1) ข้อจำกัดด้าน Theory of Mind (ToM) เด็กออทิซึมฯ มักมีความยากลำบากในการตระหนักว่าผู้อื่นมีความคิด ความเชื่อ และข้อมูลต่างจากตนเอง ทำให้การคาดเดาหรือเข้าใจการกระทำของคนอื่นเป็นเรื่องซับซ้อน Social Story จึงทำหน้าที่เป็น “คู่มือทางสังคม” แบบเฉพาะบุคคล ให้ข้อมูลและเหตุผลเบื้องหลังพฤติกรรม พร้อมสอนขั้นตอนที่ปลอดภัยในการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
4) ป้องกันความเครียดและพฤติกรรมป้องกันตัว การไม่เข้าใจกติกาสังคมทำให้เด็กออทิซึมฯ เกิดความเครียดและพฤติกรรมปิดกั้นตนเอง ยิ่งในสังคมที่มีกฎข้อบังคับที่ชัดเจนและเข้มงวดอย่างโรงเรียนไทยยิ่งไปกันใหญ่ Social Story จึงถูกออกแบบให้ให้ข้อมูลล่วงหน้า ลดความไม่แน่นอน และสร้างความรู้สึกปลอดภัยให้กับพวกเขาได้
จากประสบการณ์ของผม Social Story ไม่ควรถูกใช้เพียงแค่แก้ปัญหาพฤติกรรม แต่ควรถูกใช้เพื่อสร้างความเข้าใจ พัฒนาทักษะการมองมุมมองผู้อื่น (Perspective-taking) เสริมทักษะการสื่อสาร และสร้างความมั่นใจให้เด็กสามารถมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างมีคุณค่าและเคารพซึ่งกันและกัน ซึ่งจะเป็นการป้องกันและยังทำให้พวกเขาเรียนรู้ประสบการณ์ทางสังคมเพิ่มเติมด้วย
ด้วยเหตุนี้ผมจึงใช้คำว่า “สร้างคน” เพราะอย่างที่ผมกล่าวมา Social Story ไม่ได้เป็นเพียงวิธีแก้ปัญหาพฤติกรรมเฉพาะหน้า แต่เป็นเครื่องมือที่สร้างความเข้าใจระหว่างบุคคล ส่งเสริมการมองมุมมองของผู้อื่น และพัฒนาทักษะสังคมเชิงบวกที่ติดตัวเด็กไปในระยะยาว ทำให้พวกเขามีโอกาสมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างมั่นใจและเคารพซึ่งกันและกัน
หลายคนมักเข้าใจว่า Social Story เป็นเพียงการสั่งสอนหรือบอกให้ทำเหมือนคำสั่งทั่วไป แต่จริง ๆ แล้ว หลักการของ Carol Gray ทำให้มันต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะหัวใจของ Social Story คือการ ให้ข้อมูลและสร้างความเข้าใจ มากกว่าการบังคับปฏิบัติ โดยมีสิ่งที่พวกเราต้องทำความเข้าใจดังนี้
ทุกท่านจะเห็นว่าจากตัวอย่างนี้ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเด็กออทิซึมฯ เสมอไป เด็กธรรมดาทั่วไปก็สามารถใช้ Social Story ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะ Social Story ไม่ได้เป็นเพียงการสอนกฎให้เด็กทำตาม แต่เป็นการสร้างคน ด้วยการพัฒนาทักษะที่ลึกกว่าแค่พฤติกรรมภายนอก เรื่องเล่าแบบนี้ช่วยเชื่อมกับ ทฤษฎีพัฒนาการทางสังคม–อารมณ์ โดยทำให้เด็กเรียนรู้ว่าผู้อื่นคิดและรู้สึกต่างจากตนเองอย่างไร (Theory of Mind) ผ่านสถานการณ์ที่เข้าใจง่ายและใกล้ตัว