21 ส.ค. เวลา 16:02 • สิ่งแวดล้อม

‘สนธิสัญญาพลาสติกโลก’ ล่มอีก ประเทศผลิตปิโตรเลียมไม่เห็นด้วยให้ลดผลิตพลาสติก

ปิดฉากลงไปเป็นที่เรียบร้อย สำหรับการประชุมคณะกรรมการเจรจาระหว่างรัฐบาลครั้งที่ 5.2 หรือ INC-5.2 ณ สำนักงานสหประชาชาติในเจนีวา เพื่อพยายามทำให้ “สนธิสัญญาพลาสติกโลก” เกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นเครื่องมือหลักในการแก้ไขวิกฤติมลพิษจากพลาสติกทั่วโลก แม้จะประชุมกันอย่างยาวนานถึง 11 วัน แต่กลับไม่ได้ข้อสรุปใด ๆ ทั้งที่ตั้งใจให้การเจรจารอบนี้เป็นครั้งสุดท้าย
ตัวแทนประเทศต่าง ๆ ต่างผิดหวังอย่างยิ่ง เพราะจนถึงตอนนี้ก็ยังคงไม่สามารถตกลงกันได้ว่า สนธิสัญญาควรลดการผลิตพลาสติกที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และกำหนดมาตรการควบคุมสารเคมีพิษที่ใช้ในการผลิตพลาสติกทั่วโลก ให้มีผลผูกพันทางกฎหมายหรือไม่
ในการประชุม มีผู้แทนจาก 100 ประเทศจากทุกทวีป ทั้งประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา ต่างพยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกประเทศเห็นตรงกันว่า ควรรลดการผลิตพลาสติก และกำหนดมาตรการควบคุมสารเคมีในการผลิตพลาสติก แต่ผู้เจรจาของซาอุดีอาระเบียและคูเวตกล่าวว่า ข้อเสนอล่าสุดนี้คำนึงถึงมุมมองของประเทศอื่น ๆ มากกว่า และกล่าวถึงการผลิตพลาสติกเป็นประเด็นอยู่นอกเหนือขอบเขตของสนธิสัญญา
เมื่อมีประเทศที่ไม่เห็นด้วย ประเด็นเหล่านี้ก็ไม่สามารถนำไปอยู่ในสนธิสัญญาได้ เนื่องจากทุกประเทศจะต้องเห็นชอบกับทุกข้อเสนอ ทำให้การประชุมครั้งนี้ล้มเหลว เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นที่เกาหลีใต้ ในปี 2024
ประเทศผู้ผลิตปิโตรเลียมและพลาสติกอย่างเช่น อินเดีย ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน คูเวต และเวียดนาม ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอในสนธิสัญญา ระบุว่า จำเป็นต้องใช้ฉันทามติ โดยทุกประเทศต้องเห็นพ้องต้องกันอย่างเป็นเอกฉันท์ เพราะจะทำให้สนธิสัญญาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด แต่ในเมื่อเป็นเรื่องยากที่จะให้ทุกประเทศเห็นตรงกัน บางประเทศจึงต้องการเปลี่ยนแปลงกระบวนการเป็นการใช้เสียงส่วนใหญ่แทน ถ้าจำเป็น
นอกจากนี้ ศูนย์กฎหมายสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ ยังพบว่า มีกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ 234 คนจากอุตสาหกรรมน้ำมัน ปิโตรเคมี และพลาสติก เข้าร่วมการเจรจาในครั้งนี้ ซึ่งมีจำนวนมากกว่าคณะผู้แทนจากประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปทั้ง 27 ประเทศรวมกัน และมากกว่าจำนวนผู้เข้าร่วมกับคณะผู้แทนนักวิทยาศาสตร์และชนพื้นเมืองอย่างมาก
การสืบสวนยังพบอีกว่า มีกลุ่มล็อบบี้ยิสต์ 19 คน เป็นส่วนหนึ่งของคณะผู้แทนระดับชาติจากอียิปต์ คาซัคสถาน จีน อิหร่าน ชิลี และสาธารณรัฐโดมินิกัน
โฆษณา