Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
The Ideation by Pansak Pramokchon
•
ติดตาม
วันนี้ เวลา 05:30 • ประวัติศาสตร์
西遊記 Journey to the West
ใครเขียนนิยาย “ซีโหยวจี้” (ไซอิ๋วกี่) ตอนที่ 4
รูปลักษณ์ของวานรของซุนอู้คง นอกจากจะมีที่มาจากการล้อเลียนรูปลักษณ์ทางกายภาพของท่านสือผานถัวแล้ว อาจมีที่มาจากแหล่งอื่นได้อีกหลายแหล่ง อาทิ ตำนานลิงขาวของชาวฉู่ เทพวานรของชาวหมิ่นเยฺว่ในฝูเจี้ยน เทพหนุมานจากมหากาพย์รามายานะของชาวอินเดีย และ เทพน้ำวนอู๋จือฉีแห่งแม่น้ำหวยวอ
หากจะอ้างอิงวรรณกรรมที่ใกล้เคียงกับนิยายไซอิ๋วแล้ว เราพบว่า กวีนิพนธ์ 17 บทเรื่อง “พระถังซานจั้งอัญเชิญพระไตรปิฎก”「1」น่าจะเป็นวรรณกรรมเกี่ยวกับการจาริกสู่ตะวันตกที่เก่าแก่ที่สุดซึ่งปรากฎตัวละครที่มีลักษณะใกล้เคียงกับราชาวานร หรือเป็นต้นแบบที่กลายมาเป็น “ซุนอู้คง” ในภายหลัง
กวีนิพนธ์เรื่อง “พระถังซานจั้งอัญเชิญพระไตรปิฎก” ถูกเขียนขึ้นในราวพุทธศตวรรษที่ 18 ก่อน “ซีโหยวจี้” ของอู่เฉิงเอินกว่า 300 ปี กวีนิพนธ์ชุดนี้บอกเล่าเรื่องราวของพระถังซานจั้งที่ได้พบกับบัณฑิตชุดขาวนาม “โหวสิงเจ่อ-วานรเดินหน”「2」ระหว่างการจาริกไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากชมพูทวีป
ในกวีนิพนธ์ระบุว่า โหวสิงเจ่อเป็น “บัณฑิต”「3」 ทว่าคำ “โหว” หมายถึงวานร และด้วยฐานะของผู้ปกครองวานรแปดหมื่นสี่พันตัวอยู่ ณ ถ้ำเมฆม่วง「4」บนเขาฮัวกั่วซาน「5」โหวสิงเจ่อก็น่าจะเป็นวานรเช่นกัน
ด้วยเหตุว่า มีตัวตนที่แท้จริงเป็นเทพราชาเศียรทองแดงคิ้วเหล็ก โหวสิงเจ่อจึงหยั่งรู้ถึงอดีตชาติของพระถังซานจั้งว่า ได้จาริกไปอัญเชิญพระไตรปิฎกมาแล้วถึงสองภพสองชาติ ทว่า ต้องประสบภัยจนกระทั่งมรณภาพไปก่อนทั้งสองครั้ง โหวสิงเจ่อเสนอตัวร่วมจาริกไปชมพูทวีปเพื่อช่วยอัญเชิญพระไตรปิฎก ซึ่งพระถังซานจั้งก็ตอบรับด้วยความยินดี
นักวิชาการจำนวนหนึ่งเชื่อว่า ที่มาของวานรซุนอู้คงอาจจะมาจากเรื่องราวในมหากปิชาดกเมื่อครั้งที่พระพุทธเจ้าเสวยพระชาติเป็นมหากบิลวานร ปกครองลิงบริวารอยู่ใกล้ลำธาร ณ เชิงผาหิมพานต์ ชาดกเรื่องนี้ พ้องกับความเป็นมาของซุนอู้คงที่ปกครองลิงบริวารอยู่ ณ ถ้ำม่านน้ำตก「6」บนเขาฮัวกั่วซาน
แม้เรื่องราวในชาดกจะมีรายละเอียดที่แตกต่างกันไปได้หลายสำนวนตามแต่พระภิกษุผู้สาธยาย หากเนื้อความหลักในชาดกล้วนเป็นไปในทางเดียวกันเมื่อพิจารณาจากหลักฐานที่ปรากฏเป็นภาพสลักหินที่สถูปภารหุต (พุทธศตวรรษที่ 3) และภาพบนซุ้มประตู “โตรณะ” ทิศตะวันตกของสถูปสาญจี (พุทธศตวรรษที่ 4) ในรัฐมัธยประเทศ
ความนิยมชมชอบชะนีของชาวฉู่「7」ก่อให้เกิดตำนานลิงขาวที่กลายเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นสร้างนิทานและแม่ลายศิลปะ (art motifs) ก็อาจจะมีส่วนในการสร้างต้นแบบราชาวานรในภายหลัง
ชาวหมิ่นเยฺว่「8」ในมณฑลฝูเจี้ยนมีประเพณีบูชาเทพวานรมาตั้งแต่สมัยโบราณก่อนที่นิยายซีโหยวจี้ จะถูกแต่งขึ้นมา โดยจะเห็นได้จากความนิยมและศรัทธาของชาวเมืองฝูโจว「9」ที่มีต่อสามเทพวานรแห่งตำหนักหลินสุ่ยของวัดกู่เถียนในเมืองหนิงเต๋อ มณฑลฝูเจี้ยน
สามเทพวานรแต่เดิมนั้นเป็นปีศาจ ครั้นเมื่อยอมศิโรราบให้แก่เทพนารี “เฉินจิงกู่” จักรพรรดินีแห่งหลินสุ่ย จึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเทพ มีฐานะเป็น เทพวานรหน้าแดง “ตันเสียต้าเซิ่ง”「10」 เทพวานรหน้าดำ “ทงเทียนต้าเซิ่ง”「11」 และ เทพวานรหน้าขาว “ซั่วซั่วซานหลาง”「12」
นอกจากนี้ ยังมีโบราณสถานอีกสามแห่งในมณฑลฝูเจี้ยนที่เกี่ยวข้องกับประเพณีบูชาเทพวานรซึ่งเชื่อกันว่าสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ซ่งคือ
(1) ศาลเจ้าต้าเซิ่ง「13」ที่เขาผิงซาน「14」ในเมืองฝูโจว
(2) ศาลเจ้าเซิ่งหวาง「15」ทางทิศเหนือของปลายสะพานจฺย่งหลง「16」ในเมืองหมิ่นอัน「17」
(3) สุสานของฉีเทียนต้าเซิ่ง「18」บนเขาเป่าซาน「19」ที่เมืองซุ่นชาง「20」ฃอันประดับไว้ด้วยหินรูปลิงขนาดใหญ่
ทั้งสามแห่งล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นมาก่อนที่อู๋เฉิงเอินจะประพันธ์นิยายซีโหยวจี้ในสมัยราชวงศ์หมิงถึงสองราชวงศ์ (ซ่ง-หยวน-หมิง)
ต้นกำเนิดของซุนอู้คงที่เป็นไปได้อีกแหล่งหนึ่งคือ มหากาพย์รามายานะที่คนไทยรู้จักกันในชื่อรามเกียรติ์ ด้วยความคล้ายคลึงกันทั้งในรูปลักษณ์และการกำเนิดของซุนอู้คงและหนุมาน หูสื้อเชื่อว่า ราชาวานรน่าจะถูกสร้างขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากเรื่องราวของหนุมานในมหากาพย์รามายานะซึ่งมิใช่ผลผลิตของวัฒนธรรมจีน แนวความคิดของท่านได้รับการสนับสนุนจากนักประวัติศาสตร์สองท่านคือ เฉินอิ๋นเค่อ「21」และ จีเซี่ยนหลิน「22」
หนุมานและราชาวานรไม่ได้เหมือนกันแต่เพียงลักษณะทางกายภาพเท่านั้น ชาติกำเนิดก็ยังมีความคล้ายคลึงกันในบางส่วน
หนุมานถือกำเนิดจากนางอัญชนา เมื่อครั้งที่นางทำพิธีบูชาวายุเทพในเวลาเดียวกันกับที่ท้าวทศรถประกอบพิธีขอโอรสที่กรุงอโยธยา ท้าวทศรถตั้งใจจะมอบข้าวปายาสในพิธีให้มเหสีทั้งสามองค์เสวย แต่ระหว่างทำพิธี มีเหยี่ยวมาโฉบเอาข้าวปายาสไปส่วนหนึ่ง วายุเทพจึงบันดาลให้เกิดลมกรรโชกจนกระทั่งเหยี่ยวปล่อยให้ข้าวปายาสตกลงในมือนางอัญชนา นางรับประทานข้าวปายาสก้อนนั้นและให้กำเนิดหนุมานในเวลาต่อมา
ในขณะที่ มเหสีทั้งสามองค์ของท้าวทศรถได้ให้กำเนิดโอรสสี่องค์ คือ ราม ภะรัต ลักษมัณ และ ศัตรุฆนะ ด้วยเหตุนี้ หนุมานจึงได้ชื่อว่าเป็น ผู้ถือกำเนิดจาก “ลม” หรือ “วายุบุตร” หนุมานได้รับการยกย่องให้เป็นเทพองค์หนึ่งของซาวฮินดูในฐานะวานรศักดิ์สิทธิ์เคียงคู่ราม และยังถูกกล่าวถึงในมหากาพย์ภารตะยุทธและคัมภีร์ปุราณะอีกด้วย
ภีมะ หนึ่งในห้าตัวเอกของมหาภารตะยุทธ ก็มีฐานะเป็นบุตรแห่งวายุเทพเช่นเดียวกับหนุมาน รวมทั้งเชี่ยวชาญการใช้คทาวุธและมวยปล้ำ รวมทั้งมีพละกำลังมหาศาลดุจกัน ในทัศนะของชาวฮินดู หนุมานกับภีมะจึงนับเป็นพี่น้องกัน
ราชาวานรถือกำเนิดจากหินเซียนบนเขาฮัวกั่วซาน เมื่อหินเซียนได้รับแสงจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์จนมีพลังแก่กล้า ก็แตกออกเป็นไข่หินกลมเกลี้ยงดุจลูกบอลยักษ์ หลังจากนั้น ไข่หินยักษ์ได้รับพลังจาก “ลม” และเปลี่ยนรูปกลายร่างเป็นวานรหินผู้ทรงพละกำลัง ดวงตาโชติช่วงดั่งเปลวเพลิงที่ฉายแสงส่องไปได้ถึงดวงดาวและสวรรค์ หนุมานและราชาวานรจึงไม่เพียงแต่มีรูปกายเป็นลิงเช่นเดียวกัน แต่ยังได้ชื่อว่า ถือกำเนิดจาก “ลม” ดุจเดียวกันอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หลู่ซฺวิ่นและจินเค่อมู่「23」มีมุมมองในเรื่องนี้แตกต่างออกไป ทั้งสองท่านเห็นว่า มีมหากาพย์รามายานะฉบับภาษาจีนอยู่น้อยมากในเวลาที่ซุนอู้คงปรากฎตัวในบรรณพิภพ และไม่เป็นที่รู้จักกันเท่าใดนัก จึงไม่อาจเชื่อได้ว่า ผู้ประพันธ์นิยายซีโหยวจี้ฉบับแรกๆ จะได้แรงบันดาลใจมาจากมหากาพย์ดังกล่าว และนิยายทั้งสองเรื่องมีความคล้ายคลึงกันเพียงเล็กน้อยจนไม่อาจใช้เป็นเครื่องยืนยันแนวความคิดนี้ได้
หลู่ซฺวิ่นเห็นว่า นิยายซีโหยวจี้น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากนิยายสมัยถังหลายต่อหลายเรื่อง ดังจะเห็นได้จากหลายต่อหลายฉาก และตำนานของเทพน้ำวนอู๋จือฉีแห่งแม่น้ำหฺวายวอ「24」น่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดตัวละครอย่างราชาวานรขึ้นมา
อู๋จือฉีมีรูปลักษณ์คล้ายวานร จมูกแบน หน้าผากโหนก หัวขาว ลำตัวสีน้ำเงิน สองตาลุกจ้าโชติช่วงราวกับมีเปลวไฟ หัวและคอยาวกว่า 100 ฉื่อ「25」และมีกำลังวังชามากกว่าช้างสาร 9 เชือก
ตำนานเล่าว่า อู๋จือฉีบันดาลให้เกิดคลื่นลมในแม่น้ำหฺวายวออยู่เนืองๆ จนเป็นเหตุให้มหาเทพอฺวี่「26」ต้องเข้าแก้ไข อู๋จือฉีกลับดลบันดาลให้เกิดพายุโหมและสายฟ้าฟาดคะนองจนกระเทือนเลือนลั่นไปทั้งแผ่นน้ำและแผ่นดิน ยังความพิโรธแก่มหาเทพอฺวี่ยิ่ง
เทพสวรรค์เกิงเฉิน「27」จับตัวอู๋จือฉีมามอบให้มหาเทพอฺวี่ แต่อู๋จือฉีก็อาละวาดขัดขืนดิ้นรนจนไม่อาจควบคุมตัวได้ มหาเทพอฺวี่จึงรัดคอด้วยโซ่เหล็ก ร้อยจมูกด้วยระฆังทองแล้วฝังเอาไว้ที่เชิงเขาหฺวายอินกุยซาน「28」
นับแต่บัดนั้นเป็นต้นมา แม่น้ำหฺวายวอก็ราบเรียบและไหลลงสู่ทะเลตะวันออกอย่างสงบ เรื่องเทพน้ำวนอู๋จือฉีถูกฝังไว้ที่เชิงเขาหฺวายอินกุยซาน พ้องกันกับเรื่องที่ราชาวานรซุนอู้คงถูกฝังไว้ใต้ภูเขาอู่หัง「29」
ราชาวานรถือกำเนิดจากไข่ของหินเซียนบนยอดเขาฮัวกั่วซาน และยกตนขึ้นเป็น “เหม่ยโหวหวาง”「30」หรือ ราชาวานรผู้งดงาม ปกครองเหล่าลิงบริวารอยู่ที่ถ้ำสุ่ยเหลียนต้งบนเขาฮัวกั่วซาน ราชาวานรได้รับความเมตตาจาก “ปรมาจารย์โพธิ”「31」รับเป็นศิษย์และถ่ายทอดวิชาให้จนกระทั่งราชาวานรสำเร็จวิชาแปลงกายเจ็ดสิบสองประการ
ด้วยความอหังการในอิทธิฤทธิ์ของตน ราชาวานรจึงลงไปอาละวาดป่วนวังบาดาลและยึดกระบองทองสารพัดนึก「32」ของเจ้ามังกรทะเลตะวันออก “อ๋าวกว่าง”「33」ซึ่งไท่ซ่างเหล่าจฺวิน「34」ที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ "ไท้เสียงเล่ากุน" สร้างขึ้นมาจากเหล็กเทวะที่พระเจ้าอฺวี๋ใช้ควบคุมน้ำ มาเป็นอาวุธประจำกาย จากนั้นก็ขึ้นไปอาละวาดป่วนจนสวรรค์แทบล่ม
อฺวี้หวงต้าตี้ต้องแก้ปัญหาโดยสถาปนาราชาวานรขึ้นเป็น “มหาเทพเสมอฟ้า”「18」จึงหยุดยั้งราชาวานรได้ชั่วคราว
เรื่องราวในตอนนี้สะท้อนว่า วิชาความรู้ที่ปราศจากปัญญากำกับ ย่อมก่อเภทภัยต่อตนเองและต่อโลกได้ ที่สุดแล้ว จิตที่ไร้ปัญญารู้แจ้งในความไม่จีรังของโลก (ความว่าง) ย่อมติดอยู่ในลาภยศสรรเสริญทั้งปวง และก่อให้เกิดความทุกข์ได้ไม่มีที่สิ้นสุด ทว่า นักวิชาการส่วนหนึ่งเชื่อว่า เรื่องราวการอาละวาดป่วนสวรรค์ของฉีเทียนต้าเซิ่ง สะท้อนออกซึ่งความคับข้องใจที่ชนชั้นล่างของสังคมจีนในสมัยราชวงศ์หมิง มีต่อชนชั้นปกครอง จนคิดใคร่อาละวาดได้ดุจมหาเทพเสมอฟ้าฉีเทียนต้าเซิ่งป่วนสวรรค์
แม้จะมียศเป็นมหาเทพเสมอฟ้า แต่ราชาวานรยังก่อเรื่องไม่หยุดหย่อน เช่นเดียวกับมนุษย์ที่แม้จะได้ดีมียศศักดิ์แต่ไม่รู้จักพอ ราชาวานรถึงกับบังอาจลักดื่มสุราทิพย์และโอสถวิเศษที่เตรียมไว้ถวายอฺวี้หวงต้าตี้ เมื่อได้สติก็เกิดกลัวความผิดจึงหนีกลับไปอยู่กับบริวารวานรที่เขาฮัวกั่วซานตามเดิม เมื่ออฺวี้หวงต้าตี้ส่งแม่ทัพสวรรค์มาจับกุมตัว ราชาวานรก็ต่อสู้ขัดขืนกลายเป็นสงครามระหว่างทวยเทพและราชาวานรจนปั่นป่วนไปทั้งโลกและสวรรค์
ร้อนถึงพระยูไลต้องเสด็จมาสะกดราชาวานรเอาไว้ใต้ภูเขาอู่หังซาน ห้าร้อยปีต่อมา พระถังซานจั้งจาริกผ่านภูเขาอู่หังซานบนเส้นทางไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากชมพูทวีป ก็ปลดปล่อยราชาวานรเป็นอิสระ ด้วยความซาบซึ้งในพระคุณกอปรกับที่ได้รับคำชี้แนะสอนสั่งจากพระกวนอิมโพธิสัตว์ ซุนอู้คงจึงกราบพระถังซานจั้งเป็นอาจารย์ ได้ฉายาทางธรรมว่า ซุนสิงเจ่อ「35」ร่วมจาริกไปอัญเชิญพระไตรปิฎกจากชมพูทวีป
ตลอดการเดินทาง ซุนอู้คงได้ปราบปีศาจสยบมาร สร้างความชอบมากมาย กระนั้นก็ยังถูกพระถังซานจั้งเข้าใจผิด จนขับออกจากคณะเดินทางหลายครั้งหลายครา แต่ในที่สุด คณะธรรมจาริกก็เดินทางไปถึงวัดเหลยอินและอัญเชิญพระไตรปิฎกไปต้าถัง (จีน) ได้สำเร็จ
...
ยังมีต่อ
#ใครเขียนนิยายซีโหยวจี้ #ซีโหยวจี้ #ไซอิ๋ว
...
Footnote:
「1」大唐三藏取經詩話 ต้าถังซานจั้งฉฺวี่จิงสื้อฮั่ว
「2」猴行者
「3」學者 เสฺวเจ่อ
「4」紫雲洞 จื่ออฺวิ๋นต้ง
「5」花果山 ฮัวกั่วซาน
「6」水簾洞 สุ่ยเหลียนต้ง
「7」แคว้นฉู่《楚 รู้จักกันในอีกชื่อคือ จิง 荊 และจิงฉู่ 荊楚 ได้รับการสถาปนาขึ้นในศตวรรษที่ 8 ก่อนคริสตกาล แต่ถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของแคว้นฉินในปี พ.ศ. 320 หรือราวปีที่ 223 ก่อนคริสตกาลจนสูญสลายไป แคว้นฉู่เดิมตั้งอยู่ทางตอนใต้ของแคว้นฉินในพื้นที่ของมณฑลหูเป่ย มณฑลหูหนาน บางพื้นที่ของมณฑลเหอหนาน มณฑลอานฮุย มณฑลเจียงซี มณฑลเจียงซู มณฑลเจ้อเจียง รวมถึงบางพื้นที่ของเมืองฉงชิ่ง กุ้ยโจว และ ซั่งไห่ (เซี่ยงไฮ้) ในปัจจุบัน
「8」閩越族 หมิ่นเยฺว่จู้
「9」福州 ฝูโจว
「10」丹霞大聖 ตันเสียต้าเซิ่ง
「11」通天大聖 ทงเทียนต้าเซิ่ง
「12」耍耍三郎 ซั่วซั่วซานหลาง
「13」大聖廟 ต้าเซิ่งเมี่ยว
「14」屏山 ผิงซาน
「15」聖王廟 เซิ่งหวางเมี่ยว
「16」迥龍橋 จฺย่งหลงเฉียว
「17」閩安鎮 หมิ่นอัน
「18」齊天大聖墓祠 ฉีเทียนต้าเซิ่งมู่ฉือ ฉีเทียนต้าเซิ่งเป็นยศของซุนอู้คงที่ได้รับพระราชทานจากอฺวี้หวงต้าตี้《玉皇大帝 แต้จิ๋ว: เง็กเซียนฮ่องเต้》
「19」寶山 เป่าซาน
「20」順昌 ซุ่นชาง
「21」陳寅恪
「22」季羨林
「23」จินเค่อมู่《金克木》(พ.ศ. 2455-2543) เป็นนักวิชาการจีนเพียงไม่กี่คนที่มีความรอบรู้ทั้งภาษาสันสกฤตและบาลีเป็นอย่างดี ท่านเคยเดินทางไปศึกษาวรรณกรรมอินเดียโบราณ พุทธศาสนาและปรัชญาที่ประเทศอินเดีย ในช่วงปี พ.ศ. 2484-2489 เมื่อมหาวิทยาลัยปักกิ่งก่อตั้งภาควิชาภาษาตะวันออกขึ้นมาในปี พ.ศ. 2489 ท่านจึงกลับมาเป็นอาจารย์และร่วมมือกับศาสตราจารย์จี้เซี่ยนหลินในการพัฒนาภาควิชาดังกล่าว
「24」淮渦水神無支祁 หฺวายวอสุ่ยเสินอู๋จือฉี
「25」尺 ฟุตจีน 1 ฉื่อเท่ากับ 13.12 นิ้ว โดยประมาณ อย่างไรก็ตาม ค่าความยาว 1 ฉื่อจะแตกต่างกันในแต่พื้นที่ ในจีนแผ่นดินใหญ่ 1 ฉื่อเท่ากับ 13.12 นิ้ว (33.33 ซม.) ในฮ่องกง 1 ฉื่อเท่ากับ 14.6250 นิ้ว (37.1475 ซม.) ในไต้หวันและญี่ปุ่น 1 ฉื่อเท่ากับ 11.93 นิ้ว (30.30 ซม.)
「26」大神禹 ต้าเสินอฺวี่
「27」天神庚辰 (เทียนเสินเกิงเฉิน) แต่บ้างก็ว่าเป็น เทพมังกรอิงหลง 應龍
「28」淮陰龜山 หฺวายอินกุยซาน
「29」五行山 (อู่หังซาน) ภูเขาห้ายอด หรือ ภูเบญจคีรี
「30」美猴王
「31」菩提祖師 ผูถีจู่ซือ
「32」如意金箍棒 หรูอี้จินกูปัง
「33」敖廣
「34」太上老君
「35」孫行者 แต้จิ๋ว ซุนเห้งเจีย
...
ความรู้รอบตัว
blockdit
ประวัติศาสตร์
บันทึก
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ใครเขียนนิยาย "ซีโหยวจี้" (ไซอิ๋วกี่)
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย