14 ส.ค. เวลา 14:41 • หุ้น & เศรษฐกิจ

AMC ภาคครัวเรือน รัฐบาลมาถูกทาง หรือ ผิดทาง

ท่ามกลางข่าวควันหลงหลังการสู้รบระหว่างไทย – กัมพูชา รัฐบาลได้ออกนโยบายที่สำคัญนโยบายหนึ่งที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจค่อนข้างมากในระยะกลางและระยะยาวคือ การตั้ง AMC ภาคครัวเรือน แต่ด้วยความที่ถูกข่าวการสู้รบยังอยู่ในกระแสทำให้ข่าวนี้ไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ จึงจำเป็นที่จะต้องนำมาวิเคราะห์ผลดี ผลเสียที่จะเกิดขึ้นจากนโยบายนี้
เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนได้กลายเป็นระเบิดเวลาของเศรษฐกิจไทยเพราะหากพิจารณาจากข้อมูล ณ เดือนธันวาคม 2567 NPL ของหนี้ภาคประชาชนที่เครดิตบูโร (หนี้ค้างชำระมากกว่า 90 วันขึ้นไป) มีจำนวนมากถึง 9.59 ล้านบัญชี คิดเป็นมูลหนี้ 1.2 ล้านล้านบาท (ซึ่งยังไม่ครอบคลุมถึงหนี้เสียของสหกรณ์ นอนแบงก์ในธุรกิจลิสซิ่ง หรือนอนแบงก์ที่ไม่เป็นสมาชิกเครดิตบูโร)
สถานการณ์ดังกล่าวทำให้เกิดปัญหาต่อทั้งเศรษฐกิจและสังคม หลายครอบครัวติดอยู่ในวงจรหนี้เสีย (NPL) ที่ไม่มีทางออก ขณะที่สถาบันการเงินเองก็ต้องการล้างหนี้เสียออกจากงบดุลเพื่อกลับมาปล่อยกู้ต่อได้ทำให้กลไกหนึ่งที่ถูกพูดถึงมากขึ้นในรัฐบาลปัจจุบัน (ณ สิงหาคม 2568) คือ AMC (Asset Management Company) หรือ “บริษัทบริหารสินทรัพย์” ซึ่งมีหน้าที่รับโอนหนี้เสียมาจัดการแทนธนาคาร
ในปัจจุบัน ไทยมีทั้ง AMC เชิงพาณิชย์ เช่น BAM และ AMC ในลักษณะกึ่งสังคม เช่น กองทุนฟื้นฟูเกษตรกร ที่ยังทำได้จำกัดทั้งในแง่ของอาชีพที่ได้เฉพาะเกษตรกรและในแง่ของจำนวนที่ถูกจำกัดตามงบประมาณที่ได้รับ ทั้งยังติดกฎเกณฑ์ภาครัฐที่ยิบย่อยในขณะที่ยังทำบทบาทในการฟื้นฟูตามวัตถุประสงค์ที่ถูกตั้งมาได้น้อยมาก
อีกแห่งหนึ่งคือ ARI-AMC ของออมสินที่ร่วมกับ BAM ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปลายปี 2567 และ ณ สิงหาคม 2568 เพิ่งเริ่มโอนหนี้ครัวเรือนได้ประมาณ 5 แสนบัญชีเข้ามาบริหารซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับปัญหาทั้งหมดอีกทั้งยังไม่ชัดเจนในแนวทางการฟื้นฟูลูกหนี้เช่นกัน
แม้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยจัดการตัวเลขหนี้ได้ แต่ก็ทำได้จำกัดและยังสร้างคำถามที่สำคัญคือ “ลูกหนี้กลับมาลุกขึ้นยืนอย่างแข็งแรงได้จริงหรือแค่ถูกย้ายกองไปไว้ที่อื่น”
หากพิจารณาจากแนวทางใหม่ที่รัฐบาลจะทำตามที่เสนอต่อสื่อมวลชนโดยปลัดกระทรวงการคลัง ในวันที่ 9 สิงหาคม 2568 คือการเตรียมให้ ธปท. เตรียมผ่อนคลายกฎเกณฑ์ให้ธนาคารตั้ง AMC ของตัวเองได้ง่ายขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ ดึง NPL เข้าสู่กลไกการบริหารจัดการรวมเพื่อช่วยปรับงบดุลของตัวเองให้ดีขึ้น โดยเชื่อว่าการมี AMC จะช่วยให้ธนาคารกล้าปล่อยสินเชื่อมากขึ้น อีกทั้งยังให้ดำเนินการหาแนวทางให้ครอบคลุมกลุ่ม non – bank
ส่วนธนาคารขนาดเล็กและธนาคารเฉพาะกิจของรัฐ ถ้าไม่พร้อมตั้ง AMC เอง ก็ให้เข้าไปใช้บริการ บริษัท บริหารสินทรัพย์อารีย์ จำกัด หรือ ARI-AMC บริษัทลูกของธนาคารออมสิน
นอกจากนี้ ยังผ่อนคลายมาตรการเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาและถูกบันทึกข้อมูลในเครดิตบูโร ซึ่งปกติจะต้องรอ 36 เดือนจึงจะลบประวัติออก แต่ในโครงการนี้ จะใช้ระบบจัดกลุ่มลูกหนี้ตามระดับความเสี่ยงและลดระยะเวลาเหลือเพียง 6 เดือน โดยในระหว่างนั้น ธนาคารจะทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ให้คำปรึกษาและช่วยฟื้นฟูสถานะการเงิน หากประเมินแล้วว่าลูกหนี้ยังมีศักยภาพ ก็สามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้ทันที
มาตรการดังกล่าว หากฟังเพลิน ๆ ก็น่าจะดี แต่หากพิจารณาอย่างเจาะลึกลงไปจะพบว่าเป็นมาตรการที่ไม่รอบคอบและเน้นการเอาใจประชาชนมากกว่าจะเน้นผลการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เพราะหากทำตามที่ได้ประกาศไว้จริง อาจเกิดปัญหาหลายอย่างเมื่อนำไปปฏิบัติจริง เช่น
- ธนาคารอาจตั้งราคาขายหนี้ให้ AMC ต่ำกว่าความเป็นจริงเพื่อเร่งโอนภาระ/ความเสี่ยงออกไป แต่กลุ่มธนาคารยังถือ AMC เอง ความโปร่งใสจึงต่ำ และหาก AMC ขาดทุน ผลการขาดทุนก็ยังกลับมาที่ธนาคาร
- เกิด Moral Hazard เพราะเมื่อรู้ว่ามี AMC ในเครือคอยรับซื้อหนี้เสีย ธนาคารอาจปล่อยกู้แบบเสี่ยงเกินไป
- เพิ่มภาระให้ ธปท. ในการกำกับ และไม่ว่าจะกำกับอย่างไร ก็จะยังมีประเด็นที่ไม่โปร่งใสและสามารถหาช่องโหว่เพื่อหลุดลอดได้
- เนื่องจากเป็นการตั้งในรูปแบบ AMC เชิงพาณิชย์ การบริหารจะเน้นไปที่การเร่งขายทรัพย์/ยึดทรัพย์มากกว่าฟื้นฟู ทำให้ลูกหนี้รายย่อยที่มีคุณภาพดีเสียโอกาสในการปรับโครงสร้างหนี้และกลับมาเป็นผู้ประกอบการที่แข็งแรงใหม่
- การหลุดจากเครดิตบูโรเร็วไปเสี่ยงเกิด “กลับเป็นหนี้ซ้ำ” ถ้าปลดเร็วเกินโดยไม่ดูพฤติกรรมชำระจริง
- การลดระยะเวลาบันทึกประวัติหนี้เสียเหลือ 6 เดือนแบบครอบคลุมทุกคน (blanket rule) จะเกิดปัญหาหลายอย่างเช่น
• ลูกหนี้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงหรือจงใจผิดนัดชำระ (strategic defaulter) อาจได้ประโยชน์มากกว่าลูกหนี้ที่พยายามชำระจริง
• การที่ประวัติหนี้ถูกลบเร็วเกินไปทำให้ผู้ให้กู้ไม่มีข้อมูลของผู้กู้ทุกคนมากพอ จึงมองทุกคนเหมือนกัน การตั้งอัตราดอกเบี้ยจึงต้องตั้งเฉลี่ยที่สะท้อนความเสี่ยงรวม ไม่สามารถแยก “ดี” และ “เสี่ยง” ได้ดีพอ ผลคือ อัตราดอกเบี้ยจะ สูงกว่าที่ลูกหนี้ดีควรจ่าย และ ต่ำกว่าที่ลูกหนี้เสี่ยงควรจ่าย เกิด adverse selection เพราะ “ลูกหนี้เสี่ยง” จะรีบเข้ามาใช้ประโยชน์จากมาตรการ แต่ “ลูกหนี้ดี” กลับเสียโอกาสจากการปล่อยกู้ที่ระมัดระวังมากขึ้น
ดังนั้น หากรัฐบาลต้องการแก้ปัญหาให้ได้จริง รัฐบาลจะต้องป้องกันความเสียหายเชิงระบบที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวที่อาจนำไปสู่การสร้างจุดอ่อนและความเสียหายให้กับระบบการเงินได้ โดยดำเนินการเพิ่มเติมจากที่ได้ประกาศไว้แล้ว เช่น
- สร้างแพลตฟอร์ม exchange ซื้อขาย NPA/NPL ที่โปร่งใส เพิ่มสภาพคล่องและดึงผู้ลงทุนสถาบัน/ต่างชาติ และใช้กลไกตลาดเป็นตัวกำหนดราคาที่แท้จริงเพื่อลดปัญหา Moral Hazard ที่ธนาคารอาจเร่งขายหนี้ออกจากตัวเองด้วยราคาต่ำเกินจริงให้กับ AMC ที่เป็นบริษัทลูกของตน
- เชิญชวนภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศเข้ามาทำธุรกิจ AMC เพื่อเพิ่มจำนวนผู้เล่นในระบบซึ่งจะเกิดประโยชน์ทั้งในแง่การทำให้ตลาดแข่งขันกันอย่างสมบูรณ์มากขึ้น และครอบคลุมจำนวนลูกหนี้มากขึ้น
- เปลี่ยนการลดระยะเวลาการลบประวัติเครดิตบูโรจาก 36 เดือน เป็น 6 เดือน เป็น probation แบบมีเงื่อนไข เช่น จ่ายตามแผน 6-12 เดือนต่อเนื่อง ไม่มีหนี้ค้างใหม่ ผ่านหลักสูตรวินัยการเงิน
- อย่างไรก็ตาม หากจะให้ธนาคารตั้ง AMC ของตัวเอง ก็ควรต้องมีกติกาเพื่อไม่ให้ธนาคารใช้ช่องทางนั้นเป็นประโยชน์ในการยกเว้นการรับผิดชอบหรือปิดบัง ดังนี้
• Fair value — หนี้ต้องโอนในราคาที่สะท้อนมูลค่าจริง (ไม่สูงไปหรือต่ำไป)
o ราคาซื้อขายสินทรัพย์ระหว่างธนาคารและ AMC ที่เป็นบริษัทลูกของตนต้องผ่านผู้ประเมินอิสระ (independent valuer) แต่อย่างไรก็สู้การซื้อขายผ่าน exchange ไม่ได้
o มีกระบวนการกำกับเพื่อป้องกันการโอนหนี้จากธนาคารไป AMC ในราคาต่ำเกินจริงซึ่งทำให้ดูเหมือนธนาคารขาดทุนจากหนี้เสียลดลง แต่นักลงทุน เจ้าหนี้ และผู้ฝากเงินไม่เห็นความเสี่ยงจริง
• Full disclosure — เปิดเผยธุรกรรมและความเสี่ยงให้ ธปท. และนักลงทุนเห็นชัด
o ผู้ลงทุนและผู้ฝากเงินต้องรู้ว่าธนาคารยังมีหนี้เสี่ยงในระบบ ไม่ใช่แค่ซ่อนในบริษัทลูก
o หากธนาคารโอน NPL ไปให้ AMC แต่ไม่เปิดเผยราคาที่โอนหรือความเสี่ยงที่ยังเหลืออยู่ นักลงทุนอาจเข้าใจผิดว่าธนาคารแข็งแรงกว่าความจริง
• Ring-fencing — AMC ต้องเป็นนิติบุคคลแยกที่ไม่โยงกลับไปซ่อนความเสี่ยงในธนาคาร
o ถ้าธนาคารยังค้ำประกัน AMC ไว้จริง แต่ไม่เปิดเผย ก็เท่ากับซ่อนความเสี่ยงที่ยังผูกกับธนาคาร
o การโอน NPL ต้องเข้าหลัก true – sale และผ่านเกณฑ์รวมงบ/เส้นแบ่งการค้ำประกันตามที่กำหนด
• Performance review — ธปท. ต้องตรวจสอบการโอนหนี้และการทำงาน AMC อย่างต่อเนื่อง
o มีกระบวนการไม่ให้เกิดการใช้ AMC มารับหนี้เสียใหม่ ๆ ต่อเนื่องโดยไม่ปรับปรุงระบบปล่อยกู้ซึ่งเป็นการผลักปัญหาไปอนาคต
ที่น่ากังวลคือ ดูเหมือนรัฐบาลไม่ค่อยให้ความสนใจเกี่ยวกับการป้องกันความเสียหายเชิงระบบ ในทางตรงกันข้าม กลับขอให้ธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะหน่วยงานกำกับดำเนินมาตรการผ่อนคลายกฎระเบียบของการกำกับในกรณีอนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ตั้ง AMC ของตนเอง
และที่น่ากังวลมากไปกว่านั้นคือ เพื่อให้แนวคิดของรัฐบาลได้รับการตอบสนองจาก ธปท. ได้ดีกว่าในอดีต รัฐบาลก็ส่งคนของตนที่คาดว่าสั่งได้ เข้าไปเป็นผู้ว่า ธปท. ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหา check and balance ระหว่างรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เป็นสององค์กรหลักในการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ
นอกเหนือจากประเด็นเรื่องการป้องกันความเสี่ยงเชิงระบบแล้ว ข้อเสนอเพิ่มเติมข้างต้นล้วนเป็นข้อเสนอในมิติทางการเงิน แต่เนื่องจากปัญหาหนี้ครัวเรือนไม่ได้มีแค่มิติการเงิน เพราะลูกหนี้จำนวนมากมีพฤติกรรมการใช้เงินที่ไม่สมเหตุสมผล หรือไม่มีความรู้ทางการเงิน หรือเพราะผิดพลาดจากการทำธุรกิจเนื่องจากมีความรู้ในการทำธุรกิจจำกัด การใช้ AMC เชิงพาณิชย์ที่เน้นขายทรัพย์หรือยึดทรัพย์จึงไม่ช่วยแก้ปัญหาอย่างแท้จริง
แต่รัฐบาลดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้เลย จะมีก็เพียงบอกว่าจะให้ธนาคารจะทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” ให้คำปรึกษาและช่วยฟื้นฟูสถานะการเงิน ซึ่งในทางปฏิบัติทำได้ยากมากเนื่องจากเจ้าหน้าที่ธนาคารมีจำกัดและมีภารกิจประจำของตนอยู่แล้ว ทำให้ไม่สามารถมีเวลามาคลุกคลีเพื่อช่วยลูกหนี้ระดับครัวเรือนแก้ปัญหาทางการเงินของตนได้ หากทำ ก็จะทำให้ต้นทุนของธนาคารสูงขึ้นมากจนไม่คุ้มที่จะทำและจะทำให้ขาดทุนมาก
ในการแก้ปัญหานี้ให้ได้อย่างจริงจัง หลายประเทศจึงใช้แนวคิด “Social AMC” หรือบริษัทบริหารหนี้ที่เน้นการฟื้นฟูลูกหนี้ให้กลับมายืนได้เป็นเครื่องมือแทน AMC เชิงพาณิชย์ โดยรัฐบาลต้องส่งเสริมให้มี Social AMC จำนวนมากๆ เพื่อช่วยกันดูแลลูกหนี้ที่มีจำนวนมาก
เพราะตามแนวคิด Social AMC ไม่ได้มีขึ้นเพียงแค่ซื้อทรัพย์มาแล้วทยอยขายทรัพย์เหมือน AMC ปกติ แต่เกิดขึ้นมาเพื่อให้โอกาสลูกหนี้ฟื้นตัว ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ + ให้คำแนะนำธุรกิจ/พัฒนาศักยภาพลูกหนี้ + เชื่อมลูกหนี้ที่มีศักยภาพต่ำเข้ากับมาตรการสวัสดิการของรัฐ ซึ่งรัฐจะต้องเข้าช่วยเหลือด้วยมาตรการที่จำเป็น เช่น
- แยกพอร์ทของ NPL ที่เป็นครัวเรือนเปราะบางออกมาให้มีมาตรการฟื้นฟูเฉพาะ (social AMC pool with debt relief + restructuring + skill support)
- กำหนด KPI ที่อิงกับ restructure success rate, re-employment, recidivism (การทำผิดซ้ำลดลง)
- รัฐ subsidize การพัฒนาลูกหนี้ โดยวัดผลที่ปลายทาง เช่น ถ้าลูกหนี้มีรายได้เพิ่มขึ้น กลับมาชำระเงินกู้ได้ รัฐให้โบนัสกับ AMC
- ยกเว้นภาษีสำหรับกิจการ Social AMC
- แบ่งลูกหนี้ครัวเรือนออกเป็นสี่กลุ่ม คือ
• ลูกหนี้ที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยและมี asset (เช่น SMEs, เกษตรกรที่มีที่ดินมูลค่าสูง)
o AMC ใช้ทรัพย์สินเป็น leverage ขาย ปล่อยเช่า บริหารเพื่อสร้างกระแสเงินสด หรือรีไฟแนนซ์
o AMC อาจซื้อ asset ที่ขายไม่ได้มาบริหารต่อเอง
o ใช้แนวทาง Social AMC เพื่อยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ
• ลูกหนี้ที่เป็นผู้ประกอบการรายย่อยแต่ไม่มี asset (เช่น พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอย) หรือมี asset มูลค่าต่ำ (เช่นเกษตรกรในชนบท)
o ใช้แนวทาง Social AMC เพื่อยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ
• ลูกหนี้ที่เป็นพนักงาน/ลูกจ้างแต่มี asset
o ใช้แนวทางเดียวกับผู้ประกอบการรายย่อยในการบริหาร asset
o ใช้แนวทาง Social AMC เพื่อยกระดับศักยภาพของลูกหนี้ในฐานะคนทำงาน
• ลูกหนี้ที่เป็นพนักงาน/ลูกจ้างและไม่มี asset
o ใช้แนวทาง Social AMC เพื่อยกระดับศักยภาพของลูกหนี้ในฐานะคนทำงาน
ข้อเสนอแนวทางการบริหารจัดการของ Social AMC
เนื่องจากวัตถุประสงค์ของ Social AMC ต่างกับ Commercial AMC ตรงที่ Social AMC จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาลูกหนี้ไม่น้อยไปกว่า (หรือแม้แต่มากกว่า) การได้ผลตอบแทนจากการลงทุน โดยมีสมมุติฐานว่า หากลูกหนี้มีพฤติกรรมทางการเงินที่ดีขึ้น มีความสามารถมากขึ้น ก็จะสามารถคืนเงินกู้ได้ดีขึ้น
ในขณะที่ commercial AMC จะให้ความสำคัญกับผลตอบแทนจากการลงทุนเท่านั้น ดังนั้น ปีกหนึ่งของการบริหารจัดการของ Social AMC จะเน้นไปที่การบริหารจัดการและพัฒนาลูกหนี้ไปพร้อมๆ กัน ข้อเสนอต่อไปนี้ คือข้อเสนอสำหรับการดำเนินงานของ Social AMC ในปีกการพัฒนาลูกหนี้
1.) ลูกหนี้เป็นผู้ประกอบการรายย่อย (รวม SMEs พ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอย เกษตรกร)
- ซื้อหนี้คละเกรด นำมาแบ่งเกรด A B C D ตามศักยภาพของผู้เป็นลูกหนี้ (แบ่งห้องเด็กเรียนดี เรียนไม่ดี เพื่อพัฒนาตามศักยภาพ)
- พัฒนาทักษะธุรกิจ ทักษะการเงิน และเป็นพี่เลี้ยงธุรกิจให้กับผู้ประกอบการ
- แปลงหนี้เป็นทุนสำหรับกิจการที่มีศักยภาพ ถ้าฟื้นได้ AMC ได้ capital gain เป็นผลตอบแทนด้วย
- ปรับโครงสร้างหนี้โดยผ่อนจ่ายจากรายได้และกำไรในอนาคตแทนการผ่อนแบบคงที่
- อาจลดหนี้บางส่วน (haircut) เพื่อให้ลูกหนี้ชำระได้จริงแต่ก็ต้องไม่ทำให้ AMC ขาดทุน (ขึ้นอยู่กับผลการวิเคราะห์ผลตอบแทนของ AMC)
- ให้ Small – ticket working – capital หลังปรับโครงสร้าง (วงเงินเล็ก ดอกพิเศษ จ่ายผ่าน e – wallet) เพื่อกันกลับไปหนี้นอกระบบ
2.) ลูกหนี้เป็นพนักงาน/ลูกจ้าง (ที่ไม่มีทักษะทางธุรกิจ)
- ให้ผู้กู้เข้ารับการปรับโครงสร้างหนี้และจัดทำแผนการชำระหนี้ใหม่ พร้อมทั้งผูกแรงจูงใจให้เข้าโปรแกรมฟื้นฟูวินัยการเงิน โดยภาครัฐจัดทำโปรแกรมการสร้างวินัยทางการเงินและมีที่ปรึกษาทางการเงินคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้กู้ที่มีปัญหาหนี้สินจำนวนมากสามารถกลับมามีวินัยทางการเงินได้อีกครั้ง โดยหากทำสำเร็จ จะได้ลดดอกเบี้ย และ/หรือ โบนัส และ/หรือ haircut
- Reskills, upskill, new skill
- Job – matching pipeline ช่วยหางานใหม่เพื่อเพิ่มรายได้ประจำ โดย MOU กับกรมการจัดหางาน/แพลตฟอร์มหางาน + โควตาเอกชน (แลก credit ESG/CSR) ให้มี demand ฝั่งนายจ้างจริง ไม่ใช่แค่อบรมแล้วจบ
- กำหนดสัดส่วนการชำระหนี้ตามรายได้ (income – linked plan) เช่น ให้ลูกหนี้ผ่อนคืน 10–15% ของรายได้ต่อเดือนเป็นการ “ประคองชีวิต” เพื่อไม่ให้ลูกหนี้ล้มละลาย แล้ว AMC ยังได้กระแสเงินสดยาว ๆ
- grace period สำหรับ reskill และหางาน
- เชื่อมโยงกับโครงการสวัสดิการของรัฐสำหรับผู้มีศักยภาพต่ำ
ข้อเสนอแนวทางการระดมทุนเพื่อจัดตั้ง Social AMC
แม้ว่า Social AMC จะมีประโยชน์มากในการจัดการกับปัญหาหนี้เรื้อรังของภาคครัวเรือน แต่ Social AMC มีจุดอ่อนสำคัญคือ “โอกาสขาดทุนสูง” เพราะลูกหนี้จำนวนมากไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน อัตราการได้คืนมีโอกาสต่ำมาก โอกาส turnaround เป็นกำไรน้อยมาก
นอกจากนี้ เนื่องจากเป้าหมายคือการใช้มาตรการช่วยเหลือแทนการบังคับคดีทำให้ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการสูงเพราะต้องลงพื้นที่เจรจา ติดตาม ฟื้นฟู เป็นรายเคสแบบ social worker ดังนั้นการจะหาคนมาทำ Social AMC จึงยากมาก ถ้าจะมีใครทำได้ก็คงจะมีเพียงแค่ รัฐบาลหรือหน่วยงานกึ่งรัฐ องค์กรการเงินเพื่อสังคม หรือกองทุนที่ตั้งมาเพื่อ “ช่วยเหลือ” ไม่เน้นกำไร เช่น องค์กรการกุศล, มูลนิธิ, วิสาหกิจเพื่อสังคม
โดยที่รัฐต้องเข้าเป็นร่วมมือและสนับสนุน เช่น เป็นผู้ถือหุ้นและอุดหนุนงบประมาณเพื่อฟื้นฟูลูกหนี้ (ค่าพัฒนาทักษะ ค่าพี่เลี้ยงธุรกิจ เชื่อมระบบสวัสดิการสำหรับกลุ่มเปราะบาง) รวมทั้งให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือ CSR Credit เพื่อสร้างแรงจูงใจในการดึงภาคเอกชน/องค์กร/มูลนิธิ เข้ามาร่วมงาน โดยมีแหล่งเงินทุนที่เป็นไปได้ประกอบด้วย
- เงินร่วมทุนจากรัฐ (ไม่เกิน 50% และไม่ให้อำนาจบริหาร เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคจากกฎระเบียบของรัฐ)
- ธุรกิจขนาดใหญ่ที่ต้องการพัฒนาสังคม เช่น SCG PTT CP GULF AIS TRUE Central ธนาคารพาณิชย์ต่างๆ และบริษัทขนาดใหญ่ที่เน้น CSR อื่นๆ
- กองทุนเพื่อสังคมและองค์กรระหว่างประเทศ
- Angel investors, venture capital, corporate venture capital ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- ตราสารหนี้ทั้งรูปแบบปกติ และรูปแบบดิจิทัล (G-token) โดยมีรัฐบาลค้ำประกัน
จะเห็นได้ว่า การทำ Social AMC เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ก็จำเป็น เนื่องจาก AMC ปกติไม่สามารถแก้ไขปัญหาเชิงสังคมได้ จึงต้องใช้ Social AMC และ Social AMC ไม่ได้ช่วยแค่เรื่องหนี้ แต่ยังช่วยสร้างคนใหม่คืนให้กับสังคมและระบบเศรษฐกิจ โดยวัดผลสำเร็จจากจำนวนลูกหนี้ที่กลับมาชำระได้ มีงานทำ มีรายได้เพิ่ม ไม่ใช่แค่วัดจากเงินที่ AMC เก็บคืนได้เท่าไร
หากทำสำเร็จ Social AMC จะไม่ใช่แค่เครื่องมือจัดการบัญชีธนาคาร แต่คือสะพานที่พาลูกหนี้พ้นวิกฤต สร้างคนและธุรกิจใหม่ ฟื้นพลังเศรษฐกิจไทยในระยะยาว
โฆษณา