เมื่อวาน เวลา 08:33 • สุขภาพ

Lactulose ไม่ใช่ Lactose เข้าใจความต่างและความปลอดภัยในผู้แพ้แลคโตส

🔍 บทคัดย่อ
Lactulose เป็นน้ำเชื่อมยาระบายที่ใช้บ่อยในผู้มีอาการท้องผูก และยังเป็นยาหลักในการรักษาภาวะ hepatic encephalopathy โดยช่วยให้ขับถ่ายวันละ 2–3 ครั้งด้วยกลไกเพิ่มแรงดันออสโมติกในลำไส้ใหญ่ แม้ชื่อจะคล้ายกับ "lactose" ซึ่งเป็นน้ำตาลที่พบในนม แต่ lactulose ไม่ใช่ lactose และไม่ต้องใช้เอนไซม์ lactase ในการย่อย ดังนั้นคนที่มีภาวะแพ้น้ำตาลแลคโตส (lactose intolerance) ส่วนใหญ่สามารถใช้ยา lactulose ได้อย่างปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม ในกระบวนการผลิตยา lactulose syrup อาจมีปริมาณเล็กน้อยของแลคโตสและน้ำตาลชนิดอื่นตกค้างอยู่ เช่น lactose และ galactose ซึ่งอาจทำให้บางคนที่ไวมากเป็นพิเศษเกิดอาการไม่สบายท้องได้
บทนำ
Lactulose เป็นยาที่มีการใช้อย่างแพร่หลายมาอย่างยาวนาน ทั้งในการรักษาภาวาท้องผูกเรื้อรัง (chronic constipation) และภาวะสมองเสื่อมจากตับ (hepatic encephalopathy; HE) อย่างไรก็ตาม ในเวชปฏิบัติทั่วไปมักพบความเข้าใจผิดว่า ผู้ที่แพ้แลคโตส (lactose intolerance) ไม่ควรใช้ lactulose ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อมูลทางชีวเคมีและข้อบ่งใช้ที่ระบุในฉลากผลิตภัณฑ์
ปัจจุบัน แนวทางเวชปฏิบัติระดับสากลยังคงแนะนำ lactulose เป็นยาหลัก (first-line therapy) สำหรับภาวะ overt HE และถือเป็นทางเลือกหนึ่งในผู้ป่วยที่มีภาวะท้องผูกชนิดไม่ทราบสาเหตุเรื้อรัง (chronic idiopathic constipation; CIC) โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่ตอบสนองหรือไม่สามารถทนต่อ polyethylene glycol (PEG) ได้
เคมีและความแตกต่างระหว่าง “Lactulose ≠ Lactose”
Lactose เป็นน้ำตาลแล็กโตสที่ประกอบด้วยกลูโคสและกาแลกโตส (glucose–galactose) ในขณะที่ lactulose เป็นน้ำตาลสังเคราะห์ที่ประกอบด้วยกาแลกโตสและฟรุกโตส (galactose–fructose) โดยมีชื่อทางเคมีว่า 4‑O‑β‑D‑galactopyranosyl‑D‑fructofuranose ซึ่งได้จากกระบวนการ isomerization ของ lactose
แม้ทั้งสองจะมีส่วนประกอบของกาแลกโตส แต่ lactulose มีโครงสร้างพันธะที่เอนไซม์ lactase ไม่สามารถย่อยได้ จึงไม่ถูกดูดซึมที่ลำไส้เล็กและไม่ถูกเปลี่ยนเป็น monosaccharides แบบเดียวกับ lactose แต่จะเดินทางไปยังลำไส้ใหญ่และถูกแบคทีเรียในลำไส้ใช้ในการหมักแทน
ผลิตภัณฑ์ lactulose syrup ตามสูตรตำรับมาตรฐาน (เช่นในสหรัฐอเมริกา) มักระบุว่ามี lactulose ปริมาณ 10 กรัมต่อ 15 มิลลิลิตร และอาจมี "น้ำตาลตกค้าง" จากกระบวนการผลิต ได้แก่ lactose ไม่เกิน 1.2 กรัม และ galactose ไม่เกิน 1.6 กรัมต่อ 15 มิลลิลิตร
กลไกการออกฤทธิ์
Lactulose ออกฤทธิ์ผ่านกลไกหลักหลายประการ ได้แก่
1. Osmotic effect : ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำในลำไส้ใหญ่ ทำให้อุจจาระนุ่มและขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
2. การหมักโดยจุลชีพในลำไส้ใหญ่ : Lactulose ถูกแบคทีเรียหมักให้กลายเป็น short-chain fatty acids ส่งผลให้ค่า pH ในลำไส้ลดลง ซึ่งจะเปลี่ยนแอมโมเนียอิสระ (NH₃) ให้เป็นแอมโมเนียมไอออน (NH₄⁺) ที่ไม่สามารถดูดซึมกลับได้ จึงช่วยลดระดับแอมโมเนียในเลือด (กลไกสำคัญใน hepatic encephalopathy)
3. การเปลี่ยนแปลงองค์ประกอบของจุลชีพในลำไส้ : Lactulose มีบทบาทในการลดปริมาณแบคทีเรียที่ผลิตเอนไซม์ urease ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างแอมโมเนียในลำไส้
ฤทธิ์ทางการถ่ายของ lactulose มักเริ่มภายใน 24–48 ชั่วโมงหลังได้รับยา
ข้อบ่งใช้และแนวทางเวชปฏิบัติ
1. Hepatic Encephalopathy (HE)
แนวทางเวชปฏิบัติของ European Association for the Study of the Liver (EASL, 2022) แนะนำให้ใช้ lactulose เป็นยาหลัก (first-line therapy) สำหรับการรักษาภาวะ overt hepatic encephalopathy (OHE) และแนะนำให้ใช้ร่วมกับ rifaximin ในผู้ป่วยที่เคยมีประวัติ OHE มาก่อน เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
แนวทางร่วมระหว่าง American Association for the Study of Liver Diseases และ EASL ปี 2014 ก็สนับสนุนแนวทางเดียวกัน
2. Chronic Idiopathic Constipation (CIC)
แนวทางล่าสุดโดย American Gastroenterological Association (AGA) และ American College of Gastroenterology (ACG) ปี 2023 แนะนำให้ใช้ polyethylene glycol (PEG) เป็นการรักษาหลักในระยะยาว (strong recommendation) และให้ lactulose เป็นทางเลือกแบบ conditional recommendation สำหรับกรณีที่ PEG ไม่เหมาะสมหรือผู้ป่วยไม่สามารถทนได้
ขณะเดียวกัน แนวทาง NICE CKS ก็จัดให้ lactulose เป็นทางเลือกเมื่อ macrogols (เช่น PEG) ไม่ได้ผลหรือใช้ไม่ได้
ขนาดยา (ผู้ใหญ่) ที่ใช้บ่อยในเวชปฏิบัติ
1. ภาวะท้องผูกเรื้อรัง (Constipation)
เริ่มให้ lactulose ขนาด 15–30 มิลลิลิตรต่อวัน (เทียบเท่า 10–20 กรัมของ lactulose) โดยให้ปรับขนาด (titrate) ตามการตอบสนอง เพื่อให้มีการถ่ายอุจจาระนิ่ม
หากจำเป็นสามารถเพิ่มขนาดยาได้ถึง 60 มิลลิลิตรต่อวัน ฤทธิ์การถ่ายมักเริ่มภายใน 24–48 ชั่วโมง หลังเริ่มยา
2. ภาวะ Overt Hepatic Encephalopathy (เฉียบพลัน หรือการรักษาแบบ episodic)
เริ่มต้นด้วย lactulose ขนาด 25–45 มิลลิลิตร ทุก 1–2 ชั่วโมง จนกระทั่งผู้ป่วยมีการถ่ายอุจจาระครั้งแรก จากนั้นให้ปรับขนาดเป็น 15–30 มิลลิลิตร วันละ 2–4 ครั้ง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการถ่ายอุจจาระนิ่ม วันละ 2–3 ครั้ง
ข้อควรระวังทางคลินิก
เป้าหมายการรักษาคือการถ่ายอุจจาระนิ่มวันละ 2–3 ครั้ง ไม่ใช่อาการท้องเสีย เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ และเสียสมดุลอิเล็กโทรไลต์ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคตับ
ความปลอดภัยในผู้แพ้แลคโตส (Lactose Intolerance)
ตามหลักชีวเคมี lactulose ไม่ใช่ lactose และไม่มีโครงสร้างที่ต้องอาศัยเอนไซม์ lactase ในการย่อย จึง ไม่มีข้อห้าม ในผู้ที่มีภาวะขาดเอนไซม์ lactase (lactase deficiency)
อาการไม่พึงประสงค์ เช่น ท้องอืดหรือมีลมในท้องที่พบหลังใช้ lactulose มักเกิดจากผลของยาโดยตรง (drug-induced fermentation) เนื่องจาก lactulose ถูกแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่หมัก ไม่ใช่จากการย่อยหรือดูดซึมของ lactose
ดังนั้น การมีประวัติแพ้หรือตอบสนองต่อแลคโตสไม่ได้ ถือเป็นข้อควรระวัง แต่ไม่ใช่ข้อห้ามใช้ lactulose
สรุปเชิงปฏิบัติสำหรับการใช้ Lactulose ในผู้ป่วยที่มีภาวะแพ้แลคโตส
- อธิบายผู้ป่วยอย่างชัดเจนว่า lactulose ไม่ใช่ lactose และกลไกอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ท้องอืดหรือผายลม มักเกิดจากการหมักของยาโดยแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ ไม่ใช่การแพ้แลคโตสโดยตรง
- ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความกังวลเรื่องปริมาณ lactose ตกค้างในผลิตภัณฑ์ ควรเริ่มที่ขนาดต่ำและไต่ระดับอย่างช้าๆ รวมถึงแนะนำให้รับประทานพร้อมอาหารหรือน้ำ เพื่อช่วยลดผลข้างเคียงทางระบบทางเดินอาหาร
- หากจำเป็นต้องใช้ในขนาดสูง หรือในผู้ป่วยที่ไวต่อ lactose เป็นพิเศษ ควรพิจารณาใช้รูปแบบผงสำหรับละลายน้ำ (powder for solution) ซึ่งมีปริมาณ lactose และ galactose ต่ำกว่าสูตรน้ำเชื่อม (syrup) อย่างมีนัยสำคัญ
- ควร แยกความเข้าใจระหว่าง lactose intolerance และ cow’s milk protein allergy ให้ชัดเจน เนื่องจากเป็นคนละกลไกทางพยาธิสรีรวิทยาและมีแนวทางการจัดการที่แตกต่างกัน
- ติดตามอาการท้องเสีย ภาวะขาดน้ำ และความผิดปกติของอิเล็กโทรไลต์ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคตับเรื้อรัง
ข้อควรระวังอื่น ๆ ตามฉลากและแนวทางเวชปฏิบัติ
- Galactosaemia :
ผลิตภัณฑ์ lactulose syrup ส่วนใหญ่มีปริมาณ galactose ตกค้าง จากกระบวนการผลิต จึงห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มี galactosaemia หรือจำเป็นต้องจำกัดการรับประทาน galactose อย่างเคร่งครัด ตามข้อห้ามในหลายฉลากยา
- เบาหวาน (Diabetes Mellitus) :
เนื่องจาก syrup มีน้ำตาลตกค้าง เช่น lactose และ galactose อาจเพิ่ม glycemic load ได้ในบางราย จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่ควบคุมน้ำตาลยาก ทั้งนี้รูปแบบผง (powder) มักมีปริมาณน้ำตาลตกค้างต่ำกว่า และอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่าในผู้ป่วยกลุ่มนี้
- ภาวะแทรกซ้อนจากการใช้ยาเกินขนาด :
การใช้ lactulose มากเกินไปอาจก่อให้เกิดอาการท้องเสีย ภาวะขาดน้ำ และ hypokalaemia ซึ่งอาจกระตุ้นภาวะ hepatic encephalopathy (HE) ได้เอง
แนวทางการให้ยาควรเน้นการไตเตรตขนาดยาเพื่อให้ถ่ายอุจจาระนิ่มวันละ 2–3 ครั้ง ไม่ใช่ปล่อยให้เกิดอาการถ่ายเหลวบ่อยครั้งเกินไป
บทสรุป
“Lactulose ไม่ใช่ Lactose” ทั้งในด้านโครงสร้างโมเลกุลและกระบวนการเผาผลาญทางชีวเคมี ดังนั้น ภาวะ lactose intolerance ไม่ถือเป็นข้อห้ามในการใช้ lactulose โดยทั่วไป แม้ว่าผลิตภัณฑ์ชนิดน้ำเชื่อม (syrup) จะมี lactose และ galactose ตกค้างในปริมาณเล็กน้อยจากกระบวนการผลิตก็ตาม
การตัดสินใจใช้ lactulose ควรพิจารณาโดยอิงจาก
- ข้อบ่งใช้ที่ชัดเจน ได้แก่ chronic idiopathic constipation (CIC) และ overt hepatic encephalopathy (HE)
- แนวทางเวชปฏิบัติที่เป็นปัจจุบัน
- สูตรตำรับและรูปแบบยา (syrup vs powder)
- ขนาดยาที่เหมาะสมและการไตเตรตตามอาการ
- และที่สำคัญคือการสื่อสารกับผู้ป่วยอย่างแม่นยำเพื่อลดความเข้าใจผิด สร้างความมั่นใจ และเฝ้าระวังอาการไม่พึงประสงค์อย่างเหมาะสมในเวชปฏิบัติประจำวัน
โฆษณา