Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ทันโลกกับ Trader KP
•
ติดตาม
17 ส.ค. เวลา 10:03 • ธุรกิจ
📌 ทิ้งอดีต หรือ ทวงอนาคต การบินไทยกล้าพอที่จะ 'เจ็บ' หรือไม่?
.
ในทางชีววิทยา มีกระบวนการที่น่าทึ่งและเจ็บปวดในเวลาเดียวกันที่เรียกว่า ‘การลอกคราบ’ หรือ Ecdysis สิ่งมีชีวิตอย่างเช่น งูหรือจักจั่นจะเติบโตต่อไปไม่ได้เลยหากยังคงยึดติดอยู่กับโครงสร้างแข็งภายนอกอันเป็นเกราะป้องกันเดิมของมัน ทางรอดเดียวคือการต้องผ่านความเจ็บปวดของการ ‘สลัดคราบ’ เก่าทิ้งไป เพื่อเปิดโอกาสให้ร่างกายที่แท้จริงภายในได้เติบโตและแข็งแกร่งขึ้น
🔸 หากเราลองนำเรื่องราวการฟื้นคืนชีพของการบินไทยมาส่องดูผ่าน ‘กล้องจุลทรรศน์’
ทางชีววิทยา เราอาจจะพบว่าการผ่าตัดที่สำคัญที่สุดและอาจจะเจ็บปวดที่สุด ไม่ใช่แค่การลดหนี้สินหรือการปรับโครงสร้างฝูงบิน แต่คือการ ‘ลอกคราบ’ ครั้งประวัติศาสตร์ นั่นคือการสลัดสถานะ ‘รัฐวิสาหกิจ’ ที่เป็นทั้งเกราะป้องกันและกรอบที่จำกัดอิสระในเวลาเดียวกันทิ้งไป
บทวิเคราะห์ของคุณชาย เอี่ยมศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการ Business tomorrow เมื่อวันที่ วันที่ 18 ก.ค. 2568 ชี้ให้เห็นว่าความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือเงื่อนไขที่จำเป็นที่สุดที่ทำให้พวกเขาได้โบยบินอีกครั้ง
"ก่อนปี พ.ศ. 2563 การบินไทยมีสองสถานะในองค์กรเดียวกัน คือเป็นทั้งรัฐวิสาหกิจและบริษัทมหาชน ซึ่งเปรียบเสมือนการมีภาวะ 'ไบโพลาร์' วัตถุประสงค์ของทั้งสองสถานะนี้มีความขัดแย้งกันในบางครั้ง ในฐานะบริษัทมหาชน เราต้องดูแลผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น แต่ในฐานะรัฐวิสาหกิจ เราต้องดูแลผลประโยชน์ของสาธารณะ ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ใช่กลุ่มผู้ถือหุ้น”
“สภาวะดังกล่าวทำให้การบริหารจัดการด้านแรงงานเป็นไปได้ยาก เนื่องจากติดขัดข้อกฎหมายเกี่ยวกับรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ทำให้ไม่สามารถบริหารจัดการได้อย่างเต็มที่ กรณีนี้ถือเป็นบทเรียนสำคัญที่แสดงให้เห็นว่ารัฐวิสาหกิจไม่ใช่ว่าจะอยู่ยงคงกระพัน แต่สามารถล้มได้หากไม่สามารถแก้ไขและปรับปรุงตัวเองได้ และยังเป็นบทเรียนให้กับองค์กรอื่น ๆ ด้วยว่าต้องปรับตัว”
บุคลิกหนึ่งคือ ‘บริษัทมหาชน’ ที่มีภารกิจต้องสร้างผลกำไรสูงสุดเพื่อประโยชน์ของผู้ถือหุ้น แต่อีกบุคลิกหนึ่งคือ ‘รัฐวิสาหกิจ’ ที่มีภารกิจต้องดูแลประโยชน์ของสาธารณะ ซึ่งบางครั้งเป้าหมายของทั้งสองบุคลิกก็ขัดแย้งกันโดยสิ้นเชิง การต้องสวม ‘หมวกสองใบ’ ในเวลาเดียวกันนี้เอง ที่อาจเป็นต้นตอของความอุ้ยอ้ายและการตัดสินใจที่ล่าช้าในอดีต
🔸 เกราะป้องกันที่กลายเป็นกรอบที่จำกัดการเติบโต
สถานะรัฐวิสาหกิจอาจเปรียบได้กับ "เกราะป้องกัน" ที่มอบความมั่นคง แต่ในอุตสาหกรรมการบินที่การแข่งขันเปรียบเสมือนสงครามระดับโลก เกราะที่หนาเทอะทะเกินไปกลับกลายเป็น ‘ภาระที่ฉุดรั้ง’ จนทำให้เคลื่อนตัวได้ช้ากว่าคู่แข่ง ซึ่งคุณชายได้อธิบายถึงข้อจำกัดนี้ว่า
“การเปลี่ยนมาเป็นเอกชนเต็มตัวนั้นมีความคล่องตัวและการตัดสินใจที่เร็วกว่ามาก เนื่องจากกฎหมายอย่าง ป.ป.ช. หรือ สตง. ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อเอื้อให้ทำธุรกิจ อุตสาหกรรมการบินเป็นอุตสาหกรรมเสรีที่ไม่จำกัดอยู่แค่ในประเทศไทย แต่มีการแข่งขันกับสายการบินต่างชาติกว่า 200 แห่งทั่วโลก"
"แม้ว่าบางสายการบินจะไม่ได้ทำการบินมายังประเทศไทยโดยตรง แต่เนื่องจากอุตสาหกรรมการบินเป็นธุรกิจระดับโลก (Global Business) จึงมีความเกี่ยวเนื่องกันไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ตัวอย่างเช่น สายการบินในยุโรปที่ทำการบินเฉพาะในภูมิภาคของตนเอง ก็ยังถือเป็นคู่แข่งทางอ้อมได้ เพราะเป็นการแย่งชิงผู้โดยสารในตลาดเดียวกัน ดังนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่าการแข่งขันในอุตสาหกรรมการบินนั้นเป็นการแข่งขันในระดับโลกอย่างแท้จริง”
ในสมรภูมิที่คู่แข่งอย่างสายการบินเอกชนสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว การบินไทยกลับต้องติดอยู่กับขั้นตอนและกฎระเบียบที่ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อการแข่งขันทางธุรกิจ มันคือการส่งนักรบที่ใส่ชุดเกราะเต็มยศไปวิ่งแข่งกับนักวิ่งลมกรด
🔸 สลัดคราบเพื่อความอยู่รอด
ทางรอดเดียวจึงเป็นการตัดสินใจที่เจ็บปวด นั่นคือการ "สลัดคราบ" รัฐวิสาหกิจทิ้งไป เพื่อเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นบริษัทเอกชนเต็มตัว 100% ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้องค์กรกลับมามีความคล่องตัวและปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว การตัดสินใจครั้งนี้คือการยอมแลก "ความมั่นคง" แบบเดิม ๆ กับ "อิสรภาพ" ในการแข่งขัน ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่เสรีและไร้พรมแดนเช่นนี้
🔸 บทเรียนสำหรับยักษ์ใหญ่ที่ไม่ยอมลอกคราบ
เรื่องราวการลอกคราบของการบินไทยไม่ได้เป็นเพียงเรื่องขององค์กรเดียว แต่ยังเป็น "บทเรียน" ครั้งสำคัญสำหรับรัฐวิสาหกิจอื่น ๆ ที่อาจกำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลก ดังที่คุณชายได้ทิ้งท้ายไว้ว่า
"ที่ผ่านมาอาจมีความคิดว่าสามารถดำเนินงานในรูปแบบเดิมต่อไปได้โดยไม่เกิดอะไรขึ้น แต่กรณีนี้เป็นบทเรียนที่แสดงให้เห็นว่ารัฐวิสาหกิจไม่ได้อยู่ยงคงกระพัน แต่สามารถล้มได้เสมอหากดำเนินธุรกิจต่อไปโดยไม่มีอนาคต และไม่สามารถแก้ไขปรับปรุงตัวเองได้”
นี่จึงถือเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับองค์กรอื่นๆ ด้วยว่าต้องปรับตัว แม้จะเป็นรัฐวิสาหกิจก็ตาม เพราะการเปลี่ยนสถานะเป็นเอกชนนั้นมีความคล่องตัวและกระบวนการตัดสินใจที่รวดเร็วกว่า ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญ
คำถามสุดท้ายสำหรับสังคมไทยจึงอาจไม่ใช่แค่ว่าการบินไทยจะกลับมาแข็งแกร่งได้หรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าเราจะกล้าพอที่จะนำ ‘บทเรียนราคาแพง’ ครั้งนี้ ไปใช้กับยักษ์ใหญ่ตัวอื่น ๆ ในระบบเศรษฐกิจของเรา ก่อนที่จะสายเกินไปหรือไม่?
#BusinessTomorrow #การบินไทย #THAI #หุ้นไทย #ตลาดหุ้น #ลงทุน
3 บันทึก
8
1
3
8
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย