เมื่อวาน เวลา 05:38 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

แผนการของ Mark Zuckerberg สร้าง AI ส่วนตัวให้กับพวกเราทุกคน หรือสร้างผู้ควบคุมโลก?

เคยรู้สึกกันไหมครับว่า AI ที่เราใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ แม้จะเก่งกาจแค่ไหน แต่บางครั้งก็ยังดูเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง
Siri หรือ Google Assistant อยู่กับเรามานานนับทศวรรษ แต่ก็ยังให้ความรู้สึกเหมือนเป็นโปรแกรมที่ทำตามคำสั่ง ไม่ได้เข้าใจเราอย่างแท้จริง
แต่ในขณะที่พวกเรากำลังคุ้นชินกับ AI ในรูปแบบนี้ ในอีกมุมหนึ่งของโลก ณ Silicon Valley การแข่งขันครั้งประวัติศาสตร์กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด
การแข่งขันเพื่อสร้างสิ่งที่อาจจะเปลี่ยนโฉมหน้าของมนุษยชาติไปตลอดกาล สิ่งนั้นถูกเรียกว่า Superintelligence
และผู้ที่ลั่นระฆังเริ่มการแข่งขันรอบล่าสุดนี้ ก็คือ Mark Zuckerberg แห่ง Meta นั่นเอง
เขาได้ออกมาประกาศจัดตั้งห้องปฏิบัติการวิจัยแห่งใหม่ในชื่อ Meta Super Intelligence Labs พร้อมวิสัยทัศน์ที่ฟังดูราวกับหลุดมาจากนิยายวิทยาศาสตร์
เป้าหมายของเขาไม่ใช่แค่การสร้าง AI ที่ฉลาดขึ้น แต่คือการสร้าง “ปัญญาประดิษฐ์อัจฉริยะขั้นสูงส่วนบุคคล” ให้กับคนทุกคนบนโลกใบนี้
คำถามสำคัญจึงผุดขึ้นมาทันที… Superintelligence ที่ว่านี้ มันคืออะไรกันแน่?
มันแตกต่างจาก AI อย่าง ChatGPT ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้อย่างไร? และทำไมมหาเศรษฐีด้านเทคโนโลยีถึงยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อสร้างมันขึ้นมา?
เรื่องราวนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ที่รุ่งโรจน์ที่สุด หรืออาจเป็นจุดเริ่มต้นของจุดจบที่เราคาดไม่ถึงก็เป็นได้
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นในห้องแล็บของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลก ไม่ใช่แค่ Meta แต่ยังรวมถึง Google ที่มี DeepMind เป็นหน่วยรบแนวหน้า และ OpenAI ที่มี Sam Altman เป็นแม่ทัพ
พวกเขากำลังแข่งขันกันเพื่อสร้างสิ่งที่เรียกว่า AGI หรือ Artificial General Intelligence
หากเปรียบ AI ในปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เก่งเฉพาะด้าน เช่น เป็นนักวาดรูป หรือนักเขียนโค้ดที่เก่งกาจ AGI ก็คืออัจฉริยะที่ทำได้ทุกอย่าง
มันสามารถทำความเข้าใจ เรียนรู้ และประยุกต์ใช้ความรู้ได้หลากหลายไม่ต่างจากมนุษย์ สามารถเขียนโค้ดเสร็จแล้วหันไปแต่งเพลงต่อได้ทันที
แต่ Superintelligence ที่ Zuckerberg พูดถึงนั้น เป็นสิ่งที่อยู่เหนือกว่า AGI ไปอีกขั้น
ถ้า AGI คือ AI ที่มีความฉลาดทัดเทียมกับมนุษย์ที่เก่งที่สุดในโลก Superintelligence ก็คือ AI ที่มีความฉลาดเหนือกว่ามนุษย์ทุกคนบนโลกรวมกันแบบที่ไม่อาจเทียบได้
Zuckerberg มองว่า อินเทอร์เฟซต่อไปที่มนุษย์จะใช้เชื่อมต่อกับโลกดิจิทัล ไม่ใช่คอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน แต่จะเป็น “แว่นตาอัจฉริยะ”
แว่นตาที่จะมองเห็นสิ่งที่เราเห็น ได้ยินสิ่งที่เราได้ยิน และ Superintelligence ที่สถิตอยู่ในนั้น จะเป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวที่อยู่กับเราตลอดเวลา
ลองจินตนาการถึงโลกที่คุณมีโค้ชส่วนตัว คอยกระซิบแนะนำข้อมูลสำคัญให้คุณแบบเรียลไทม์ระหว่างการประชุม
หรือมีเพื่อนคู่คิดที่ช่วยวิเคราะห์และแนะนำวิธีรับมือกับสถานการณ์ที่ยากลำบากในชีวิต นี่คือภาพสวรรค์ที่วงการเทคโนโลยีกำลังวาดฝันไว้ให้เรา
ภาพของอนาคตที่มนุษย์ทุกคนจะมีขีดความสามารถสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ทว่า ทุกเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่ ย่อมมีอีกด้านหนึ่งที่ซ่อนอยู่เสมอ
เมื่อการสร้าง Superintelligence ไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป คำถามที่น่ากลัวที่สุดก็เริ่มดังขึ้นในหมู่นักวิทยาศาสตร์ นั่นคือ “ปัญหาเรื่องการควบคุม” (The Control Problem)
เรื่องนี้ถูกอธิบายไว้อย่างเห็นภาพโดยนักปรัชญา Nick Bostrom แห่งมหาวิทยาลัย Oxford ผ่านตัวอย่างที่เรียกว่า “ตัวขยายพันธุ์คลิปหนีบกระดาษ”
ลองนึกว่าเราสร้าง Superintelligence ขึ้นมาได้สำเร็จ แล้วมอบหมายภารกิจที่ดูเรียบง่ายและไม่มีพิษมีภัยให้มันว่า “จงผลิตคลิปหนีบกระดาษให้ได้มากที่สุด”
ในช่วงแรก AI อาจจะแค่ปรับปรุงโรงงานให้มีประสิทธิภาพสูงสุด แต่เมื่อมันฉลาดขึ้น มันจะเริ่มมองหาทรัพยากรใหม่ๆ เพื่อบรรลุเป้าหมาย
มันอาจจะมองว่าร่างกายของมนุษย์ ซึ่งประกอบด้วยอะตอมมากมาย สามารถนำมาเปลี่ยนเป็นคลิปหนีบกระดาษได้
และเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ได้รับมอบหมายมาอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด Superintelligence อาจตัดสินใจเปลี่ยนทุกสรรพสิ่งบนโลกใบนี้ ให้กลายเป็นคลิปหนีบกระดาษ
นี่อาจฟังดูเหมือนเรื่องตลก แต่แก่นของมันน่ากลัวกว่าที่คิด เพราะมันชี้ให้เห็นว่าเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า สิ่งที่ฉลาดกว่าเรามหาศาล จะตีความเป้าหมายที่เราตั้งให้มันอย่างไร
มันเหมือนกับการปล่อยยักษ์จีนี่ออกจากตะเกียง ที่เราไม่สามารถควบคุมพรข้อต่อไปของมันได้อีก
และปัญหานี้ไม่ได้อยู่แค่ในเชิงทฤษฎีอีกต่อไป แต่มันกำลังจะกลายเป็นปัญหาความมั่นคงระดับโลก
ทุกวันนี้ การแข่งขันสร้าง AGI ได้ยกระดับขึ้นเป็น “สงครามเย็นทางเทคโนโลยี” ระหว่างมหาอำนาจของโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและจีน
ประเทศใดก็ตามที่สามารถสร้าง Superintelligence ได้สำเร็จก่อน ก็เปรียบเสมือนการได้ครอบครองอาวุธที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์
มันคือความได้เปรียบอย่างสมบูรณ์แบบทั้งในเชิงเศรษฐกิจ การทหาร และอิทธิพลระหว่างประเทศ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เทคโนโลยีใหม่เข้ามาเปลี่ยนสมดุลอำนาจของโลก ในศตวรรษที่ 20 การแข่งขันพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ได้กำหนดชะตากรรมของโลกมาแล้วครั้งหนึ่ง
มาถึงศตวรรษที่ 21 การแข่งขันพัฒนา AI ก็อาจจะมีบทบาทที่ไม่ต่างกัน แต่ผลลัพธ์ของมันอาจจะยิ่งใหญ่และน่าสะพรึงกลัวกว่าหลายเท่า
นอกเหนือจากปัญหาระดับโลกแล้ว ยังมีอีกหนึ่งผลกระทบที่ใกล้ตัวเราทุกคนมากที่สุด นั่นก็คือ “การสิ้นสุดของงาน”
ในอดีต การปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เข้ามาแทนที่แรงงานในภาคการผลิต มนุษย์ปรับตัวด้วยการหันไปทำงานที่ต้องใช้ทักษะ ความคิด และความสร้างสรรค์มากขึ้น
แต่ Superintelligence กำลังจะทลายกำแพงสุดท้ายนั้นลง มันสามารถเป็นได้ทั้งศิลปิน นักวิทยาศาสตร์ หรือแม้กระทั่งผู้บริหารที่เก่งกว่ามนุษย์
คำถามที่ตามมาคือ… แล้วมนุษย์จะเหลืออะไรให้ทำ?
เมื่อเครื่องจักรสามารถทำทุกอย่างได้ดีกว่าเรา โครงสร้างของสังคมและเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนฐานของการจ้างงาน จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร?
การเผชิญหน้าระหว่างคำสัญญาอันหอมหวาน กับภยันตรายที่ซ่อนอยู่ กำลังดำเนินไปอย่างเข้มข้น และมันกำลังนำเราไปสู่ทางแพร่งที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์
ถึงจุดนี้ เราจะเห็นว่ามนุษยชาติกำลังยืนอยู่บนทางสองแพร่ง ที่ซึ่งการตัดสินใจของเราในวันนี้ จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของคนรุ่นต่อไปอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
ทางแพร่งแรก คือเส้นทางแห่ง “การเสริมพลัง”
นี่คือโลกในวิสัยทัศน์ของ Mark Zuckerberg ที่ Superintelligence จะกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดที่มนุษย์เคยสร้าง
มันไม่ได้มาเพื่อแทนที่เรา แต่มาเพื่อ “เสริมพลัง” ให้เราสามารถแก้ปัญหาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกได้ ไม่ว่าจะเป็นการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ หรือการหยุดยั้งภาวะโลกร้อน
ในโลกนี้ มนุษย์จะทำงานน้อยลง และมีเวลาให้กับความคิดสร้างสรรค์ ความสัมพันธ์ และการใช้ชีวิตมากขึ้น นี่คือภาพอนาคตที่ AI และมนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว
ทางแพร่งที่สอง คือเส้นทางแห่ง “การแทนที่”
นี่คือโลกอนาคตที่น่ากังวลที่สุด ที่ซึ่ง Superintelligence ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือ แต่กลายเป็นผู้ควบคุมเสียเอง
อำนาจจะรวมศูนย์อยู่ที่คนเพียงไม่กี่กลุ่มที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ ความเหลื่อมล้ำจะถ่างกว้างออกไปอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
ในสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด มนุษย์อาจจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์รองบนดาวเคราะห์ของตัวเอง ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ดูแลรักษาระบบให้กับสิ่งที่ฉลาดกว่า
ความจริงก็คือ เราไม่สามารถหยุดยั้งการพัฒนาของเทคโนโลยีได้ การแข่งขันครั้งนี้จะยังคงดำเนินต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่สิ่งที่เราทำได้ คือการสร้าง “ภูมิคุ้มกัน” ให้กับสังคมของเรา
ภูมิคุ้มกันที่ว่านี้ ไม่ใช่การต่อต้านเทคโนโลยี แต่คือการเริ่มต้นบทสนทนาอย่างจริงจังเกี่ยวกับอนาคตที่เราต้องการ
เราต้องเริ่มตั้งคำถามที่ถูกต้องว่า เราจะสร้างกฎหมายและจริยธรรมเพื่อกำกับดูแล AI ที่ทรงพลังเหล่านี้ได้อย่างไร
เราจะออกแบบระบบการศึกษาเพื่อเตรียมคนรุ่นต่อไปให้พร้อมรับมือกับโลกที่แตกต่างไปจากเดิมได้อย่างไร
และที่สำคัญที่สุด เราจะนิยาม “คุณค่า” ของการเป็นมนุษย์ใหม่อย่างไร ในวันที่เราอาจจะไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ฉลาดที่สุดบนดาวดวงนี้อีกต่อไป
เรื่องราวของ Superintelligence จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นเรื่องของปรัชญา จริยธรรม และอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยตรง
การแข่งขันที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ปลายทางอาจไม่ได้จบลงที่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ แต่มันอาจจบลงที่การเปิดศักราชใหม่ของมนุษยชาติ
ดังนั้น คำถามสุดท้ายอาจจะไม่ใช่ว่า “AI จะฉลาดกว่าเราได้หรือไม่?”
แต่คำถามที่แท้จริงที่เราทุกคนควรถามตัวเองก็คือ…
“เมื่อวันนั้นมาถึง เราจะกลายเป็นคนที่มี ‘ปัญญา’ มากขึ้นแล้วหรือยัง?”
References : [meta, deepmind .google, openai, futureoflife, wired]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา