13 ส.ค. เวลา 08:11 • สุขภาพ

“รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์”

รางวัลเทิดพระเกียรติพระอัจฉริยภาพ กับการพัฒนาคุณภาพการแพทย์ไทยระดับโลก
“Health is Wealth” เป็นสำนวนภาษาอังกฤษที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย ที่สะท้อนถึงการลงทุนในสุขภาพว่า เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด เพราะหากเรามีร่างกายที่ดี เราก็จะมีทุนตั้งต้นที่ดี สามารถใช้ชีวิตและสร้างประโยชน์ได้มากมาย แต่สิ่งที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของสุขภาพที่ดี คือ โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ และหนึ่งในโรคร้ายที่อันตรายและน่ากลัวที่สุด คือ มะเร็ง โรคร้ายที่คร่าชีวิตคนทั่วโลกในแต่ละปีกว่า 10 ล้านคน และในประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเกือบ 100,000 คนต่อปี
ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานและนายกสภาราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ทรงตระหนักถึงความสำคัญและความเร่งด่วนในการพัฒนาคุณภาพการดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ด้วยพระปณิธานแน่วแน่ในการใช้วิทยาศาสตร์ทางการแพทย์พัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทย
จึงทรงก่อตั้งโรงพยาบาลจุฬาภรณ์ เพื่อให้บริการผู้ป่วยมะเร็งทั่วไปเป็นการเฉพาะ ตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2552 สภาราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ จึงเสนอให้มีการจัดตั้งรางวัลระดับนานาชาติ โดยได้จัดตั้งมูลนิธิรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เพื่อดูแลให้สามารถดำเนินการได้อย่างถาวรและเป็นระบบในระยะยาว
“รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์” จัดตั้งขึ้นเพื่อเป็นรางวัลให้แก่ผู้มีผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ด้านการป้องกัน ควบคุม และดูแลรักษาผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อเทิดพระเกียรติและเผยแพร่พระเกียรติคุณ ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี องค์ประธานและนายกสภาราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
ในโอกาสทรงเจริญพระชันษา 65 ปี วันที่ 4 กรกฎาคม 2565 โดยปัจจุบัน มีศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน เป็นประธานกรรมการ พร้อมด้วยกรรมการอีก 30 คน โดยผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจะได้รับโล่รางวัลและเงินรางวัล 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ
โล่รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ (ที่มา: ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์)
ผู้ที่ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ (Princess Chulabhorn Award) จะต้องเป็นผู้ที่มีผลงานเกี่ยวข้องกับการวิจัยและพัฒนาเพื่อป้องกันโรคมะเร็ง และผ่านการคัดเลือกที่ครอบคลุมและเข้มข้น โดยคณะกรรมการของมูลนิธิฯ ถึง 3 ชุด ขั้นตอนการคัดเลือก เริ่มต้นจากการส่งจดหมายไปยังสถาบันมะเร็งใน 77 ประเทศทั่วโลก เพื่อให้เสนอชื่อผู้ที่เข้าเกณฑ์มายังมูลนิธิฯ เมื่อได้รายชื่อแล้ว คณะกรรมการชุดแรกจะคัดเลือกให้เหลือ 8 คน
ก่อนส่งให้คณะกรรมการชุดที่ 2 คัดเลือกให้เหลือเพียง 1 - 2 คน จากนั้น จึงส่งให้คณะกรรมการชุดสุดท้าย หรือ Board of Trustees ตรวจสอบว่า เป็นผู้มีคุณสมบัติตามเกณฑ์หรือไม่ หากพบว่า มีคุณสมบัติครบถ้วนเหมาะสม ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์รัชตะ รัชตะนาวิน ประธาน Board of Trustees จะนำชื่อขึ้นถวายองค์ประธานและนายกสภาราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ เพื่อมีพระวินิจฉัย
ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์ อาแบส อะลาวี ผู้ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ครั้งที่ 1 ประจำปี 2566
ผู้ที่ได้รับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ครั้งที่ 1 ประจำปี 2566 คือ ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์อาแบส อะลาวี (Abass Alavi, MD, MD (Hon), PhD (Hon), DSc (Hon)) ศาสตราจารย์ สาขาวิชารังสีวิทยา โรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย
รองผู้อำนวยการสาขาวิชาผู้สูงอายุ คณะแพทยศาสตร์พีเรลแมน มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา
ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์อาแบส อะลาวี และทีมงานได้คิดค้นแนวคิดในการติดฉลาก deoxyglucose ด้วยฟลูออไรด์ที่เปล่งโพซิตรอน (18F) นำไปสู่การพัฒนา fludeoxyglucose (FDG) ซึ่งเป็นสารเภสัชรังสีแรกที่ได้รับการอนุมัติทางคลินิกในการถ่ายภาพ PET ทำให้ช่วยติดตามผลการรักษามะเร็งได้อย่างแม่นยำ โดยช่วยแสดงเซลล์มะเร็งที่มีการดูดซึมน้ำตาลสูง ทำให้แพทย์ประเมินระยะโรคและผลตอบสนองต่อการรักษาได้รวดเร็วขึ้น
นอกจากนี้ ยังช่วยวางแผนการฉายแสงให้ตรงจุด ลดผลข้างเคียง และสนับสนุนการรักษาแบบเฉพาะบุคคลได้ดีขึ้น ทำให้การรักษามะเร็งมีประสิทธิภาพและแม่นยำมากขึ้น เป็นการปูทางไปสู่การแพทย์แบบเฉพาะบุคคล และการแพทย์แม่นยำ
ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์เดนนิส เจ. สเลมอน (Dennis J. Slamon, MD) กล่าวปาฐกถาพิเศษเกี่ยวกับการค้นพบยีน Human Epidermal Growth Factor Receptor 2 (HER2) (ที่มา: ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์)
ผู้ได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ครั้งที่ 2 ประจำปี 2567 คือ ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์เดนนิส เจ. สเลมอน (Dennis J. Slamon, MD) อายุรแพทย์โรคมะเร็งชาวอเมริกัน ที่มีผลงานด้านมะเร็งวิทยาเป็นที่ประจักษ์ และเป็นผู้ค้นพบยีน Human Epidermal Growth Factor Receptor 2 (HER2) ซึ่งนำไปสู่การพัฒนายาชีววัตถุ ทราสทูซูแมบ (Trastuzumab)
ยาดังกล่าวเป็นยารักษาแบบโมเลกุลมุ่งเป้า ที่ปฏิวัติวงการรักษาโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมชนิด HER2-positive ซึ่งได้ช่วยชีวิตผู้หญิงนับล้านคนทั่วโลก การค้นพบของ ดร. สเลมอน นับเป็นจุดเปลี่ยนของแนวทางการรักษาโรคมะเร็ง และเป็นจุดเริ่มต้นของยุคการแพทย์แบบเฉพาะบุคคล และการแพทย์แม่นยำ
ศาสตราจารย์ ดร. สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี พระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ ประจำปี 2567 ให้แก่ ศาสตราจารย์ ดร. นายแพทย์เดนนิส เจ. สเลมอน (Dennis J. Slamon, MD) (ที่มา: ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์)
ภายหลังได้รับพระราชทานรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2568 ดร. สเลมอนได้กล่าวแสดงความขอบคุณและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้รับพระราชทานรางวัลจากองค์ประธานและนายกสภาราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ อีกทั้งยังรู้สึกประทับใจในพระวิริยะอุตสาหะของพระองค์ ที่ทรงสนับสนุนการพัฒนาการแพทย์ไทย จนมีความก้าวหน้าเทียบเท่าระดับสากลได้ภายในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ
เมื่อมีผู้สอบถามถึงแรงบันดาลใจในการทำงาน ดร. สเลมอนกล่าวว่า ตนมีความสนใจด้านชีววิทยาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และในขณะที่ศึกษาด้านแพทยศาสตร์ก็ได้พบว่า การศึกษาเรื่องมะเร็งเป็นสิ่งที่ซับซ้อนและท้าทาย จึงจุดประกายแรงบันดาลใจ ในการศึกษาค้นคว้าด้านมะเร็ง ดร. สเลมอนยังกล่าวว่า จะยังคงอุทิศตนให้กับการศึกษาค้นคว้าด้านมะเร็งอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันยังได้ให้ความสนใจเป็นพิเศษกับเทคโนโลยีที่ใช้ในการตรวจสอบและวิเคราะห์เซลล์มะเร็ง
ดร. สเลมอนยังเน้นย้ำว่า คุณสมบัติที่ดีของแพทย์ คือ ต้องมีความเห็นอกเห็นใจต่อคนไข้ เมื่อใดที่คนไข้ต้องมีส่วนร่วมในการวิจัย ก็จำเป็นต้องมีการแจ้งให้คนไข้เข้าใจอย่างชัดเจนถึงวิธีการและจุดประสงค์ และต้องระลึกไว้เสมอว่าการรักษาคนไข้ไม่ได้เป็นเพียง การรักษาบุคคลหนึ่งเท่านั้นแต่ยังเป็นการช่วยเหลือสังคมในภาพรวมอีกด้วย
รางวัลสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ นับเป็นรางวัลพระราชทานใหม่ล่าสุด ที่มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมและยกระดับคุณภาพชีวิต ของประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนผู้ที่อุทิศตนให้กับการศึกษาค้นคว้า เพื่อป้องกัน วินิจฉัย และรักษาโรคมะเร็งในระดับนานาชาติ เช่นเดียวกับรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดล รางวัลสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี และรางวัลสมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรี
รางวัลเหล่านี้ล้วนเป็นรางวัลที่มอบให้กับผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์ สาธารณสุข การพยาบาล การผดุงครรภ์ และครู ที่มีผลงานดีเด่นเป็นที่ประจักษ์ทั้งในระดับชาติและนานาชาติ อันเป็นการเผยแพร่พระเกียรติคุณของสถาบันหลักของชาติและสะท้อนถึงบทบาทที่ชัดเจนของประเทศไทยในการสร้างคุณประโยชน์ สนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทยและชาวโลกอย่างยั่งยืน
โฆษณา