เมื่อวาน เวลา 15:56 • ความคิดเห็น
ได้ซิ ก็ได้ไปต่างส่วนที่พึงจะได้
แต่ทั้งนี้เรามาทำในส่วนของผู้ให้คือตัวเรานี่แหละให้บริบูรณ์เนอะ
ปัจจัยที่ทำให้การให้ทานบริสุทธิ์นั้นประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก ได้แก่ เจตนาของผู้ให้, วัตถุทาน, และผู้รับทาน. ความบริสุทธิ์ของเจตนาหมายถึงการให้ทานด้วยความตั้งใจดี ไม่หวังผลตอบแทน ไม่ได้ทำเพื่ออวด หรือถูกบังคับ. วัตถุทานควรเป็นของที่ได้มาโดยชอบธรรม และผู้รับทานควรเป็นผู้มีศีลธรรม. การให้ทานที่บริสุทธิ์ทั้ง 3 ส่วนนี้จะส่งผลให้ได้บุญมาก.
1. เจตนาของผู้ให้ (ผู้ให้บริสุทธิ์):
ก่อนให้:
มีจิตเลื่อมใสศรัทธาในทานที่ตนจะให้.
ขณะให้:
ให้ด้วยความเต็มใจ ปราศจากความเสียดาย.
หลังให้:
มีความสุขใจ ไม่คิดเสียดาย.
เจตนาบริสุทธิ์:
ไม่หวังผลประโยชน์ส่วนตัว ไม่ได้ทำเพื่ออวด ไม่ได้ทำเพราะถูกบังคับ หรือเพื่อชื่อเสียง.
2. วัตถุทาน:
ได้มาโดยชอบธรรม: ไม่ใช่ของที่ได้มาจากการทุจริต หรือของผิดกฎหมาย.
เป็นของดีมีคุณภาพ: ไม่ใช่ของที่เหลือเดน.
3. ผู้รับทาน:
ผู้มีศีลธรรม:
ควรเลือกให้ทานแก่ผู้ที่ตั้งใจประพฤติธรรม.
พระสงฆ์:
ถือเป็นเนื้อนาบุญอันยอดเยี่ยม.
การให้ทานที่บริสุทธิ์ทั้ง 3 ส่วนนี้ จะส่งผลให้เกิดอานิสงส์มาก คือ ผู้ให้จะได้รับผลบุญอย่างเต็มเปี่ยม
หลักการที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ดีมากอยู่แล้วคือทางด้านเราที่เป็นผู้ให้ทานก็อย่าทำให้ทานนั้นหม่นหมองโดยการไปตำหนิดูหมิ่นดูแคลนระแวงต่อผู้รับ
แต่ที่ควรทำคือเพิ่มการพิจารณาให้ถี่ถ้วนขึ้นอีกว่าผู้รับเหมาะควรหรือไม่ การจะดูว่าใครมีศีลจริงๆไม่ใช่เรื่องแค่ฉาบฉวยแล้วจะรู้กัน
ถ้าจะเอาให้มั่นใจลงใจกันจริงๆ นั่นเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาคลุกคลีถึงจะรู้ว่าผู้ใดมีศีลมากน้อยเพียงใด
แต่ที่เราทำได้แน่ๆเลยก็คือทำในส่วนผู้ให้ให้สมบูรณ์บริบูรณ์มากที่สุด(กลับไปดูปัจจัยฝั่งผู้ให้ด้านบนอีกที😊)
1
โฆษณา