19 ส.ค. เวลา 02:38 • การศึกษา

Social Story: การใช้เรื่องราวเพื่อเปลี่ยนวิธีคิด พฤติกรรม และสร้างคน

Social Story คือเครื่องมือการสอนทางสังคมที่ แคโรล เกรย์ (Carol Gray) ครูที่ดูแลเด็กที่มีภาวะออทิซึมสเปกตรัม ณ โรงเรียนรัฐบาลเจนิสันในรัฐมิชิแกน พัฒนาขึ้นครั้งแรกในปี 1991 เพื่อช่วยให้พวกเขาเข้าใจสถานการณ์ทางสังคมอย่างถูกต้องและปลอดภัย จุดเด่นของ Social Story คือการเล่าเรื่องสั้น ๆ ที่ใช้ภาษาชัดเจน โทนสนับสนุน และภาพประกอบที่สอดคล้องกับประสบการณ์จริงของเด็ก
1
เรื่องเล่านี้จะบรรยายข้อเท็จจริง (เช่น ใคร ทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร) รวมถึงมุมมองและความรู้สึกของบุคคลที่เกี่ยวข้อง และแนะนำพฤติกรรมที่เหมาะสมอย่างสุภาพ ไม่ใช้คำสั่งตรง ๆ
ในขณะนั้นเธอทำงานกับเด็กออทิซึมฯ เธอพบว่า เด็กกลุ่มนี้มักประสบปัญหาในการทำความเข้าใจ “กฎที่ไม่ได้เขียนไว้” ของสังคม เช่น มารยาททางสังคม ความตั้งใจของผู้อื่น และความหมายที่ซ่อนอยู่หลังพฤติกรรมหรือคำพูด ซึ่งมาจากเหตุผลเหล่านี้
1) ข้อจำกัดด้าน Theory of Mind (ToM) เด็กออทิซึมฯ มักมีความยากลำบากในการตระหนักว่าผู้อื่นมีความคิด ความเชื่อ และข้อมูลต่างจากตนเอง ทำให้การคาดเดาหรือเข้าใจการกระทำของคนอื่นเป็นเรื่องซับซ้อน Social Story จึงทำหน้าที่เป็น “คู่มือทางสังคม” แบบเฉพาะบุคคล ให้ข้อมูลและเหตุผลเบื้องหลังพฤติกรรม พร้อมสอนขั้นตอนที่ปลอดภัยในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
2) ความยากในการตีความสัญญาณทางสังคม เด็กออทิซึมฯ มักไม่รับรู้หรือไม่ตีความสายตา สีหน้า น้ำเสียง และท่าทางของผู้อื่นได้แม่นยำ ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดหรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อบริบท
3) ความต้องการข้อมูลที่ชัดเจนและเป็นระบบ เด็กออทิซึมฯ จะตอบสนองได้ดีกับข้อมูลที่มีโครงสร้างชัดเจน ภาษาตรงไปตรงมา และสามารถทบทวนซ้ำได้ จึงจำเป็นต้องมีเครื่องมือที่เล่าสถานการณ์ทางสังคมในรูปแบบที่เข้าใจง่าย
4) ป้องกันความเครียดและพฤติกรรมป้องกันตัว การไม่เข้าใจกติกาสังคมทำให้เด็กออทิซึมฯ เกิดความเครียดและพฤติกรรมปิดกั้นตนเอง ยิ่งในสังคมที่มีกฎข้อบังคับที่ชัดเจนและเข้มงวดอย่างโรงเรียนไทยยิ่งไปกันใหญ่ Social Story จึงถูกออกแบบให้ให้ข้อมูลล่วงหน้า ลดความไม่แน่นอน และสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับพวกเขาได้
จากประสบการณ์ของผม Social Story ไม่ควรถูกใช้เพียงแค่แก้ปัญหาพฤติกรรม แต่ควรถูกใช้เพื่อสร้างความเข้าใจ พัฒนาทักษะการมองมุมมองผู้อื่น (Perspective-taking) เสริมทักษะการสื่อสาร และสร้างความมั่นใจให้เด็กสามารถมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างมีคุณค่าและเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเป็นการป้องกันและยังทำให้พวกเขาเรียนรู้ประสบการณ์ทางสังคมเพิ่มเติมด้วย
ด้วยเหตุนี้ผมจึงใช้คำว่า “สร้างคน” เพราะอย่างที่ผมกล่าวมา Social Story ไม่ได้เป็นเพียงวิธีแก้ปัญหาพฤติกรรมเฉพาะหน้า แต่เป็นเครื่องมือที่สร้างความเข้าใจระหว่างบุคคล ส่งเสริมการมองมุมมองของผู้อื่น และพัฒนาทักษะสังคมเชิงบวกที่ติดตัวเด็กไปในระยะยาว ทำให้พวกเขามีโอกาสมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างมั่นใจและเคารพซึ่งกันและกัน
หลายคนมักเข้าใจว่า Social Story เป็นเพียงการสั่งสอนหรือบอกให้ทำเหมือนคำสั่งทั่วไป แต่จริง ๆ แล้ว หลักการของ Carol Gray ทำให้มันต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะหัวใจของ Social Story คือการ ให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจ มากกว่าการบังคับปฏิบัติ โดยมีสิ่งที่พวกเราต้องทำความเข้าใจดังนี้
1) ให้ความสำคัญกับข้อมูลไม่ใช่คำสั่ง
การสั่งสอนทั่วไป: มักเริ่มจากบอกว่า “ต้องทำอะไร” หรือ “ห้ามทำอะไร” โดยไม่มีรายละเอียดว่าทำไมต้องทำ เช่น “อย่าพูดแทรก”
Social Story: เริ่มจากบรรยายสถานการณ์และข้อเท็จจริง เช่น ใครอยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้น เมื่อไร ก่อนจะค่อย ๆ แนะนำแนวทางที่เหมาะสม เพื่อให้เด็กเข้าใจเหตุผลเบื้องหลัง เช่น “ในเวลาที่ครูกำลังพูด นักเรียนทุกคนจะฟังจนจบก่อนยกมือถาม การรอฟังช่วยให้เรารู้เรื่องครบถ้วน และเพื่อน ๆ ก็จะฟังเราเช่นกัน”
2) ใช้โทนเสีย และภาษาเชิงบวกที่ดึงความร่วมมือและเห็นอกเห็นใจ
การสั่งสอนทั่วไป: เน้นอำนาจและความถูกผิด อาจทำให้ผู้ฟังรู้สึกถูกตำหนิ เช่น “อย่าเถียงเพื่อน” (เสียงดัง)
Social Story: ใช้ภาษาบวกและเคารพมุมมองของเด็ก บอกให้รู้ว่าพฤติกรรมที่เหมาะสมมีประโยชน์ต่อทั้งตัวเด็กและคนรอบข้าง เช่น “บางครั้งเพื่อนของฉันอาจมีความคิดที่ต่างจากฉัน การฟังจนเพื่อนพูดจบและพูดตอบอย่างสุภาพจะช่วยให้เราคุยกันได้ต่อ และเพื่อนจะรู้สึกดีเมื่อฉันรับฟังเขา”
ข้อ 3 มีโครงสร้างรองรับการเรียนรู้
การสั่งสอนทั่วไป: เป็นการสื่อสารครั้งเดียวสั้น ๆ อาจไม่ได้วางแผนต่อเนื่อง เช่น “เวลาครูพูด ให้เงียบ”
Social Story: มีโครงสร้าง (บทนำ–เนื้อหา–สรุป) และใช้สัดส่วนประโยคบรรยายมากกว่าชี้นำ (อย่างน้อย 2–5 เท่า) เพื่อให้สมองได้ซึมซับข้อมูลเชิงเหตุผลและมุมมอง ก่อนนำไปปฏิบัติ เช่น “ในชั้นเรียน ครูจะพูดเพื่ออธิบายบทเรียนให้ทุกคนเข้าใจ ฉันจะนั่งฟังจนจบ เพราะการฟังช่วยให้ฉันรู้เรื่อง และเพื่อน ๆ จะได้ยินสิ่งที่ครูพูดเหมือนกัน”
ข้อ 4 ส่งเสริมการนำไปใช้จริง
การสั่งสอนทั่วไป: เด็กอาจจำกติกาได้ แต่ไม่เข้าใจเมื่อต้องประยุกต์ในสถานการณ์ใหม่ เช่น (ในสนามเด็กเล่น) “อย่าผลักเพื่อน”
Social Story: อธิบายบริบทและเหตุผล ทำให้เด็กเชื่อมโยงความรู้ไปสู่สถานการณ์อื่นได้ง่ายขึ้น และลดความเครียดเมื่อต้องเผชิญเหตุการณ์จริง เช่น “ที่สนามเด็กเล่นมีเด็กหลายคนกำลังเล่นพร้อมกัน ฉันจะรอคิวเล่นเครื่องเล่นอย่างสงบ เพื่อให้ทุกคนสนุกอย่างปลอดภัย และเมื่อถึงตาฉัน เพื่อนก็จะรอให้ฉันเล่นอย่างปลอดภัยเช่นกัน”
ตัวอย่าง Social Story ในสนามเด็กเล่น
สนามเด็กเล่นเป็นสถานที่ที่เด็ก ๆ มาเล่นและสนุกด้วยกัน ที่สนามเด็กเล่นมีเครื่องเล่นหลายอย่าง เช่น สไลเดอร์ ชิงช้า และปีนป่าย เด็กหลายคนมาเล่นในเวลาเดียวกัน (ประโยคบรรยาย)
เพื่อน ๆ รู้สึกมีความสุขเมื่อทุกคนเล่นด้วยกันอย่างเป็นมิตร เพื่อน ๆ จะชอบถ้ามีคนรอคิวและไม่แย่งเล่น เพราะมันทำให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัยและสนุก (ประโยคมุมมอง)
เมื่อฉันอยากเล่น ฉันจะรอคิวของฉัน เมื่อเพื่อนเล่นเสร็จแล้ว ฉันจึงเล่นต่อได้ ถ้ามีเพื่อนอยากเล่นด้วย ฉันสามารถชวนเขาเล่นด้วยกันได้ (ประโยคข้อเท็จจริงเชิงเหตุผล)
ฉันจะหายใจลึก ๆ และนับ 1–3 ถ้ารู้สึกอยากเล่นทันที เพราะการรอคิวจะทำให้เพื่อน ๆ รู้สึกดีกับฉัน และเราจะสนุกด้วยกัน (ประโยคชี้นำ)
ทุกท่านจะเห็นว่าจากตัวอย่างนี้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเด็กออทิซึมฯ เสมอไป เด็กธรรมดาทั่วไปก็สามารถใช้ Social Story ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ Social Story ไม่ได้เป็นเพียงการสอนกฎให้เด็กทำตาม แต่เป็นการสร้างคน ด้วยการพัฒนาทักษะที่ลึกกว่าแค่พฤติกรรมภายนอก เรื่องเล่าแบบนี้ช่วยเชื่อมกับ ทฤษฎีพัฒนาการทางสังคม–อารมณ์ โดยทำให้เด็กเรียนรู้ว่าผู้อื่นคิดและรู้สึกต่างจากตนเองอย่างไร (Theory of Mind) ผ่านสถานการณ์ที่เข้าใจง่ายและใกล้ตัว
เมื่อเด็กซึมซับเรื่องราวซ้ำ ๆ เขาจะค่อย ๆ พัฒนาความสามารถในการ มองมุมของผู้อื่น เช่น รู้ว่าเพื่อนจะรู้สึกดีเมื่อมีการรอคิว ควบคุมตนเอง (Self-regulation) เช่น หายใจลึก ๆ เพื่อลดความหงุดหงิด และสร้าง ทักษะสังคมเชิงบวก (Social skills) เช่น การชวนเพื่อนเล่นแทนการแย่งเล่น ซึ่งทักษะเหล่านี้เป็นรากฐานของการอยู่ร่วมในสังคมอย่างมีคุณภาพ
ด้วยเหตุนี้ผมจึงกล่าวว่า Social Story จึงเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้างคนได้จริง ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเพียงอย่างเดียว
อ้างอิง
โฆษณา