่ายดาย โดยซ่อมบำรุงและเติมเชื้อเพลิง-อาวุธใหม่ได้ด้วยกำลังพลภาคพื้นดินที่เป็นทหารเกณฑ์เพียง 5 นายภายใต้การดูแลของนายทหารช่าง 1 นายภายในเวลาไม่ถึง 10 นาที
ด้วยเหตุผลที่กล่าวมาข้างต้น กรีเป้นจึงยังคงรูปแบบเครื่องบินรบ Canard-Delta Wing ที่ติดตั้งปีกคานาร์ด (Canard ปีกเล็ก) อยู่ด้านหน้าปีกหลักรูปสามเหลี่ยมตามแบบโมเดลก่อนอย่างวีเก้น (JA-37 Viggen) แม้จะตัดปลายปีกเพื่อติดตั้งขีปนาวุธแบบอากาศสู่อากาศระยะใกล้ (AIM-9)
อีกประการหนึ่ง ปีกคานาร์ดของกรีเป้นเป็นแบบขยับเพื่อปรับมุมได้ทั้งชิ้น (fully movable) จึงทำหน้าเป็นเบรคอากาศในเวลาร่อนลงรันเวย์ได้ กรีเป้นจึงไม่ต้องติดตั้งเครื่องปรับทิศทางไอพ่นย้อนกลับ (Thrust Reverser) อย่างที่ติดตั้งให้กับวีเก้น
ยิ่งไปกว่านั้น กรีเป้นยังมีโครงสร้างน้ำหนักเบาจากการใช้วัสดุคอมโพสิตและวัสดุน้ำหนักเบาชนิดต่างๆ เพื่อลดน้ำหนักและเพิ่มประสิทธิภาพในการบิน (maneuverability) ด้วยเหตุนี้ กรีเป้นจึงโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่ปราดเปรียวเพรียวลมกว่า และมีความคล่องตัวสูงทั้งในย่านความเร็วต่ำและเหนือเสียง
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี​อิเล็กทรอนิกส์เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ระบบคอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง ในขณะที่มีความสามารถและประสิทธิภาพสูงขึ้น อันเป็นส่วนสำคัญที่ยกระดับความสามารถในการรบของเครื่องบินรบรุ่นใหม่ให้สูงกว่าเครื่องบินรบโมเดลก่อน
นอกจากนี้ ซ้าบยังพัฒนาให้กรีเป้นรุ่น E/F มีความสามารถลดการตรวจจับโดยคลื่นเรด้าร์ได้ดีจนมีขนาดหน้าตัดจากการสะท้อนคลื่นเรด้าร์ (Radar Cross-Section) ต่ำกว่าเครื่องบินรบยุค 4 อื่นๆ อย่าง กรีเป้นรุ่น A/B/C/D, เอฟ-16 ฯลฯ แต่ใดๆ ก็ตาม กรีเป้นก็ยังไม่ใช่เครื่องบินล่องหน (Stealth) เต็มรูปแบบอย่างเอฟ-35 ไลท์นิ่งทู (Lockheed F-35 Lightning II) หรือ เอฟ-22 แรปเตอร์ (Lockheed F-22 Raptor) กรีเป้น E/F จึงถูกจัดเป็นเครื่องบินรบยุค 4.5 (4.5th Generation)
ในทางเทคนิค หากเทียบเฉพาะรุ่น C/D ที่กองทัพอากาศไทยมีใช้งาน กับรุ่น E/F แล้ว รุ่น C/D มีมิติและน้ำหนักที่เล็กกว่ารุ่น E/F พอประมาณ โดยรุ่น C/D มีความยาว 14.1 ม., ปีกกว้าง 8.4 ม., สูง 4.5 ม. ในขณะที่ E/F มีความยาว 15.2/15.9 ม., ปีกกว้าง 8.6 ม., สูง 4.5 ม. รุ่น C/D มีน้ำหนักเปล่า 6,800 กก. น้ำหนักสูงสุด 14,000 กก. รุ่น E/F มีน้ำหนักเปล่า 8,000 กก. น้ำหนักสูงสุด 16,500 กก.
ด้วยมิติที่แตกต่างกันดังว่า รุ่น E/F (ที่กองทัพอากาศไทยกำลังจัดซื้อ) จึงใช้เครื่องยนตร์เจ็ตแตกต่างจากรุ่น C/D ขณะที่รุ่น C/D ใช้เครื่องยนตร์เจ็ต Volvo Aero RM12 อันเป็นเครื่องยนต์เทอร์โบแฟนที่มีความสมดุลระหว่างแรงขับและประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงซึ่งวอลโว่ซื้อลิขสิทธิ์ General Electric F404 แรงขับ 18,100 ปอนด์มาผลิตเอง
รุ่น E/F เปลี่ยนมาใช้เครื่องยนตร์เจ็ต General Electric F414-GE-39E อันเป็นรุ่นปรับปรุงของเครื่องยนตร์ที่ติดตั้งใช้กับเอฟ/เอ-18 (F/A-18 Hornet) ของสหรัฐอเมริกาแต่มีขนาดพัดลมอัดอากาศ (fan) ที่ใหญ่กว่าและติดตั้งอาฟเตอร์เบิร์นเนอร์รุ่นใหม่ ซึ่งให้แรงขับสูงกว่าที่ 22,000 ปอนด์ที่รองรับการบินแบบซูเปอร์ครูซ (Super Cruise บินด้วยความเร็วเหนือเสียงโดยไม่ใช้อาฟเตอร์เบิร์นเนอร์) ที่มัค 1.1
ทั้งรุ่น C/D และ E/F ทำความเร็วสูงสุดได้ราวมัค 2 (Mach 2 หรือสองเท่าของความเร็วเสียง) และมีอัตราการไต่ระดับที่ 254 เมตรต่อวินาที รวมทั้งมีเพดานบินสูงสุดที่ 15,240 ม.หรือ 50,000 ฟุต
เมื่อติดตั้งถังน้ำมันสำรอง กรีเป้นรุ่น C/D จะมีพิสัยปฏิบัติการ 3,200 กม. ในขณะที่รุ่น E/F ซึ่งโดยทั่วไปจุเชื้อเพลิงได้มากกว่ารุ่น C/D ราว 30% เมื่อติดตั้งถังน้ำมันสำรองแล้วจะมีพิสัยปฏิบัติการ 4,000 กม. อย่างไรก็ตาม นี่อาจไม่ใช่จุดอ่อนของกรีเป้นเมื่อเทียบกับเอฟ-16 ที่ติดตั้งถังน้ำมันสำรองแล้วจะมีพิสัยปฏิบัติการ 4,200 กม. เพราะระยะห่างจากพรมแดนเหนือสุดถึงใต้สุดของประเทศไทยจากจุดเหนือสุดที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงรายกับจุดใต้สุดที่อำเภอเบตง จังหวัดยะลา มีความยาวประมาณ 1,620 กิโลเมตรเท่านั้น
ระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งให้กับกรีเป้นทั้งระบบคอมพิวเตอร์และระบบควบคุมการบิน (Avionics) ถูกออกแบบโดยใช้สถาปัตยกรรมแบบเปิด (Open Architecture) เพื่อให้ง่ายต่อการอัปเกรดซอฟต์แวร์และติดตั้งอุปกรณ์ใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว
กรีเป้นติดตั้งเรด้าร์ที่ตรวจจับเป้าหมายได้หลายเป้าหมายพร้อมกัน โดยรุ่น C/D ติดตั้งเรดาร์แบบ Pulse-Doppler โมเดล Ericsson PS-05/A ในขณะที่รุ่น E/F ติดตั้งเรดาร์พิสัยกวาดจับไกลราว 200-300 กม.แบบ AESA โมเดล Raven ES-05
ทั้งรุ่น C/D และ E/F ติดตั้งระบบเดต้าลิ้งค์โมเดล TIDLS (Tactical Information Data Link System) ที่มีขีดความสามารถในการแบ่งปันข้อมูลเป้าหมายแบบเรียลไทม์ระหว่างเครื่องในฝูงบิน และยังเน้นการเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกหน่วยปฏิบัติการ (เครื่องบิน, เรดาร์, ดาวเทียม) เพื่อสร้างภาพรวมสถานการณ์ (Situational Awareness) และยังเข้ากันได้กับระบบเดต้าลิ้งค์มาตรฐาน Link 16 ของ NATO
การปรับปรุงระบบเดต้าลิ้งค์ ส่งผลให้กรีเป้นมีมูลค่าทางการตลาดมากขึ้นจนได้รับความสนใจจากประเทศต่างๆ อาทิ คำสั่งซื้อจากแอฟริกาใต้และบราซิล ให้ฮังการีและสาธารณรัฐเช็คเช่า รวมทั้งไทยด้วย
กรีเป้นติดตั้งระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ ระบบรบกวนเรดาร์ (ECM), ระบบเตือนภัย (Radar Warning Receiver) และระบบป้องกันขีปนาวุธ รวมทั้งติดตั้งระบบนำร่องแบบ GPS/INS และระบบนำทางด้วยเรดาร์ภูมิประเทศ และในภารกิจลาดตระเวนจะติดตั้ง Litening G4 Targeting Pod
กรีเป้น C/D ติดตั้งจอแสดงผลมัลติฟังก์ชั่น 3 จอ ในขณะที่รุ่น E/F ติดตั้งจอแสดงผลแบบ Wide Area Display (WAD) ขนาดใหญ่
กรีเป้นมีจุดติดตั้งอาวุธ (Hardpoints) 8 จุดในรุ่น C/D รองรับน้ำหนักบรรทุกรวม 7,200 กก. และ 10 จุดในรุ่น E/F รองรับน้ำหนักบรรทุกรวม 7,200 กก. โดยกรีเป้นใช้ขีปนาวุธต่อต้านเรือแบบ RBS-15 พิสัยปฏิบัติการ 200-300 กม. และขีปนาวุธครู้ส Taurus KEPD 350 พิสัยปฏิบัติการ 500 กม.ในรุ่น E/F
ในการป้องกันภัยทางอากาศแบบหลายชั้น กรีเป้นจะถูกรวมเข้ากับระบบป้องกันภัยทางอากาศภาคพื้นดิน (เช่น BAMSE) และหน่วยลาดตระเวนทางอากาศ (AWACS) และใช้อาวุธอากาศสู่อากาศ เช่น ขีปนาวุธระยะสั้นแบบ AIM-9 Sidewinder หรือ IRIS-T ขีปนาวุธระยะไกลแบบ MBDA Meteor ที่มีพิสัยปฏิบัติการ >100 กม.เพื่อสกัดกั้นเป้าหมายก่อนเข้าสู่น่านฟ้า รวมทั้ง AIM-120 AMRAAM
ในภารกิจโจมตี กรีเป้นจะใช้อาวุธอากาศสู่พื้นได้หลายแบบ เช่น ระเบิดนำวิถีแบบ GBU-12/16 Paveway II หรือ GBU-39 Small Diameter Bomb หรือ GBU-31/38 JDAM กรีเป้นยังสามารถติดตั้งและใช้งานขีปนาวุธ AGM-88 HARM อันเป็นขีปนาวุธต่อต้านสัญญาณเรดาร์ความเร็วสูงจากอากาศสู่พื้น ที่ออกแบบมาเพื่อตรวจจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์จากระบบเรดาร์แบบพื้นสู่อากาศได้ด้วย
อาวุธมาตรฐานของกรีเป้นคือ ปืนกลอากาศแบบ Mauser BK-27 ขนาด 27 มม., 120 นัด, อัตราการยิง 1,700 นัด/นาที ในรุ่น C/D แต่รุ่น E/F สามารถถอดปืนกลอากาศดังกล่าวออกได้เพื่อเพิ่มพื้นที่ติดตั้งอาวุธ
...
ในอนาคต การมาของเครื่องบินรบยุคที่ 5 (5th Generation) และโดรน/อากาศยานไร้คนขับ บีบให้สวีเดนต้องลงทุนในระบบป้องกันภัยทางอากาศที่ทันสมัยยิ่งขึ้น จึงเป็นเรื่องเข้าใจได้ที่มีข่าวเกี่ยวกับความพยายามบูรณาการเครื่องบินรบ (กรีเป้น) เข้ากับระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) รวมทั้งปฏิบัติการร่วมกับโดรน
เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีข่าวว่า SAAB กำลังพัฒนาแนวคิดเครื่องบินรบไร้คนขับที่ควบคุมโดยปัญญาประดิษฐ์หรือระบบควบคุมจากระยะไกลเพื่อเสริมการทำงานของกรีเป้น
SAAB ประกาศในเว็บไซต์ของตนเองเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2025 ที่ผ่านมาถึงความสำเร็จของโครงการ Project Beyond ในการทดลองใช้งานปัญญาประดิษฐ์ของบริษัท Helsing (เฮลซิ่ง) ชื่อ Centaur (เซนทอร์) กับเครื่องบินรบ Gripen E ของตนครบสามเที่ยวบิน อันเป็นหมุดหมายของความก้าวหน้าอันมีนัยสำคัญในการผสานความสามารถของปัญญาประดิษฐ์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องบินรบ
โครงการนี้ ได้รับเงินทุนสนับสนุนการวิจัยจาก Swedish Defence Material Administration (FMV) โดยเป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรม Swedish Concept programme for Future Fighter Systems ของสวีเดน
นี่ยังยืนยันความสามารถของ Gripen E ในการปรับแต่งระบบซอฟท์แวร์ประจำเครื่องได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ละเลยข้อกำหนดความปลอดภัยที่ยากจะหาเครื่องบินรบโมเดลใดมาทัดเทียม จากปรกติที่ต้องทดสอบกับเครื่องบินวิจัยทดลอง (experimental X-plane) ก่อน
การทดสอบเที่ยวบินแรกเริ่มในวันที่ 28 พฤษภาคม 2025 และทดสอบเที่ยวบินที่สามในวันที่ 3 มิถุนายน 2025 ที่เป็นการทดสอบการทำงานของเซนทอร์เป็นการเฉพาะโดยทดลองต่อตีในฉากทัศน์การรบนอกระยะสายตา (BVR) กับ Gripen D โดยบูรณาการข้อมูลแบบเรียลไทม์จากเครื่องตรวจจับเป้าหมาย
ในการทดลองบินดังกล่าว Centaur ได้รับหน้าที่ควบคุมการบินของ Gripen E และสามารถปฏิบัติท่าบินที่ซับซ้อนในการรบนอกระยะสายตา (Beyond Visual Range, BVR) ตลอดช่วงเวลาปฏิบัติการไปจบที่ขั้นตอนแจ้งนักบินให้ปล่อยอาวุธได้
...
Gripen นับความสำเร็จของนวัตกรรมทางยุทธวิธีและเทคโนโลยีของสวีเดนโดยที่ Gripen E/F คือ อนาคตของ ที่ยังคงยึดมั่นในแนวคิดหลักของการเป็นเครื่องบินรบที่มีประสิทธิภาพสูงและคุ้มค่า แต่ได้ถูกพัฒนาให้มีเทคโนโลยีที่ทัดเทียมกับเครื่องบินรบรุ่นที่ 5 (Fifth-generation fighter) มากยิ่งขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น Gripen ยังเปลี่ยนแปลงจากเครื่องบินรบที่ถูกออกแบบเพื่อป้องกันบ้านเกิดเมืองนอน มาสู่เครื่องบินรบที่พร้อมจะร่วมปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์กับ NATO โดยปรับตัวได้อย่างรวดเร็วผ่านการอัพเกรดซอฟต์แวร์ และยังอยู่ในช่วงถูกปลุกปั้นให้รองรับปัญญาประดิษฐ์ (AI), ซึ่งจะสามารถพัฒนาไปสู่ยุคที่ “มนุษย์–เครื่องจักร” ปฏิบัติการร่วมกันในสนามรบได้ในอนาคต
...
โฆษณา