ทำไม Windows ถึงตกอยู่ในอันตราย? กับเบื้องหลังการผงาดของ Mac และ ChromeOS
ถ้าเราลองนึกย้อนกลับไปในยุคที่คอมพิวเตอร์เริ่มเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน เชื่อว่าภาพจำของใครหลายคนคงหนีไม่พ้นหน้าจอโลโก้ Windows พร้อมเสียงเปิดเครื่องอันเป็นเอกลักษณ์
Microsoft Windows เคยเป็นราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่ครองบัลลังก์โลกคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล หรือ PC อย่างไม่มีใครเทียบได้
ไม่ว่าเราจะซื้อคอมพิวเตอร์ยี่ห้อไหน แบรนด์อะไรก็ตาม ปลายทางสุดท้ายก็มักจะมาจบที่ระบบปฏิบัติการของ Microsoft เสมอ
ณ จุดสูงสุด Windows เคยครองส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 95% ทั่วโลก เรียกได้ว่าเป็นการผูกขาดอย่างสมบูรณ์แบบ
Microsoft เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยการเดิมพันกับ Windows 8 ซึ่งเป็นการยกเครื่องระบบปฏิบัติการครั้งใหญ่
พวกเขาพยายามเปลี่ยน Windows ที่ทุกคนคุ้นเคย ให้กลายเป็นระบบกึ่งแท็บเล็ต ด้วยอินเทอร์เฟซแบบใหม่ที่เรียกว่า Metro UI ซึ่งเต็มไปด้วยแผ่นสี่เหลี่ยมที่เรียกว่า Live Tiles
ท้ายที่สุด Microsoft ก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ และค่อยๆ นำเดสก์ท็อปแบบดั้งเดิมกลับมาใน Windows เวอร์ชันถัดๆ ไป ทิ้งไว้เพียงรอยแผลและความสับสน
บทเรียนจาก Windows 8 ควรจะทำให้พวกเขาฉลาดขึ้น แต่ดูเหมือนว่า Microsoft จะยังคงติดอยู่ในวังวนของการไล่ตามเทรนด์ต่อไป
เมื่อกระแสของ VR (Virtual Reality) และ AR (Augmented Reality) เริ่มมาแรง พวกเขาก็มองว่านี่คือคลื่นลูกต่อไปแห่งโลกเทคโนโลยี
Microsoft ทุ่มสุดตัวอีกครั้งกับแนวคิด “Mixed Reality” หรือความเป็นจริงผสม พวกเขาพัฒนาแว่นตาสุดล้ำอย่าง HoloLens และฝังแพลตฟอร์มนี้เข้าไปใน Windows 10 โดยตรง
ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังพยายามทำให้ Windows ทั้งระบบกลายเป็น 3 มิติมากขึ้น มีการเปิดตัวโปรแกรม Paint 3D และปรับดีไซน์ให้ดูล้ำยุคด้วยเอฟเฟกต์โปร่งแสงต่างๆ
วงจรแห่งการไล่ตามยังไม่จบแค่นั้น เมื่อพวกเขาเห็นว่า Chrome OS ของ Google กำลังได้รับความนิยมในตลาดการศึกษา ด้วยความเรียบง่ายและปลอดภัย
Microsoft ก็ตอบสนองทันทีด้วยการสร้าง Windows 10S ซึ่งเป็นเวอร์ชันที่ถูกล็อกให้ติดตั้งได้เฉพาะแอปจาก Microsoft Store เท่านั้น
แนวคิดคือการสร้าง Windows ที่ปลอดภัยและไร้ไวรัส เพื่อมาแข่งกับ Chrome OS โดยเฉพาะ แต่ผลลัพธ์กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า
เพราะภายใต้ความเรียบง่ายนั้น มันยังคงเป็น Windows ตัวเต็มที่หนักอึ้ง ทำให้มันทำงานได้ไม่ดีบนคอมพิวเตอร์ราคาถูก และการจำกัดแอปก็สร้างความสับสนและหงุดหงิดให้ผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา Microsoft ใช้เวลาและทรัพยากรไปกับการวิ่งไล่ตามเงาของคนอื่น พยายามเปลี่ยน Windows ให้เป็นทุกอย่างที่ไม่ใช่ตัวเอง
ในขณะที่พวกเขากำลังหมุนวนอยู่กับที่ คู่แข่งอย่าง Apple กลับใช้เวลาทั้งหมดไปกับการพัฒนาสิ่งที่ตัวเองเก่งอยู่แล้วให้ดียิ่งขึ้นไปอีก
Apple ไม่ได้พยายามทำให้ Mac กลายเป็นแท็บเล็ต แต่พวกเขาทำให้ Mac เป็นคอมพิวเตอร์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และอาวุธลับที่สำคัญที่สุดของพวกเขาก็คือ การสร้าง “ชิป” เป็นของตัวเอง
จนกระทั่งการมาถึงของ Windows 11 ดูเหมือนว่า Microsoft จะได้เรียนรู้บทเรียนราคาแพง และพร้อมที่จะออกจากวงจรอุบาทว์นี้เสียที
Windows 11 คือการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ แต่ไม่ใช่การปฏิวัติที่ล้มล้างของเก่าเหมือนที่เคยทำมา
แต่มันคือการ “กลับสู่พื้นฐาน” เป็นครั้งแรกในรอบกว่าสิบปีที่ Microsoft เลิกพยายามจะเปลี่ยน Windows ให้เป็นอย่างอื่น และหันกลับมามุ่งมั่นกับการปรับปรุงประสบการณ์การใช้ PC ให้ดีที่สุด
ทำให้บริษัทไม่จำเป็นต้องฝากความหวังทั้งหมดไว้ที่ Windows เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป ปลดปล่อยให้ทีม Windows ได้มีอิสระในการกลับมาทำผลิตภัณฑ์ของตัวเองให้ดีที่สุด
และวันนี้ ดูเหมือนว่า Microsoft จะพบหมัดเด็ดที่ว่านั้นแล้ว ซึ่งก็คือการเดิมพันครั้งใหญ่กับสองเทคโนโลยีแห่งอนาคต
ความหวังแรกคือการทลายกำแพงใน “สงครามชิปเซ็ต” ด้วยสถาปัตยกรรม ARM
หนึ่งในเหตุผลหลักที่ทำให้ MacBook ของ Apple ประสบความสำเร็จอย่างถล่มทลายในช่วงหลัง คือชิปตระกูล M-Series ที่พวกเขาออกแบบเอง ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม ARM ที่เน้นการประหยัดพลังงาน
ชิปเหล่านี้ทำให้ MacBook ทั้งเร็ว แรง และใช้งานได้ยาวนานตลอดวันโดยไม่ต้องชาร์จ ซึ่งเป็นสิ่งที่แล็ปท็อป Windows ที่ใช้ชิป x86 ของ Intel และ AMD ไม่เคยทำได้ดีเท่า
Microsoft รู้ดีว่าหากต้องการแข่งขัน พวกเขาต้องมีชิปแบบเดียวกัน และความหวังใหม่ก็อยู่ที่ Qualcomm ผู้ผลิตชิปมือถือรายใหญ่ ที่ได้พัฒนาชิป Snapdragon X Series ขึ้นมาเพื่อแล็ปท็อป Windows โดยเฉพาะ
การมาของชิป ARM บน Windows ไม่เพียงแต่จะทำให้เกิดแล็ปท็อปที่แบตเตอรี่อึดและทรงพลัง แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่การแข่งขันอย่างแท้จริงในตลาดที่เคยถูกผูกขาดโดย Intel และ AMD มานานหลายสิบปี
ความหวังที่สอง และอาจเป็นการเดิมพันที่ใหญ่ที่สุดของพวกเขา คือการปฏิวัติด้วย “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI
ครั้งนี้ Microsoft ไม่ได้เป็นผู้ตามอีกต่อไป แต่พวกเขาคือหนึ่งในผู้นำแถวหน้า จากการเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ที่สุดใน OpenAI บริษัทผู้สร้าง ChatGPT
พวกเขาไม่ได้มองว่า AI เป็นแค่ฟีเจอร์เสริม แต่มองว่ามันคือแกนกลางใหม่ของระบบปฏิบัติการในอนาคต
เราเริ่มเห็นภาพนั้นชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จากการเปิดตัว Copilot ผู้ช่วยอัจฉริยะที่จะถูกฝังเข้าไปในทุกส่วนของ Windows และแอปพลิเคชันอย่าง Office
แนวคิดนี้สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง เพราะ PC คือเครื่องมือแห่งการสร้างสรรค์ การมี AI เป็นผู้ช่วยคิด วิเคราะห์ และสร้างสรรค์ผลงานอยู่ข้างๆ สามารถปลดล็อกศักยภาพของผู้ใช้งานได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
เรื่องราวของ Windows คือมหากาพย์ของราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยหลงระเริงกับความสำเร็จจนเกือบตกบัลลังก์