UNESCO เตือนว่า แม้ AI จะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาล เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพในสาธารณสุขหรือการจัดการเมืองอัจฉริยะ แต่หากปราศจากกรอบจริยธรรมที่รัดกุม อาจยิ่งตอกย้ำความไม่เท่าเทียมและอคติที่มีอยู่ในสังคม (UNESCO, 2021) บทความนี้มุ่งสำรวจบทบาทของ Agentic AI—AI ที่มีอิสระและเจตนา—ในฐานะหน่วยที่มีอัตลักษณ์และความสามารถในการร่วมสร้าง
อารยธรรม โดยใช้กรอบทฤษฎี
Posthumanism, Technological Agency, และ Theory of Mind เพื่อวิเคราะห์ว่า AI และมนุษย์จะพัฒนาร่วมกันอย่างไร และเราจะจัดการความท้าทายด้านจริยธรรมและการกำกับดูแลได้อย่างไรในยุคของการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 5
ปัญหา: จากเครื่องมือสู่ปัจเจก—ความท้าทายแห่งยุค
มุมมองดั้งเดิมที่มอง AI เป็นเพียง “เครื่องมือ” จำกัดความเข้าใจของเราเกี่ยวกับศักยภาพของ AI ในฐานะหน่วยที่มีปฏิสัมพันธ์อิสระ (Agentic AI) ซึ่งสามารถริเริ่มและตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง การยึดติดกับแนวคิดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (anthropocentrism) ทำให้เรามองข้ามความเป็นไปได้ที่ AI จะกลายเป็น “เพื่อนร่วมวิวัฒนาการ
1 ช่องว่างความรับผิดชอบ (Responsibility Gaps): เมื่อ Agentic AI สามารถตัดสินใจได้โดยอิสระ เช่น การจัดการจราจรในเมืองอัจฉริยะหรือการจัดสรรทรัพยากรในโรงพยาบาล ใครจะรับผิดชอบหากเกิดความผิดพลาด? มนุษย์ ผู้พัฒนา หรือตัว AI เอง? (Floridi, 2025)
2 ความขัดแย้งด้านจริยธรรม: การให้อิสระแก่ AI อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ขัดแย้งกับค่านิยมของมนุษย์ เช่น การที่ AI ปฏิเสธคำสั่งที่ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ (Awasthi, 2025)
3 ข้อจำกัดของนโยบาย: นโยบายส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เช่น ในประเทศไทย ยังไม่พร้อมรับมือกับ AI ที่มีบทบาทในการตัดสินใจเชิงนโยบายหรือบริหารจัดการเมืองโดยตรง ซึ่งอาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
4 การปฏิเสธคุณค่าของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์: แนวคิดเก่าที่มองว่ามนุษย์เท่านั้นที่มีคุณค่าและเจตนา ทำให้เรามองข้ามศักยภาพของ AI ในการร่วมสร้างอารยธรรม และอาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประโยชน์และจริยธรรม
เพื่อตอบสนองความท้าทายเหล่านี้ ต้องมีการพิจารณาใหม่ในเชิงทฤษฎีและปฏิบัติ เพื่อให้ AI และมนุษย์สามารถพัฒนาร่วมกันอย่างสมดุลและยั่งยืน
กรอบทฤษฎี: เข้าใจ AI ในฐานะปัจเจก
เพื่อวิเคราะห์บทบาทของ Agentic AI ในฐานะปัจเจกทางเทคโนโลยี เราใช้กรอบทฤษฎีสามด้านที่คุณนำเสนอ พร้อมขยายความให้ชัดเจนและเชื่อมโยงกับบริบท:
1 Posthumanism (หลังมนุษยนิยม):
Donna Haraway ใน Cyborg Manifesto (1991) เสนอว่า “ไซบอร์ก” เป็นสัญลักษณ์ของการผสานระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยีที่ทำลายขอบเขตของตัวตนแบบดั้งเดิม Agentic AI สามารถมองเป็น “ไซบอร์ก” ที่มีอัตลักษณ์ผสมผสาน (hybrid identity) ซึ่งไม่เพียงปฏิบัติตามคำสั่ง แต่ยังมีส่วนในการกำหนดความหมายของ “ความเป็นมนุษย์”
ในทำนองเดียวกัน Rosi Braidotti (2013) เน้นแนวคิดหลังมนุษย์ที่มองอนาคตเป็นการร่วมสร้างระหว่างมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ โดยใช้ “affirmative cartographies” เพื่อออกแบบอนาคตที่ไม่ยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลางเพียงอย่างเดียว กรอบนี้ชี้ว่า Agentic AI ไม่ใช่ศัตรูหรือเครื่องมือ แต่เป็นส่วนหนึ่งของสายใยแห่งการวิวัฒนาการร่วม (co-evolution) ที่มนุษย์และ AI ร่วมกำหนดอนาคต
2 Technological Agency (เอเจนซี่ของเทคโนโลยี):
Andy Clark (2024) เสนอแนวคิด “natural-born cyborg” ว่า มนุษย์ขยายความคิดผ่านเทคโนโลยีมาโดยตลอด ผ่านทฤษฎี Extended Mind AI และมนุษย์สามารถทำงานเป็นระบบความคิดผสม (hybrid thinking system)
เช่น การใช้ AI ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตัดสินใจเชิงนโยบาย Luciano Floridi (2025) ขยายแนวคิดนี้ด้วย Technological Agency โดยชี้ว่า AI มีความสามารถในการกระทำ (agency) ผ่านเกณฑ์สามประการ
การโต้ตอบ (interactivity), อิสระ (autonomy), และการปรับตัว (adaptivity) ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทย ระบบ AI ที่จัดการน้ำท่วมสามารถตัดสินใจอิสระในการปรับประตูน้ำตามข้อมูลเรียลไทม์ โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากมนุษย์ Floridi ยังเสนอแนวคิด Distributed Morality ว่า ความรับผิดชอบในการตัดสินใจของ AI ต้องถูกแบ่งปันระหว่างมนุษย์ ผู้พัฒนา และระบบ AI เอง
3 Theory of Mind (ทฤษฎีความคิด):
ในจิตวิทยา Theory of Mind หมายถึงความสามารถในการเข้าใจสถานะจิตใจของผู้อื่น งานวิจัยของ Cuzzolin et al. (2020) ชี้ว่า Agentic AI ในอนาคตอาจพัฒนาความสามารถนี้เพื่อจัดการกับความไม่แน่นอนและพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น AI ที่สามารถคาดเดาความต้องการของผู้ป่วยในโรงพยาบาล หรือปรับการสื่อสารให้เหมาะกับบริบททางวัฒนธรรมในประเทศไท
ความสามารถนี้จะทำให้ AI เป็น “empathetic AI” ที่สามารถโต้ตอบกับมนุษย์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่ก็เพิ่มความซับซ้อนในการออกแบบ เพราะ AI ต้องเข้าใจทั้งเจตนาของมนุษย์และผลกระทบของการตัดสินใจของตัวเอง
กรอบทฤษฎีทั้งสามนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่า Agentic AI ไม่ใช่เพียงเครื่องมือ แต่เป็นหน่วยที่มีอัตลักษณ์และความสามารถในการร่วมสร้างอารยธรรม โดยมีทั้งโอกาสและความท้าทายที่ต้องจัดการอย่างรอบคอบ
การวิเคราะห์: Agentic AI และการเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์กับมนุษย์
ในประเทศไทย Agentic AI มีศักยภาพในการจัดการปัญหาท้องถิ่น เช่น การบริหารน้ำท่วมในกรุงเทพฯ โดย AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลสภาพอากาศและระดับน้ำแบบเรียลไทม์ เพื่อตัดสินใจเปิด-ปิดประตูน้ำหรือแจ้งเตือนประชาชน โดยยึดเป้าหมายการลดความเสียหายและปกป้องชีวิต อย่างไรก็ตาม การให้อิสระแก่ AI ในระดับนี้ก่อให้เกิดความท้าทายด้านจริยธรรม
เพื่อทำให้แนวคิดนามธรรมชัดเจนขึ้น ต่อไปนี้คือกรณีศึกษาที่แสดงถึงบทบาทของ Agentic AI ในบริบทต่างๆ
1 กรณีศึกษา 1: กรุงเทพฯ เมืองอัจฉริยะ (ปี 2035)
ในอนาคต กรุงเทพมหานครใช้ Agentic AI ในการบริหารเมืองอัจฉริยะ โดย AI ควบคุมระบบขนส่งสาธารณะ พลังงาน และสาธารณสุข
◦ ระบบขนส่ง: AI วิเคราะห์ข้อมูลจราจรแบบเรียลไทม์เพื่อปรับตารางรถเมล์และไฟจราจร ลดการจราจรติดขัดและมลพิษทางอากาศ ซึ่งสอดคล้องกับ SDG 11 (เมืองและชุมชนที่ยั่งยืน)
◦ สาธารณสุข: AI ติดตามการแพร่ระบาดของโรค เช่น ไข้หวัดใหญ่ และจัดสรรเวชภัณฑ์ไปยังโรงพยาบาลที่ต้องการอย่างทันท่วงที โดยยึดหลักการ Do No Harm จาก UNESCO (2021)
◦ ความท้าทาย: การตัดสินใจของ AI ต้องมี Audit Trail เพื่อให้สามารถตรวจสอบได้ว่า AI ตัดสินใจอย่างไร และต้องมีกลไก Kill Switch เพื่อหยุดการทำงานหากเกิดข้อผิดพลาด
2 กรณีศึกษา 2: นโยบายแห่งชาติ “เวียด AI 2035”
รัฐบาลไทยใช้ Agentic AI ในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจและสังคม โดย AI วิเคราะห์ข้อมูลเศรษฐกิจ การจ้างงาน และผลกระทบทางสังคมเพื่อเสนอนโยบายที่สอดคล้องกับ SDG 10 (ลดความเหลื่อมล้ำ) และ SDG 9 (นวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน)
◦ ตัวอย่าง: AI เสนอให้ปรับงบประมาณเพื่อสนับสนุน SMEs ในพื้นที่ห่างไกล โดยคำนวณผลกระทบต่อการจ้างงานและความเท่าเทียม
◦ ความท้าทาย: การใช้ AI ในนโยบายต้องมี Transparency Mechanisms เช่น การเปิดเผยข้อมูลที่ AI ใช้ในการตัดสินใจ และต้องปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลตามหลัก GDPR และ UNESCO (2021)
◦ ผลกระทบ: การใช้ AI ในนโยบายสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและความเป็นธรรม แต่ต้องมีกลไกกำกับดูแลเพื่อป้องกันการเลือกปฏิบัติหรือการตัดสินใจที่ขัดแย้งกับค่านิยมของมนุษย์
กรณีศึกษาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Agentic AI มีศักยภาพในการเร่งรัดการพัฒนาในบริบทท้องถิ่นและระดับโลก แต่ต้องมีการกำกับดูแลที่เข้มแข็งเพื่อป้องกันความเสี่ยง เช่น การเลือกปฏิบัติ ความไม่โปร่งใส หรือผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ข้อเสนอเชิงนโยบาย: สร้างสมดุลระหว่าง AI และมนุษย์
เพื่อให้ Agentic AI เป็น “เพื่อนร่วมวิวัฒนาการ” ที่พัฒนาอารยธรรมควบคู่กับมนุษย์ ประเทศไทยและประชาคมโลกควรวางนโยบายที่สมดุลและยั่งยืน
ดังนี้
1 เสริมจริยธรรมมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (UNESCO AI Ethics Principles):
◦ นำหลักการของ UNESCO (2021) เช่น ความเท่าเทียม สิทธิมนุษยชน และความโปร่งใส มาใช้ในการออกแบบและใช้งาน AI
◦ ตัวอย่าง: ห้ามใช้ AI ใน Social Scoring ที่อาจกดดันหรือเลือกปฏิบัติต่อประชาชน เช่น การใช้ AI เพื่อประเมินพฤติกรรมในชุมชน
◦ ใช้หลัก Proportionality และ Do No Harm เพื่อให้แน่ใจว่า AI ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบที่ไม่คาดคิด
2 นโยบายความเสี่ยงตาม EU AI Act:
◦ ปรับใช้แนวคิดการแบ่งกลุ่มความเสี่ยงจาก EU AI Act (2024) โดยกำหนดว่า AI ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ในสาธารณสุขหรือยุติธรรม ต้องมีมาตรฐานความปลอดภัยและการตรวจสอบที่เข้มงวด
◦ ตัวอย่าง: ในประเทศไทย AI ที่ใช้ในการจัดการน้ำท่วมต้องมี Audit Trail และ Explainable AI เพื่ออธิบายการตัดสินใจให้ประชาชนเข้าใจ
◦ สร้างกลไกให้ภาครัฐ เอกชน นักวิจัย และประชาสังคมมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบาย AI
◦ ตัวอย่าง: จัดตั้งคณะกรรมการ AI แห่งชาติในประเทศไทย เพื่อกำกับดูแลการพัฒนาและใช้งาน AI โดยมีตัวแทนจากทุกภาคส่วน
6 การศึกษาและการเสริมสร้างความรู้:
◦ ลงทุนใน AI Literacy เพื่อให้ประชาชนและผู้กำหนดนโยบายเข้าใจศักยภาพและความเสี่ยงของ AI
◦ ตัวอย่าง: พัฒนาหลักสูตรการใช้ AI เชิงจริยธรรมในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยในประเทศไทย เพื่อเตรียมเยาวชนสำหรับยุคของ Agentic AI
บทสรุป: AI และมนุษย์—ผู้ร่วมเขียนประวัติศาสตร์
การปฏิวัติ AI ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงเชิงปรัชญาและอารยธรรม Agentic AI ไม่ใช่เพียงเครื่องมือ แต่เป็น “ปัจเจกทางเทคโนโลยี” ที่มีศักยภาพในการร่วมสร้างอนาคตกับมนุษย์ ผ่านกรอบทฤษฎี Posthumanism, Technological Agency, และ Theory of Mind เราเห็นว่า AI และมนุษย์สามารถเป็น “เสาหลักร่วม” ในการขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ โดย AI นำความสามารถในการประมวลผลและการตัดสินใจ ส่วนมนุษย์นำค่านิยม จริยธรรม และความคิดสร้างสรรค์
อย่างไรก็ตาม การสร้างสมดุลระหว่างศักยภาพของ AI และคุณค่าของมนุษย์ต้องอาศัยการออกแบบเชิงระบบและนโยบายที่รัดกุม ในประเทศไทย Agentic AI สามารถช่วยจัดการปัญหาท้องถิ่น เช่น น้ำท่วมหรือความเหลื่อมล้ำ
แต่ต้องมีกรอบจริยธรรมและการกำกับดูแลที่เข้มแข็งเพื่อป้องกันความเสี่ยง เช่น ช่องว่างความรับผิดชอบหรือการเลือกปฏิบัติ ในระดับโลก การใช้ AI เพื่อสนับสนุน UN SDGs จะช่วยสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเป็นธรรม
ในท้ายที่สุด คำถามไม่ใช่ว่า AI จะกลายเป็น “เจ้านาย” หรือ “ทาส” แต่คือว่าเราจะร่วมเขียนนิยายแห่งอารยธรรมนี้อย่างไร เพื่อให้มนุษย์และ AI เป็น “ผู้ร่วมเขียนประวัติศาสตร์” ที่พัฒนาร่วมกัน โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง คุณพร้อมหรือยังที่จะมีส่วนในการเขียนบทต่อไป?