17 ส.ค. เวลา 09:21 • ความคิดเห็น

ปรัชญาแห่งความสุขของแซม เบิร์น

แซม เบิร์น (sam berns) ในวัยสิบเจ็ดปีที่ร่างกายดูเหมือนคนแก่ตัวเล็กๆที่อ่อนแอมาก ยกเว้นนัยน์ตาที่ดูเปี่ยมด้วยความสุขอย่างเดียวที่พอจะบ่งบอกอายุเขาได้
5
แซมเป็นโรคแก่ก่อนวัย (progeria) เป็นโรคร้ายที่เจอได้ยาก มีแค่เด็กแค่สามร้อยกว่าคนในโลกจากหลายพันล้านที่เป็นโรคที่เกิดความผิดปกติทางพันธุกรรมนี้ โรคนี้ทำให้ร่างกายแก่และเสื่อมเร็ว แคระแกรน และมีโรคร้ายแทรกซ้อนเหมือนคนแก่ คนที่เป็นโรคนี้นอกจากจะดูประหลาดแล้ว ยังมีอายุขัยที่สั้น โดยเฉลี่ยสิบกว่าปีก็เสียชีวิต
คนที่เกิดมาแล้วเจอโรคร้ายแบบนี้ อุปสรรคในชีวิตคงไม่ต้องพูดถึง นอกจากความทุกข์ทรมานของโรคแล้ว การที่จะทำอะไรเหมือนคนอื่นได้แทบไม่มี มองไปทางไหนก็มีแต่แววตาเวทนาสงสาร เวลาในโลกก็มีน้อยเหลือเกิน
แต่แทนที่แซมจะทุกข์ จะโทษชะตาฟ้าดิน เขากลับกลายเป็นคนที่มีความสุข สนุกกับสิ่งรอบตัว เป็นขวัญใจของผู้คน เป็นแรงบันดาลใจของคนจำนวนมาก ใครเจอก็ประทับใจในการมองโลกของแซมทุกคน
1
แซมเล่าถึงวิธีคิดสามข้อเกี่ยวกับความสุขที่เขามีใน ted talk ตอนที่เขาอายุได้สิบเจ็ดปี ซึ่งสำหรับเขาก็คือช่วงปลายของชีวิต ไว้อย่างน่าที่ทำให้คนปกติที่กำลังมีความทุกข์ ไม่ว่าจะทุกข์มากทุกน้อยให้คิดตามไปด้วยอย่างมาก
แซมเล่าถึงวิธีคิดข้อแรกของเขาว่า เขาโอเคกับสิ่งที่เขาทำไม่ได้ เพราะมีอีกหลายอย่างมากที่เขาทำได้ ( be OK with what you ultimately can’t do , because there is so much you CAN do)
5
แซมไม่ได้คิดถึงสิ่งที่เขาทำไม่ได้เพราะโรคร้ายนี้เช่น วิ่งมาราธอนหรือปีนเขา แต่เขาเลือกที่จะโฟกัสกับสิ่งที่เขาทำได้และสนุกกับมันเช่นอ่านการ์ตูน ฟังเพลง เชียร์ทีมกีฬาที่เขาชื่นชอบ หรือบางทีก็อยากทำอะไรมากๆ ก็จะต้องหาทางอื่นที่ทำให้ได้
มีครั้งหนึ่งแซมอยากตีกลองสแนร์ในวงดุริยางค์ของโรงเรียน กลองปกติก็หนักเกินเขาจะแบกไหว เขาก็เลยไปหาคนช่วยประดิษฐ์กลองที่เบามากๆพอที่เขาจะตีได้ ในวันที่เขามาพูดนั้น เขาโชว์คลิปที่ได้ตีกลองในวงให้คนดูด้วยความตื่นเต้น
วิธีคิดข้อที่สองของแซมก็คือ เขาพยายามจะอยู่กับคนรอบข้างที่เขาอยากอยู่ด้วย (surround yourself with people want to be with)
คนเหล่านั้นก็คือผู้คนที่เป็นมิตร คอยสนับสนุนเขาอย่างครอบครัวใหญ่ของเขา มีกลุ่มเพื่อนที่เล่นบ้าๆบอๆด้วยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อยู่กับวงดุริยางค์ที่ได้เล่นเพลงด้วยกัน เขารู้สึกมีความสุขสุดๆเวลาอยู่ท่ามกลางหมู่มิตรและครอบครัวเพราะทุกคนช่วยเป็นกำลังใจด้านบวกให้เขาเสมอ แซมก็พยายามเป็นกำลังใจกลับให้ทุกคนเช่นกัน
1
วิธีคิดข้อที่สามของแซมเริ่มด้วย quote ของวอล์ท ดิสนีย์ที่ว่า “around here.. we don’t look backwards for very long. We keep moving forward, opening up new doors and doing new things“
2
แซมบอกว่าพยายามมองไปข้างหน้าถึงความสุข ความสนุกที่กำลังจะมาถึงเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเล็กๆ เช่น หนังสือการ์ตูนที่กำลังจะออกอาทิตย์หน้า ไปเที่ยวกับครอบครัวเดือนหน้า หรือรอไปดูฟุตบอลกับเพื่อนเสาร์ที่จะถึง เขาบอกว่าทำให้เขาโฟกัสถึงสิ่งที่ดีงามข้างหน้า ทำให้เขาเอาชนะอุปสรรคที่กำลังเผชิญอยู่ได้
แซมบอกว่าเขาไม่ได้พยายามจะละเลยความทุกข์ที่เจอ แต่ยอมรับมันโดยดี แซมต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อย แต่ละครั้งที่เข้าไปก็จะนึกถึงชีวิตนอกโรงพยาบาลที่ทำให้เขามีความสุข เป็นสิ่งที่ทำให้เขาเดินหน้าต่อไปด้วยความกล้า แซมรู้ว่าการรวบรวมความกล้าในการใช้ชีวิตนั้นไม่ง่ายและไม่ควรจะง่าย แต่ก็ทำให้เขากล้าที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในอุปสรรคที่เยอะเหลือเกินสำหรับคนที่มีโรคร้ายอย่างเขา
1
แซมพูดบนเวที ted talk ถึงความชอบที่เปลี่ยนไปของเขาจากเคยอยากเป็นวิศวกร แต่เริ่มมาสนใจเรื่องชีววิทยา อยากที่จะเปลี่ยนโลกในทางที่ดีขึ้น เพราะในระหว่างทางที่พยายามทำโลกให้ดีขึ้น เขาก็จะมีความสุข
แซมพูดถึงอนาคตอย่างมีความหวัง เขาบอกว่าไม่อยากให้คนรู้สึกแย่แทนเขา ถึงแม้จะมีอุปสรรคจากโรคร้ายเยอะแต่เขาก็ไม่ได้คิดถึงมันตลอดและก็เอาชนะมันมาได้เรื่อยๆ ชีวิตเขาเป็นชีวิตที่มีความสุขมาก… แซมบอกไว้อย่างนั้น
ระหว่างที่ฟังแซมทำให้ผมลืมไปเลยว่าโรคร้ายที่แซมมีอยู่นั้นจำกัดอายุแซมไว้แค่อีกไม่นาน แซมเสียชีวิตในวัย 18 ปี หนึ่งปีหลังจาก ted talk ในวันนั้น
1
แซมไม่อยู่แล้ว แต่วิธีคิดของแซมก็ยังอยู่ แค่ข้อแรกก็เป็นเครื่องสะกิดใจที่ดีมากๆสำหรับหลายคนที่กำลังมีความทุกข์ กำลังท้อแท้ หรือสิ้นหวัง เพราะถ้าเราเปลี่ยนสิ่งที่เจอไม่ได้ เราก็ยังเปลี่ยนวิธีคิดในหัวของเราได้เสมอ
1
เหมือนที่แซมทำนั่นเอง….
โฆษณา