Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
คาลอส บุญสุภา
•
ติดตาม
15 ส.ค. เวลา 02:10 • ปรัชญา
พฤติกรรมมนุษย์ถูกกำหนดไว้แล้ว: เมื่อเราเลือกไม่ได้แล้วจะทำอย่างไรต่อไป
ตื่นมาเมื่อไหร่ คุณเลือกที่จะหยิบกาแฟแก้วโปรดหรือไม่ เลือกเลื่อนโทรศัพท์ดูโซเชียลมีเดีย หรือเลือกระเบิดอารมณ์ใส่คนรอบข้างทันที นี้คือสิ่งที่เราคิดว่าเราเลือก แต่สิ่งที่ผมกำลังเขียนอยู่คือการตั้งคำถามว่า เราเลือกทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยเจตจำนงของตนเองหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่แค่ผมคนเดียว โรเบิร์ต ซาโปลสกี (Robert Sapolsky) นักประสาทวิทยาชื่อดังจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ก็ทำการศึกษาและผมสิ่งนี้เช่นเดียวกัน เขาตั้งคำถามว่า "จริงๆ แล้ว เราไม่มี “ทางเลือกอิสระเลย"
จินตนาการถึงตู้ปิงปองยักษ์ที่มีลูกบอลหลายล้านลูกกระดอนไปมา แต่ละการกระดอนเป็นตัวแปรที่กำหนดชีวิตคุณจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในเลือด ไปจนถึงประสบการณ์วัยเด็ก และแม้กระทั่งสายตาของคนแปลกหน้าที่เพิ่งผ่านไป
ข้อเสนอของซาโปลสกีคือ “เราไม่มีเจตจำนงเสรี” เขาไม่ได้กล่าสถึงสิ่งนี้เพียงแค่ถ้อยแถลงทางปรัชญาอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยืนอยู่บนหลักฐานสหวิทยาการ ประสาทวิทยา ฮอร์โมนวิทยา พันธุศาสตร์ พัฒนาการ และสังคมวัฒนธรรมซึ่งร่วมกันชี้ว่า "การกระทำของมนุษย์คือผลลัพธ์จากสาเหตุที่พาดผ่านกาลเวลาหลายชั้น ตั้งแต่ระดับวินาทีก่อนลงมือ ไปจนถึงวิวัฒนาการนับพันปี"
ซาโปลสกี อธิบายปัจจัยเหล่านี้แล้วแบ่งออกเป็นกาลเวลาหลายชั้น ตั้งแต่ระดับวินาทีก่อนลงมือ ไปจนถึงวิวัฒนาการนับพันปี เขาเรียกสิ่งนี้ว่า กรอบชั้นเวลา (Timescales) คือมุมมองที่อธิบายว่า พฤติกรรมหนึ่ง ๆ ไม่ได้เกิดจากเหตุปัจจัยเดียว แต่เป็นผลรวมของเหตุที่ทับซ้อนกันตามชั้นของเวลา
ตั้งแต่ปัจจัยที่ยาวนานและคงทนที่สุด (วิวัฒนาการและพันธุกรรม) ผ่านปัจจัยระยะยาวในชีวิต (สภาพก่อนคลอด ประสบการณ์วัยเด็ก การหล่อหลอมทางวัฒนธรรม) มาถึงปัจจัยระยะกลาง (สภาวะกาย–ใจในช่วงวันหรือชั่วโมง เช่น ความเครียด การนอน อาหาร ฮอร์โมน) และจบที่ปัจจัยระยะสั้นที่สุดก่อนลงมือไม่กี่วินาที (สิ่งเร้าเฉียบพลัน คำพูด น้ำเสียง เสียงดัง ความหิว)
(จากปัจจัยเฉียบพลันที่สุดก่อนลงมือไม่กี่วินาที --> สภาวะในช่วงไม่กี่นาทีหรือชั่วโมง --> รูปแบบดำเนินชีวิตในแต่ละวัน --> สิ่งที่ก่อตัวตลอดช่วงชีวิต --> กรอบสังคมและประวัติศาสตร์ที่เราอยู่ --> ฉากหลังทางชีววิทยาที่สืบทอดผ่านวิวัฒนาการ)
กรอบชั้นเวลา (Timescales) ที่กำหนดพฤติกรรม
1) พันธุกรรม (Genetics) แบบแผนยีนส่งผลต่อโครงสร้างและการทำงานของสมอง รวมถึงระบบโดปามีนซึ่งสัมพันธ์กับความเสี่ยง ความเพลิดเพลิน และแรงจูงใจ ทำให้บุคคลมีแนวโน้มทางพฤติกรรมแตกต่างกันแต่กำเนิด
2) สิ่งแวดล้อมก่อนคลอด ฮอร์โมน ความเครียด และโภชนาการของมารดากระทบการวางสายระบบประสาทของทารก จึงอธิบายความไวต่อความเครียดหรือสิ่งเร้าบางชนิดในภายหลังได้
3) ประสบการณ์วัยเด็ก การถูกทอดทิ้ง การมีชีวิตโดยรู้สึกว่าตนเองมีความปลอดภัย และบรรยากาศอารมณ์ที่ได้รับ หล่อหลอมวงจรพรีฟรอนทอลคอร์เทกซ์ (ควบคุมตนเอง) และอะมิกดะลา (ตอบสนองภัยคุกคาม) ทำให้เกิดสไตล์การตอบสนองที่ต่างกันเมื่อโตขึ้น
4) ฮอร์โมนตามบริบท เทสโทสเทอโรน คอร์ติซอล และออกซิโทซิน แปรผันตามสถานการณ์ทางสังคมและลดหรือเร่งแนวโน้มพฤติกรรมแบบเรียลไทม์ เช่น การแข่งขัน ความเครียด หรือความผูกพัน
5) โครงสร้างและกิจกรรมสมอง สมองส่วนหน้าช่วยยับยั้งแรงกระตุ้น ในขณะที่วงจรลิมบิกผลักดันอารมณ์ ความเสียหายหรือความบกพร่องพัฒนาการของบริเวณเหล่านี้ส่งผลต่อการควบคุมตนเองอย่างมีนัยสำคัญ
6) สิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม บรรทัดฐานทางสังคมและระบบคุณค่ากำกับว่าอะไร ควรหรือไม่ควรทำ และยังสร้างความต่างทางศีลธรรมระหว่างกลุ่มการเมืองหรือวัฒนธรรม (เช่น การมองศีลธรรมแบบ Care–Fairness ที่เน้นความเห็นอกเห็นใจและความยุติธรรม เทียบกับแบบ Loyalty–Authority–Sanctity ที่เน้นความภักดีต่อกลุ่ม เคารพผู้นำ และรักษาสิ่งที่ถือว่าศักดิ์สิทธิ์หรือประเพณี)
7) บริบทเฉพาะหน้าไม่กี่วินาที ความหิว เสียงรบกวน หรือคำพูดเสียดสีทันควัน สามารถเปลี่ยนทิศพฤติกรรมเป็นตัวผลักโดมิโนเม็ดสุดท้ายในขณะนั้น
เมื่อมองผ่านกรอบชั้นเวลาดังกล่าว การกระทำของมนุษย์จึงเปรียบเหมือนโดมิโนหลายแถวที่ถูกผลักต่อเนื่องจากอดีตสู่ปัจจุบัน ตั้งแต่พันธุกรรม สิ่งแวดล้อมก่อนคลอด ประสบการณ์วัยเด็ก สภาวะฮอร์โมนและกิจกรรมสมอง จนถึงวัฒนธรรมและสิ่งเร้าเฉียบพลันไม่กี่วินาทีสุดท้าย
สิ่งนี้ช่วยให้เราอธิบายสาเหตุได้อย่างมีเหตุผลและเลือกจุดแทรกแซง (ปรับเปลี่ยน) ให้ตรงชั้นเวลา เช่น ดูแลโภชนาการและความเครียดของแม่ตั้งครรภ์ เสริมทักษะกำกับอารมณ์ในวัยเด็ก ออกแบบงานเพื่อลดตัวกระตุ้นความเครียด และใช้เทคนิคหายใจก่อนตอบโต้ในวินาทีวิกฤต
ดังที่ ซาโปลสกี ชี้ว่า “หากย้อนกลับไปเห็นทุกเหตุปัจจัยที่นำไปสู่การกระทำของคนหนึ่ง เราจะพบว่าเขาแทบไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำอย่างนั้นในขณะนั้น” เราจึงอาจรู้สึกว่ากำลังเลือกอย่างอิสระ แต่แท้จริงแล้วการตัดสินใจถูกขับเคลื่อนด้วยปัจจัยสะสมหลายระดับนอกเหนือการควบคุมของเรา
เมื่อเราเลือกไม่ได้แล้วจะทำอย่างไรต่อไป
ทั้งหมดนึ้แสดงให้เห็นว่าพฤติกรรมมนุษย์ถูกกำหนดไว้แล้ว แม้เราอาจรู้สึกว่ากำลังเลือกอย่างอิสระ แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไปดี ผมมีข้อเสนอความเป็นไปของสังคมของเรา ผมขอนำเสนอโดยแบ่งออกเป็น เชิงประจักษ์ (Evidence-based) และ เชิงบรรทัดฐาน (Normative) ดังนี้
1) เชิงประจักษ์ แนวคิดชั้นเวลาอธิบายว่า พฤติกรรมหนึ่ง ๆ เกิดจากปัจจัยหลายระดับที่ซ้อนทับกัน ตั้งแต่ก่อนคลอด วัยเด็ก ฮอร์โมน สมอง วัฒนธรรม จนถึงสิ่งกระตุ้นไม่กี่วินาทีสุดท้าย
ข้อดีคือ ทำให้เราเลือกจุดแทรกแซง (ปรับเปลี่ยน) ได้แม่นยำขึ้น ไม่ต้องหวังพึ่งความใจแข็งเพียงอย่างเดียว เช่น ใจแข็งเลิกรับประทานอาหารมากเกินไป หรือ ใจแข็งเลิกเหล้าโดยทันที โดยมีตัวอย่างการแทรกแซง (ปรับเปลี่ยน) ตามชั้นเวลาดังนี้
ก่อนคลอด: ดูแลโภชนาการ และลดความเครียดของแม่ตั้งครรภ์
วัยเด็ก: สร้างความปลอดภัยทางอารมณ์ ฝึกกำกับตนเองในโรงเรียน
ระดับสถานที่ทำงาน: ออกแบบเวลาพัก ลดตัวกระตุ้นความเครียดเฉียบพลัน
ระดับปัจเจกเฉียบพลัน: เทคนิคหายใจ 4 4 4 หรือนับ 10 ก่อนตอบโต้ เมื่อเจอคำพูดกระตุ้นอารมณ์
เมื่อเราพิจารณาแบบเชิงประจักษ์จะเป็นการย้ายโฟกัสจากตำหนิคน ไปสู่แก้เงื่อนไขที่ผลักพฤติกรรมให้เกิดขึ้น และทำงานได้จริงในหลายจุดพร้อมกัน
2) เชิงบรรทัดฐาน เมื่อรับว่าปัจจัยเชิงสาเหตุมีบทบาทมาก เราต้องรักษาสมดุลสองด้าน 1) ซื่อสัตย์ต่อสาเหตุจริง ออกแบบนโยบายและการช่วยเหลือบนฐานข้อมูล ไม่ด่วนตัดสินว่านิสัยไม่ดี และ 2) คงแรงจูงใจทางสังคม ยังต้องมีบรรทัดฐาน กฎเกณฑ์ และความรับผิด เพื่อให้คนอยู่ร่วมกันได้ กล่าวคือ เรา เข้าใจเหตุ เพื่อจะ ยุติธรรมกว่าเดิม แต่ยังคง ความรับผิดชอบ เพื่อให้สังคมทำงานได้
โรเบิร์ต ซาโปลสกี อธิบายว่า หากรับว่าความรับผิดชอบเชิงอภิปรัชญาสั่นคลอน ระบบยุติธรรมควรขยับจากการลงโทษเพื่อโทษไปสู่การคุ้มครองสังคม การบำบัด และการป้องกันซ้ำมากขึ้น พร้อมทั้งออกแบบนโยบายบนความเข้าใจเชิงสาเหตุ ไม่ใช่การตีตราเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แม้ว่าพฤติกรรมมนุษย์ถูกกำหนดไว้แล้ว แต่มันก็ไม่ได้ลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ หากแต่ชวนให้เรา ย้ายความรับผิดชอบจากการตำหนิบุคคล ไปสู่การรับผิดชอบร่วมกันในการออกแบบสภาพแวดล้อม นโยบาย และสถาบัน ที่ลดปัจจัยเสี่ยงและเพิ่มปัจจัยเกื้อหนุนในทุก “ชั้นเวลา” ของชีวิตมนุษย์ นี่อาจเป็นนิยามใหม่ของความกรุณาที่มีฐานวิทยาศาสตร์รองรับ
อ้างอิง
Fischer, J. M. (2023). Review of Determined: A science of life without free will, by R. M. Sapolsky. Notre Dame Philosophical Reviews.
https://ndpr.nd.edu/reviews/determined-a-science-of-life-without-free-will/
Haidt, J. (2012). The righteous mind: Why good people are divided by politics and religion. Pantheon.
Horwitz, A. (2024). A summary of “Determined” by Robert Sapolsky—Does free will exist? Psychiatry & Psychotherapy Podcast.
https://www.psychiatrypodcast.com/psychiatry-psychotherapy-podcast/a-summary-of-determined-by-robert-sapolsky-does-free-will-existalexander-horwitz-md
Krishnan, N. (2023). How can determinists believe in free will? The New Yorker.
https://www.newyorker.com/magazine/2023/11/13/determined-a-science-of-life-without-free-will-robert-sapolsky-book-review
Sapolsky, R. M. (2017). Behave: The biology of humans at our best and worst. Penguin Press.
https://www.sackett.net/sapolsky_behave.pdf
Sapolsky, R. M. (2023). Determined: A science of life without free will. Penguin Press.
Setiya, K. (2023). Do you have free will? The Atlantic.
https://www.theatlantic.com/books/archive/2023/11/robert-sapolsky-determined/675885/
แนวคิด
จิตวิทยา
ปรัชญา
1 บันทึก
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย