23 ส.ค. เวลา 06:55 • หนังสือ

ถอดรหัส “เล่าปี่”: ทำไมผู้นำที่ดูไม่มีอะไร ถึงได้ "ใจ" คนทั้งแผ่นดิน (1)

ผมครุ่นคิดเรื่องหนึ่งมาสักพัก….
ทำไมที่บ้านหลังหนึ่ง ที่บ้านไม่มีเนื้อทำกับข้าว สามียอมฆ่าภรรยาตัวเอง เพียงเพื่อจะหั่นเอาเนื้อ อ่านไม่ผิดครับ เอาเนื้อภรรยามาทำเป็นกับข้าวเลี้ยงแขกที่มาพักพิง ซึ่งเป็นบุรุษท่านหนึ่ง ที่หนีภัยมาหลบพักที่บ้าน เพียงเพื่อให้เขาได้กินจะได้มีแรงเพื่อทำงานต่อไปได้
1
ทำไมเมื่อบุรุษท่านนี้ เดือดร้อน หันหน้าไปพึ่งพาใคร ก็มีแต่คนเปิดรับและอุ้มชู
ทำไมเขาถึงรายล้อมไปด้วยยอดคนแห่งยุค ไม่ว่าจะเป็นนักรบ หรือนักปราชญ์
และ ทำไม แค่บุรุษท่านนี้ร้องไห้ ใจคนก็เปลี่ยน
1
ใช่ครับ เขารูปงาม มีรูปสมบัติที่เป็นเอก เพียบพร้อมไปด้วยลักษณะอันเป็นมงคลของผู้จะเป็นใหญ่ แต่เพียงแค่นั้นหรือ?
ในหน้าประวัติศาสตร์สามก๊ก มีแผนการหนึ่งที่ถูกกล่าวขานมาจนปัจจุบัน นั่นคือ "แผนหลงจง" ที่ยอดปราชญ์อย่างขงเบ้ง ได้มอบให้แก่ เล่าปี่ แต่ขงเบ้งหารู้ไม่ ว่าในวันนั้นเขาก็ได้ตกเป็นเหยื่อของแผนการอย่างหนึ่งของเล่าปี่เหมือนกัน นั่นคือ แผน จง-หลง
ภาพในจินตนาการ กระท่อมหลงจง สถานที่ก่อกำเนิดแผนหลงจง
บทความนี้จะเปิดเผยอีกหนึ่ง "แผน" ที่เล่าปี่ใช้มาตลอดชีวิต นั่นคือ ศาสตร์แห่งการรักกู หลงกู คือ "ศาสตร์แห่งการซื้อใจ" ที่ใช้ "เสน่ห์" และ "ความจริงใจ" เป็นอาวุธหลัก และทำให้เขาคือสุดยอดผู้เชี่ยวชาญในศาสตร์ที่ยากที่สุดในใต้หล้า... "ศาสตร์แห่งการครองใจคน"
1
แต่ละก๊ก ต่างก็มีของ ของตัวเอง
โจโฉ มีองค์จักรพรรดิ์เป็นหุ่นเชิด บงการได้ทั้งแผ่นดิน ซุนกวน สืบทอดอำนาจจากพ่อและพี่ชาย และครอบครองชัยภูมิที่ได้เปรียบ มีแม่น้ำใหญ่เป็นป้อมปราการ
แต่อีกคนมีอะไรที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง เล่าปี่ ผู้ที่เริ่มต้นจากคนธรรมดา ต้นทุนนับว่าน้อยหากเทียบกันคนอื่น แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธได้คือ “เสน่ห์” และ “บารมี” ที่สามารถดึงดูดคนเก่งและคนดีที่สุดในแผ่นดินให้มารวมกัน และยอมอุทิศชีวิตทำงานเพื่อเขาได้อย่างน่าอัศจรรย์
ในโลกแห่งการทำงานที่ต้องใช้ทั้งความสามารถและคอนเนกชั่น บทเรียนจากชีวิตของเล่าปี่จึงไม่ใช่แค่วรรณกรรมประวัติศาสตร์ แต่คือคู่มือการสร้างผู้นำที่ใช้ "ใจ" ในการปกครองคน วันนี้เราจะมาถอดรหัสกันว่า คุณสมบัติแบบไหนที่ทำให้คนคนนี้ ได้รับความรักและความจงรักภักดีจากผู้คนมากมาย จนสามารถสร้างอาณาจักรได้ในที่สุด
1. การชูธง "ความชอบธรรม": สร้างแบรนด์ที่น่าเชื่อถือจากจุดแข็งที่ตนมี
คนแซ่เล่า มีอยู่ทั่วแผ่นดิน แต่มีเขาคนเดียว ที่ใช้ แซ่ เป็นตัวนำ การที่เล่าปี่มักแนะนำตนว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ (แม้จะห่างไกลและพิสูจน์ได้ยาก) คือ กลยุทธ์ที่เฉียบขาดและมีนัยยะสำคัญอย่างยิ่ง สำหรับเขาที่ไม่มีอำนาจทางทหารหรือเงินทอง เล่าปี่รู้ดีว่านี่คือจุดแข็งเพียงไม่กี่อย่างที่เขามี (แซ่เดียวกับฮ่องเต้ + บุคลิคที่น่าเชื่อถือ) และเขาก็ใช้มันอย่างชาญฉลาด อย่างไรนั้นน่ะหรือ
1
ใช้สร้างความชอบธรรมของการต่อสู้: การต่อสู้ของผู้อื่นส่วนใหญ่ถูกมองว่าเป็นการแย่งชิงเพื่อผลประโยชน์ส่วนตน แต่การที่เล่าปี่ชูธงว่า "สืบวงศ์วานจากองค์จักรพรรดิ และที่มานี่ก็เพื่อกอบกู้บ้านเมือง" ทำให้การต่อสู้ของเขามี "จุดยืน มีน้ำหนัก" และสร้าง "ความชอบธรรม" ในขณะที่คนอื่นไม่มี จุดขายคือเขาไม่ได้สู้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว แต่สู้เพื่อฟื้นฟูราชวงศ์ ทำให้การกระทำของเขามีความหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่การแย่งชิงแผ่นดิน
ใช้สร้างตัวตนที่แตกต่าง: ในบรรดาผู้นำร้อยแปดที่ต่อสู้กันเพื่ออำนาจ การที่เล่าปี่อ้างว่าตนเองเป็นเชื้อพระวงศ์ที่ต้องการกอบกู้แผ่นดิน ทำให้เขาโดดเด่นและกลายเป็นสัญลักษณ์ของ "ความหวัง" สำหรับประชาชนที่กำลังเผชิญกับความทุกข์ยาก เขากลายเป็นผู้นำที่มีแนวโน้มสร้างอนาคตที่ดีกว่า ไม่ใช่แค่ผู้นำที่ต้องการอำนาจไว้กับตัว
และยิ่งไปกว่านั้น การประกาศตัวตนจนชื่อเสียงดังกระฉ่อนในช่วงต้น การปราบกบฏโพกผ้าเหลือง หรือ การรวมตัวของ 18 หัวเมืองปราบตั๋งโต๊ะ ก็ยิ่งช่วยตอกย้ำ "แบรนด์" ของเล่าปี่ให้ชัดเจนขึ้นไปอีก ให้เป็นที่รู้จักในฐานะกลุ่มคนที่มีความสามารถในการรบ เป็นกองทหารอาสาผู้ปราบโจร
และคราวทั้งสามพี่น้อง ขี่ม้าเข้ารบกับลิโป้ ขุนศึกที่เลื่องลือว่าไร้เทียมทาน นั่นเป็นการประกาศให้ทั่วสารทิศรับรู้ในความสามารถ และความ "ใจถึงพึ่งได้" เป็นเครื่องการันตีชั้นดีว่าเมื่อไปทำงานอยู่กับใคร ก็จะสร้างผลลัพธ์ได้จริง
สามพี่น้อง รบลิโป้ (ตั๋งโต๊ะรบกับ 18 หัวเมือง)
2. บางครั้ง น้ำตาคืออาวุธที่ทรงพลังที่สุด
บางครั้งการกล้าแสดงความอ่อนแอ และรู้จักขอความช่วยเหลือ ก็เป็นคุณลักษณะที่ดีอย่างหนึ่งของผู้นำ
1
แม้ว่าจะโดดเด่นในการ ซ่อนความรู้สึก และควบคุมอารมณ์ แต่เมื่อเขาต้องเผชิญสถานการณ์คับขัน เขากลับรู้จักวิธีใช้ "น้ำตา" เป็นเครื่องมือ ซึ่งความย้อนแย้งกันระหว่างความเข้มแข็งดุดันของนักรบ และความนิ่งสงบของผู้นำ ที่ตรงกันข้ามกับความอ่อนแอแห่งน้ำตานี้เอง ที่กลายเป็นเสน่ห์ที่น่าทึ่งและสร้างแรงกระเพื่อมในจิตใจของผู้คนได้อย่างมหาศาล
ลองจินตนาการหากคุณมีหัวหน้าที่นับถือ เพราะเขาดูเป็นคนเก่ง มีภาวะผู้นำเข้มแข็ง แต่วันหนึ่งคุณเห็นเขาแสดงความอ่อนแอ หรือร้องไห้ให้คุณเห็น จะเกิดปฏิกริยาในหัวใจของคุณเช่นไร คุณจะเห็นใจและอยากช่วยเหลือเขาไหม
น้ำตาสู่สาธารณชน: ในศึก เตียงปัน (Battle of Changban) เมื่อเขาต้องหนีจากการตามล่าของโจโฉ แต่ยังคงนำพาประชาชนนับแสนที่อพยพติดตามให้เดินทางไปด้วยอย่างช้า ๆ ขณะที่คนอื่นเสนอให้ทิ้งประชาชนเพื่อจะหนีรอดโดยไม่เสียเวลา เล่าปี่กลับร้องไห้ด้วยความสงสารที่เห็นประชาชนต้องลำบากไปกับตน และยืนยันว่าจะไม่ทอดทิ้งพวกเขา และเขาก็ได้หัวใจแห่งประชานิยมไปเต็มๆ
น้ำตาเพื่อลูกทีม: เมื่อคราวต้องจาก ไม่เคยที่จะไม่ร้องไห้ ตัวอย่างเช่นการจำใจจากไปของซีซี เขาร้องไห้ซบลงกับหลังม้า พร้อมทั้งสั่งให้ทหารตัดต้นไม้ที่บังตาเขา นั่นทำซีซีซาบซึ้งใจและสงสาร จนได้บอกเล่าปี่ให้ไปเชิญขงเบ้งมาทำงานแทนเขา
หรือการร้องไห้กรณีต้องลากับจูล่งในช่วงแรกๆที่ได้ร่วมงานกันแบบเฉพาะกิจ แต่เมื่อจบงานแล้วจูล่งต้องจากไปเพราะยังอาศัยอยู่กับกองซุนจ้าน นี่คือภาษากายที่ไม่ต้องแปลความหมาย
หลังจากที่ กวนอู และ เตียวหุย ตายไป ความโศกเศร้าของเล่าปี่นั้นไม่มีสิ่งใดเทียบได้ เขาหลั่งน้ำตาออกมาด้วยการปลดปล่อยอารมณ์จนหมดสิ้น ร้องไห้จนสลบ การแสดงอารมณ์ที่ตรงไปตรงมานี้ไม่ได้ทำให้เขาดูอ่อนแอ แต่กลับทำให้เหล่าขุนพลที่เหลืออยู่ยิ่งรักและภักดีต่อเขามากขึ้น เพราะพวกเขาได้เห็นแล้วว่าผู้นำคนนี้รักผู้ใต้บังคับบัญชาเพียงใด
น้ำตาเพื่อการเมือง: จะเอาเมืองเก่งจิ๋ว ก็ร้องไห้หลอกโลซกให้สงสาร เพื่อให้โลซกเป็นนายประกันค้ำคำมั่นของต้น ว่าแค่ขอยืมเมืองนี้จากซุนกวน ต่อไปจะคืนให้
ตอนไปแต่งงานกับน้องสาวซุนกวนก็ร้องไห้หลอกงอก๊กไท้แม่ของซุนกวนให้ช่วยไล่ทหารที่กำลังแอบซุ่มรอทำร้าย
เตียวสงช้ำใจโดนโจโฉไล่มา เขาดูแลต้อนรับอย่างดี พอจะจากกันก็ทำร้องไห้อาลัย เตียวสงซึ้งในน้ำใจ มอบสิ่งล้ำค่ายิ่งให้ นั่นคือแผนที่ แสดงเส้นทางเข้าเสฉวน ซึ่งอำนวยประโยชน์แก่เขาอย่างมากในการเข้ายึดเสฉวนในเวลาต่อจากนั้น
(reference จาก ฉ.วรรณกรรมเท่านั้น และขอจบช่วงแรกไว้เท่านี้ก่อนครับ พรุ่งนี้มาต่อใหม่)
โฆษณา