15 ก.ย. เวลา 02:42 • ประวัติศาสตร์

“นอร์เวย์ (Norway)” ประเทศที่ถูกมองข้ามหากแต่เต็มไปด้วยความรุ่งเรืองและน่าสนใจไม่น้อย

เมื่อพูดถึงประเทศที่มีฐานะร่ำรวย “นอร์เวย์ (Norway)” อาจจะไม่ใช่ประเทศแรกๆ ที่ผู้คนนึกถึง ไม่ค่อยน่าสนใจ ทั้งที่จริงๆ แล้วฐานะของนอร์เวย์ก็ดีมากเลยทีเดียว
ผู้คนมักจะคิดว่าในทีแรก นอร์เวย์เป็นเพียงดินแดนห่างไกลที่ยากจน แล้วก็ถูกลอตเตอรี่ใหญ่จากแหล่งน้ำมันทะเลเหนือ กลายเป็นเศรษฐีร่ำรวย เรียกได้ว่า “จากยาจกสู่เศรษฐี”
แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ความจริงเลย ความจริงแล้วนอร์เวย์ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ค่อนข้างมั่งคั่งมานานแล้ว ถึงแม้ว่าจะทัดเทียมกับความรุ่งเรืองของสหรัฐอเมริกาหรืออังกฤษยังไม่ได้ แต่ถ้าเทียบกับประเทศส่วนใหญ่ในโลก นอร์เวย์ก็จัดอยู่ในกลุ่มที่ร่ำรวยและพัฒนาแล้วมาช้านาน
ในทีแรก นอร์เวย์ไม่สามารถทัดเทียมกับสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และชาติมหาอำนาจที่ก้าวหน้ากว่าอย่างฝรั่งเศสได้ แต่อย่างไรก็ตาม นอร์เวย์ก็ได้ก้าวนำหน้าประเทศยุโรปตอนใต้และยุโรปตะวันออกส่วนใหญ่ไปแล้วตั้งแต่ราวปีค.ศ.1900 (พ.ศ.2443) และเมื่อถึงช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งที่สอง (WWII) นอร์เวย์ก็เกือบจะตามทันฝรั่งเศสแล้ว
สำหรับยุโรปตอนใต้ ภาพรวมค่อนข้างต่างออกไป ต้องไม่ลืมว่าโปรตุเกสและสเปนเคยมีอาณานิคมขนาดใหญ่ที่ป้อนทรัพยากรอย่างน้ำตาล เครื่องเทศ เงิน และทองคำให้ จึงคงจะน่าแปลกไม่น้อยหากสิ่งเหล่านี้ไม่ทำให้เกิดความได้เปรียบทางเศรษฐกิจบ้าง
ส่วนอิตาลี อิตาลีเคยเป็นศูนย์กลางแห่งยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาของยุโรปตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 15 โดยมีเมืองสำคัญด้านศิลปะ งานหัตถกรรม การผลิตผ้าไหมและการค้า เช่น ฟลอเรนซ์ มิลาน โบโลญญา และเวนิส เป็นต้น
ส่วนกรีซก็ไม่เพียงแต่เป็นศูนย์กลางทางวิทยาศาสตร์ วัฒนธรรม และการค้าในยุคโบราณเท่านั้น แต่ยังเป็นหัวใจของ “จักรวรรดิไบแซนไทน์ (Byzantine Empire)” ที่ดำรงอยู่มายาวนานกว่าพันปี
1
ความจริงที่ว่าในปีค.ศ.1900 (พ.ศ.2443) นอร์เวย์สามารถก้าวนำหน้าประเทศซึ่งมีอารยธรรมเก่าแก่ มีประวัติศาสตร์ยาวนานและรุ่งเรืองได้นั้น ถือเป็นเรื่องน่าพิศวงอยู่ไม่น้อย
ตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ของประวัติศาสตร์ ความมั่งคั่งและความรุ่งเรืองมักผูกติดกับความอุดมสมบูรณ์ของที่ดินและสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวยเกือบทั้งหมด
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมอารยธรรมแรกเริ่มจึงก่อกำเนิดขึ้นตามลุ่มแม่น้ำไนล์ในอียิปต์ แม่น้ำยูเฟรทีสและไทกริสในบาบิโลเนีย แม่น้ำแยงซีในจีน และแม่น้ำคงคาในอินเดีย เพราะเมื่อมีผืนดินอุดมสมบูรณ์และผลผลิตทางการเกษตรสูง อารยธรรมเหล่านี้จึงสามารถสร้างอาหาร เลี้ยงดูประชากรที่หนาแน่นและเมืองใหญ่ได้
เมืองทำให้เกิดการแบ่งงาน ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน การพัฒนาระบบราชการ งานฝีมือ วิทยาศาสตร์ และวรรณคดี
แต่นอร์เวย์กลับไม่มีข้อได้เปรียบเหล่านี้เลย ในทางกลับกัน หากศึกษาข้อมูลลงลึก จะเห็นว่านอร์เวย์มีแต่ปัจจัยที่เป็นข้อเสีย
1
-พื้นที่ส่วนใหญ่ของนอร์เวย์แทบจะเป็นกองหิน มีที่ดินเพียงประมาณ 2.7% เท่านั้นที่ใช้เพาะปลูกได้ เทียบกับสหรัฐอเมริกาที่มีราวครึ่งประเทศเป็นพื้นที่เกษตร และในเดนมาร์กยิ่งสูงถึงเกือบ 70%
-ดินชั้นบนตื้นมาก เวลาขับรถผ่านไร่นาหลังฤดูเพาะปลูกใหม่ๆ จะดูราวกับว่ากำลังปลูกก้อนหินมากกว่าปลูกผักเสียอีก
-ภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาและหุบลึก ทำให้พื้นที่เพาะปลูกกระจัดกระจาย ยากจะรวมเป็นไร่นาขนาดใหญ่ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉลี่ยนั้น ฟาร์มในสหรัฐอเมริกามีขนาดใหญ่กว่าฟาร์มของนอร์เวย์ถึง 9 เท่า
-พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศตั้งอยู่เหนือเส้นรุ้งที่ 60 องศาเหนือ ซึ่งเทียบได้กับอลาสกา หมายความว่าฤดูเพาะปลูกนั้นสั้นกว่ามาก
ด้วยปัจจัยเหล่านี้ ทำให้เมื่อ “โทมัส โรเบิร์ต มัลทัส (Thomas Robert Malthus)” นักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษ เดินทางไปนอร์เวย์ในปีค.ศ.1799 (พ.ศ.2342) เขาจึงไม่ได้คาดหวังว่าจะได้พบประเทศที่มั่งคั่งร่ำรวยอะไรนัก แต่สิ่งที่ทำให้มัลทัสประหลาดใจก็คือ ประเทศทางเหนือที่แห้งแล้งอย่างนอร์เวย์กลับไม่ได้ล้าหลังจากสหราชอาณาจักรมากอย่างที่คิด
มัลทัสคาดว่าจะได้พบกับความยากจนและความขัดสน แต่สิ่งที่เห็นก็คือ แม้นอร์เวย์จะขาดองค์ประกอบที่พบได้ในประเทศที่มีเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วและซับซ้อน แต่พลเมืองโดยเฉลี่ยของนอร์เวย์กลับดูแข็งแรงและกินอิ่มดีกว่าคนในสหราชอาณาจักรเสียอีก
สำหรับมัลทัส เรื่องนี้เป็นปริศนาใหญ่ เพราะนอร์เวย์แทบไม่มีรากฐานสำหรับการเกษตรที่อุดมสมบูรณ์เลยด้วยซ้ำ
เหตุใดนอร์เวย์จึงไม่ได้ล้าหลังเท่าที่ควรจะเป็น?
โทมัส โรเบิร์ต มัลทัส (Thomas Robert Malthus)
สิ่งที่มัลทัสมองข้ามไปก็คือ นอร์เวย์เป็นประเทศที่เศรษฐกิจเปิดกว้างมาก โดยประเทศเดียวในโลก ณ เวลานั้นที่มีเศรษฐกิจพึ่งพาการส่งออกและนำเข้ามากกว่านอร์เวย์ ก็คือเนเธอร์แลนด์
ที่น่าสนใจก็คือ ทั้งนอร์เวย์และเนเธอร์แลนด์ต่างก็ไม่สามารถพึ่งพาการผลิตอาหารภายในประเทศได้เพียงพอ แต่ด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
เนเธอร์แลนด์อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ทำให้ดินเปียกและไม่เหมาะกับการปลูกธัญพืช ส่วนนอร์เวย์ ปัญหาคือภูมิอากาศและดินชั้นบนที่บาง จึงทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไม่เหมาะสำหรับปลูกธัญพืชหรือแม้แต่มันฝรั่ง
สำหรับทั้งสองประเทศ คำตอบคือ “การนำเข้าอาหาร” โดยเฉพาะ การนำเข้าธัญพืชในปริมาณมาก แต่การจะนำเข้าได้มาก ก็ต้องมีการส่งออกมากด้วยเช่นกัน
เนเธอร์แลนด์แก้ปัญหาด้วย “การเลี้ยงสัตว์” ซึ่งแม้ที่ดินจะไม่เหมาะแก่การปลูกข้าวสาลี แต่กลับเหมาะกับการปลูกหญ้า ทำให้ชาวดัตช์เลี้ยงวัวและแกะได้ดี จึงมีความเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์นม โดยเฉพาะชีส จากนั้นก็นำชีสไปขาย แล้วนำเข้าธัญพืชจากแถบทะเลบอลติก
นอร์เวย์เองก็ใช้แนวทางที่คล้ายกับเนเธอร์แลนด์ โดยพึ่งพาการเลี้ยงสัตว์ เช่น แกะ แพะ และกวางเรนเดียร์ ที่สามารถหากินเองได้จากพืชพรรณในท้องถิ่น แต่นี่ก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้นอร์เวย์กลายเป็นผู้ส่งออกชีสรายใหญ่แบบเนเธอร์แลนด์ได้
แต่สิ่งที่ทำให้นอร์เวย์ก้าวหน้าแทนที่จะถอยหลังก็คือกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่สำคัญสามข้อ
1.การประมง
2.การทำไม้และการแปรรูปไม้
3.การทำเหมืองแร่
ข้อได้เปรียบของกิจกรรมเหล่านี้คือสามารถทำได้ในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงที่งานเกษตรกรรมทำอะไรแทบไม่ได้เลย และด้วยเหตุนี้ โชคชะตาของนอร์เวย์และเนเธอร์แลนด์จึงถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันอย่างน่าสนใจ
เนเธอร์แลนด์ก้าวขึ้นมาเป็นชาติมหาสมุทรและสร้างจักรวรรดิอาณานิคม มีความต้องการไม้ปริมาณมหาศาลเพื่อสร้างกองเรือที่จะเดินทางไปทั่วโลกเพื่อนำเข้าผ้าไหม เครื่องเทศ และเครื่องลายคราม แต่ปัญหาคือ เนเธอร์แลนด์นั้นแทบไม่มีป่าไม้เลย
วิธีแก้ปัญหาก็คือ “การนำเข้าไม้จากนอร์เวย์”
และไม่ใช่เพียงเนเธอร์แลนด์เท่านั้นที่ต้องการไม้ ยุโรปเกือบทั้งทวีปก็กำลังประสบปัญหาป่าถูกทำลาย สหราชอาณาจักรก็ต้องการไม้จำนวนมหาศาล ส่วนสเปนก็แทบจะตัดไม้ทำลายป่าหมดประเทศเพื่อสร้างกองเรือรบเพื่อบุกอังกฤษ
ต้องย้ำว่า “ไม้” ถือเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญที่สุดในเชิงเศรษฐกิจของนอร์เวย์ ส่วน “ประมง” ก็ตามมาเป็นอันดับสอง โดยปลาที่จับได้จะถูกนำไปตากแห้งหรือดองเกลือเพื่อส่งออกไปยังต่างประเทศ
สำหรับการทำเหมือง ถึงแม้จะมีความสำคัญ แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตเท่ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างสวีเดน ซึ่งมีทรัพยากรแร่จำนวนมาก โดยเฉพาะสินแร่เหล็กคุณภาพสูง
อย่างไรก็ตาม ทั้งสวีเดนและนอร์เวย์ก็ไม่ได้มีแร่มากกว่าหลายประเทศในยุโรป สิ่งที่ทำให้พวกเขาสามารถเป็นผู้ส่งออกโลหะได้ก็คือ “ความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้”
แล้วทำไมป่าไม้จึงสำคัญ?
เพราะในเวลานั้น ถ่านหินแร่จากเหมืองยังไม่สามารถนำมาใช้ในการถลุงโลหะได้ กว่าจะทำได้ก็ล่วงเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 แล้ว และเนื่องจากถ่านหินแร่มีสิ่งเจือปนมาก ทำให้ได้เหล็กคุณภาพต่ำหากนำมาใช้ถลุง ดังนั้น ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา การถลุงเหล็กต้องพึ่งพาถ่านที่ได้จากการเผาไม้ภายใต้สภาวะที่ออกซิเจนต่ำ
นั่นหมายความว่า หากจะเป็นประเทศผู้ส่งออกโลหะได้ จะไม่เพียงต้องมีสินแร่ที่อุดมสมบูรณ์เท่านั้น แต่ยังต้องมีไม้ปริมาณมหาศาลเพื่อทำถ่านไม้สำหรับถลุงด้วย ซึ่งนอร์เวย์และสวีเดนต่างก็มีป่าอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะสวีเดน
นี่เองคือเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้ในสมัยศตวรรษที่ 18 ครึ่งหนึ่งของปืนใหญ่ในยุโรปถูกผลิตในสวีเดน
แล้วทำไมนอร์เวย์จึงได้กำไรจากการส่งออกไม้มากกว่าประเทศอื่น?
เพราะนอร์เวย์ไม่ได้เป็นประเทศเดียวที่มีป่าไม้ อันที่จริง สวีเดน ฟินแลนด์ และรัสเซีย ยังมีพื้นที่ป่ามากกว่านอร์เวย์เสียอีก แต่ในแง่มูลค่าการส่งออก ประเทศเหล่านั้นกลับตามหลังนอร์เวย์มาอย่างยาวนาน
เหตุผลสำคัญอยู่ที่ “ระบบคมนาคมทางน้ำก่อนการมาถึงของทางรถไฟ”
ก่อนที่รถไฟจะครองความสำคัญ การขนส่งทางน้ำถือว่ามีประสิทธิภาพที่สุด ยกตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นชัดเจน ก็ได้แก่การส่งกระสอบน้ำตาลจากฮาวานา คิวบา มายังออสโล ประเทศนอร์เวย์ มีต้นทุนที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับการส่งกระสอบน้ำตาลเดียวกันนี้ด้วยเกวียนม้าจากออสโลไปยังเมืองไอด์สวอลล์ ซึ่งห่างออกไปเพียงราว 50 กิโลเมตร
ภูมิประเทศที่เต็มไปด้วยภูเขาและฟยอร์ดซึ่งเคยบั่นทอนศักยภาพทางการเกษตรของนอร์เวย์ กลับกลายเป็นข้อได้เปรียบมหาศาลในการขนส่งไม้ นั่นคือไม้ซุงสามารถถูกลำเลียงลงมาตามแม่น้ำสายต่างๆ ได้ และปลายน้ำยังสามารถตั้งโรงเลื่อยที่ใช้พลังงานจากกังหันน้ำเพื่อแปรรูปไม้ซุงเป็นแผ่นไม้สำหรับการส่งออก
นอกจากนั้น ฟยอร์ดที่เว้าแหว่งลึกเข้ามาในแผ่นดินก็ทำให้เรือเดินสมุทรสามารถเข้าถึงพื้นที่ภายในประเทศได้สะดวก ส่งผลให้ป่าจำนวนมากของนอร์เวย์สามารถเข้าถึงเส้นทางน้ำได้โดยตรง และสามารถขนไม้ไปเนเธอร์แลนด์หรือสหราชอาณาจักรได้ในราคาถูกและมีประสิทธิภาพ
ทางด้านรัสเซีย แม้จะมีป่ามากกว่านอร์เวย์มหาศาล แต่ก็ไม่สามารถแข่งขันได้เพราะไม่มีภูเขาที่ช่วยในการลำเลียงไม้ ไม่มีฟยอร์ดที่เอื้อให้เรือเข้าถึงพื้นที่ป่า และไม่มีน้ำตกสำหรับใช้เป็นพลังงานราคาถูกให้โรงเลื่อย
สวีเดน ในทางทฤษฎีดูเหมือนจะพอแข่งขันได้เพราะก็มีภูเขาและลำธารจำนวนมาก แต่ข้อได้เปรียบสำคัญของนอร์เวย์คือ
1.มีท่าเรือที่ไม่มีน้ำแข็งเกาะมากกว่า
2.การเดินเรือไปยังเนเธอร์แลนด์และสหราชอาณาจักรมีระยะทางสั้นกว่าและสะดวกกว่า
ดังนั้น การส่งออกไม้จากนอร์เวย์จึงขยายตัวใหญ่โต ในขณะที่สวีเดนหันไปเน้นการส่งออกเหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็กแทน
คำถามต่อมาที่หลายคนตั้งคำถามก็คือ
“เหตุใดนอร์เวย์จึงร่ำรวยจากการค้าไม้มากกว่าญี่ปุ่น?”
เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่า ความมั่งคั่งไม่ได้ขึ้นอยู่กับทรัพยากรธรรมชาติเพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีปัจจัยหลายด้านมาประกอบพร้อมกัน ซึ่งหากเทียบกับญี่ปุ่นนั้น จะเห็นปัจจัยหลายด้าน เช่น
-ภูมิศาสตร์คล้ายกันแต่ผลลัพธ์ต่างกัน
ญี่ปุ่นมีภูเขาและป่าไม้ปริมาณมาก แต่ไม้กลับไม่กลายเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญทางเศรษฐกิจเหมือนของนอร์เวย์ เหตุผลหลักคือ ญี่ปุ่นอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากกว่า ภูมิอากาศและสภาพดินดีต่อการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกข้าวที่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการทำนาขั้นบันได ทำให้ภูเขาไม่ใช่อุปสรรคใหญ่
ตรงนี้อธิบายได้ว่าทำไมญี่ปุ่นซึ่งมีขนาดใกล้เคียงกับนอร์เวย์ จึงสามารถรองรับประชากรได้กว่า 120 ล้านคน ขณะที่นอร์เวย์มีเพียงห้าล้านคนเท่านั้น
-ปัญหาการใช้แม่น้ำ
ในญี่ปุ่น แม่น้ำถูกใช้สำหรับระบบชลประทานที่ซับซ้อนสำหรับนาข้าว การจะใช้แม่น้ำเพื่อลอยไม้หรือนำพลังงานน้ำมาหมุนโรงเลื่อยจึงต้องแข่งขันกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ต่างจากนอร์เวย์ที่ไม่ต้องพึ่งระบบชลประทาน เพราะฝนตกมากพอที่จะหล่อเลี้ยงภาคการเกษตรได้
-ระยะทางและเทคโนโลยี
ญี่ปุ่นอยู่ไกลจากประเทศอุตสาหกรรมยุโรปที่ก้าวหน้ากว่า ทำให้ขาดการถ่ายทอดเทคโนโลยีการเลื่อยไม้ขั้นสูง ขณะที่นอร์เวย์ได้รับความช่วยเหลือจากชาวดัตช์ มีการพัฒนาโรงเลื่อยที่ใช้พลังงานลม และต่อมาประยุกต์เป็นโรงเลื่อยพลังน้ำ แต่ญี่ปุ่นกลับต้องพึ่งพาการตัดไม้ด้วยแรงงานคนเป็นหลัก
กล่าวโดยสรุปก็คือ แม้ญี่ปุ่นจะมีป่าและภูเขามาก แต่ภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทำนาข้าว ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ากว่าไม้ อีกทั้งข้อจำกัดด้านน้ำและเทคโนโลยีก็ทำให้ไม้ไม่เคยเป็นสินค้าส่งออกหลักของญี่ปุ่น
ปีค.ศ.1849 (พ.ศ.2392) ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของนอร์เวย์ เพราะเป็นปีที่สหราชอาณาจักรได้ทำการยกเลิกพระราชบัญญัติการเดินเรือ ซึ่งเคยบังคับให้การขนส่งสินค้าทั้งหมดไปยังสหราชอาณาจักรและอาณานิคมต้องทำผ่านเรือสัญชาติอังกฤษเท่านั้น
ก่อนหน้านั้น อุตสาหกรรมเดินเรือของนอร์เวย์จำกัดอยู่เพียงการขนส่งสินค้าเข้าออกนอร์เวย์ และเส้นทางระหว่างเดนมาร์ก–นอร์เวย์เป็นหลัก แต่ความจริงแล้วนอร์เวย์มีพื้นฐานที่แข็งแรงมาแต่โบราณ
ตั้งแต่ยุคไวกิ้ง ชาวนอร์สเดินเรือไปถึงดินแดนอาหรับ ไอซ์แลนด์ กรีนแลนด์ และแม้แต่ทวีปอเมริกา และทะเลก็เป็นส่วนสำคัญในชีวิตของชาวนอร์เวย์ ไม่เพียงเพื่อการประมง แต่ยังรวมถึงการคมนาคม เนื่องจากภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงชัน ทำให้การเดินทางทางบกยากลำบาก หลายครั้งที่การเดินทางในนอร์เวย์มีทางเลือกทางเดียว นั่นคือ “ทางทะเล”
แม้แต่ในปัจจุบัน การเดินทางโดยเรือเฟอร์รี่ในนอร์เวย์บนชายฝั่งตะวันตก ก็ยังแพร่หลายอยู่
เมื่อกฎหมายการเดินเรือของอังกฤษถูกยกเลิกในปีค.ศ.1849 (พ.ศ.2392) นอร์เวย์จึงได้โอกาสพิสูจน์ฝีมือทันที และใช้เวลาเพียงไม่ถึง 30 ปี ก็สามารถก้าวขึ้นมาจากชาติเดินเรืออันดับที่ 8 ของโลก ขึ้นมาเป็นอันดับที่ 3 ในด้านกำลังการขนส่งสินค้า เป็นรองเพียงสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกาเท่านั้น
สิ่งที่น่าทึ่งคือ หากวัดปริมาณระวางบรรทุกต่อหัวประชากร นอร์เวย์นั้นทิ้งห่างทุกชาติ โดยมีระวางบรรทุกต่อหัวมากกว่าอังกฤษถึงสี่เท่า และมากกว่าสวีเดนหรือเดนมาร์กถึงเจ็ดเท่า
ดังนั้น การเดินเรือจึงกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของนอร์เวย์ ควบคู่ไปกับการส่งออกไม้และปลา
แล้วทำไมนอร์เวย์ถึงสามารถชนะประเทศอื่นๆ ได้?
สำหรับอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ส่วนหนึ่งเพราะค่าแรงกะลาสีนอร์เวย์นั้นต่ำกว่า ถูกกว่า แต่เหตุนี้ก็ไม่สามารถอธิบายได้แน่ชัดว่าทำไมนอร์เวย์ถึงชนะสวีเดน ซึ่งมีระดับค่าแรงใกล้เคียงกัน
คำตอบสำคัญก็คือ
“ความชำนาญทางทะเล”
กะลาสีนอร์เวย์มีทักษะสูงกว่า และได้รับการฝึกฝนจากภูมิประเทศที่บังคับให้พึ่งพาการเดินเรือมาตลอด ซึ่งความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์เหล่านี้ ได้กลายเป็นข้อได้เปรียบเชิงคุณภาพ ทำให้นอร์เวย์ก้าวขึ้นมาเป็นชาติเดินเรือระดับแนวหน้าได้อย่างรวดเร็ว
แต่ความชำนาญในการเดินเรือไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้นอร์เวย์ก้าวขึ้นมาเป็นชาติเดินเรือระดับแถวหน้า นอร์เวย์ยังมีอาวุธลับที่ทรงพลังและมักจะให้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจแก่ประเทศมาโดยตลอด นั่นคือ “ความไว้วางใจ” ซึ่งระดับความไว้วางใจในสังคมที่นอร์เวย์นั้นถือว่าสูงมาก
นอร์เวย์เป็นประเทศที่ผู้คนเคยชินกับการไม่ล็อกประตูบ้าน แม้แต่ทุกวันนี้ เรายังเห็นการปล่อยให้เด็กเล็กนอนในรถเข็นอยู่นอกบ้านหรือหน้าร้านค้าโดยไม่มีใครกังวล โดยย้อนหลังไปไม่กี่ 10 ปีก่อน พ่อแม่ชาวนอร์เวย์ยังทิ้งทารกไว้หน้าร้านขณะเข้าไปซื้อของได้อย่างสบายใจ
การเดินเรือนั้นเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง เรือสามารถอับปางและสร้างความสูญเสียมูลค่ามหาศาลได้ ดังนั้นจึงต้องมีระบบประกันภัย แต่ปัญหาก็คือ การประกันภัยนั้นทำงานได้ยากหากไม่มีความไว้วางใจ เพราะคนสามารถโกงกันได้ง่าย แต่ในสังคมนอร์เวย์ที่มีความไว้วางใจสูง ระบบประกันจึงทำงานได้ดี มีการโกงน้อยมาก ทำให้เบี้ยประกันเรือในนอร์เวย์มีราคาถูกกว่าประเทศคู่แข่ง
ที่สำคัญก็คือ ระบบประกันเหล่านี้ไม่ได้ตั้งอยู่บนบริษัทยักษ์ใหญ่เพื่อหากำไรสูงสุด แต่เป็นลักษณะสหกรณ์ที่สมาชิกช่วยเหลือดูแลกันเอง
สำหรับชาวนอร์เวย์ การเป็นคนที่ไว้ใจได้ ถือเป็นตราสินค้าทางเศรษฐกิจที่มีคุณค่า มีเรื่องเล่าว่า กะลาสีนอร์เวย์คนหนึ่งเคยโม้กับเพื่อนร่วมเรือว่าเขาโกงหญิงบริการในไทยโดยไม่ยอมจ่ายเงิน ซึ่งเรื่องนี้สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงต่อเพื่อนๆ จนบังคับให้เขากลับไปหาหญิงคนนั้นในปีถัดมาเมื่อเรือมาถึงกรุงเทพอีกครั้ง และบังคับให้กะลาสีผู้นั้นคืนเงินและขอโทษ (ย้ำว่านี่เป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น อาจจะไม่จริงก็ได้) ซึ่งนี่สะท้อนถึงแรงกดดันทางสังคมที่เข้มแข็งในการรักษาชื่อเสียงของนอร์เวย์ในฐานะชาติที่ซื่อสัตย์
สำหรับบทบาทของสหกรณ์ในสแกนดิเนเวีย ก็เช่นเดียวกับประเทศในแถบสแกนดิเนเวียอื่นๆ ซึ่งสหกรณ์มีบทบาททางเศรษฐกิจมากกว่าประเทศแองโกล-แซกซอน ที่มักถูกครอบงำโดยชนชั้นนายทุนผู้มั่งคั่ง
สรุปก็คือ การมีสังคมที่ไว้วางใจกันสูง ทำให้ระบบประกันภัยเรือในนอร์เวย์มีราคาถูกและมีประสิทธิภาพ ประกอบกับทักษะการเดินเรือที่ยอดเยี่ยม ส่งผลให้นอร์เวย์สามารถแข่งขันและก้าวขึ้นมาแซงหลายชาติในภาคทะเลได้อย่างรวดเร็ว
ประเด็นต่อไป “Synergy Effects“
นักเศรษฐศาสตร์ชาวนอร์เวย์นามว่า “เอริค เอส. เรเนอร์ต (Erik S. Reinert)” ได้เสนอแนวคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสำคัญของ “Synergy” หรือผลกระทบเสริมพลังในการพัฒนาอุตสาหกรรม
เอริค เอส. เรเนอร์ต (Erik S. Reinert)
ประเด็นหลักของเรเนอร์ตก็คือ อุตสาหกรรมไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว หากแต่เกิดขึ้นเพราะมีอุตสาหกรรมอื่นๆ มารองรับและส่งเสริมซึ่งกันและกัน
หนึ่งในตัวอย่างคือเมือง “เดลฟท์ (Delft)” ในประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อศตวรรษที่ 17
เดลฟท์เป็นเมืองที่ผลิตสินค้าต่างๆ เพื่อสนับสนุนกองเรือเดินสมุทร เช่น ผ้าใบสำหรับทำใบเรือ น้ำมันลินสีดที่ใช้ทาไม้เพื่อกันน้ำ และกล้องสองตา อีกทั้งยังต้องมีช่างทำเครื่องทองเหลือง สำหรับผลิตอุปกรณ์เดินเรือ
อุตสาหกรรมเหล่านี้ไม่ได้หยุดอยู่เพียงการสนับสนุนการเดินเรือ แต่ยังสร้างรากฐานให้กับศิลปะและวิทยาศาสตร์ด้วย ตัวอย่างเช่น การผลิตเลนส์ ที่เริ่มขึ้นเพื่อตอบโจทย์การเดินเรือ กลับนำไปสู่การพัฒนากล้องทาบเงา ซึ่งศิลปินนำมาใช้สร้างงานศิลปะ
นี่คือสิ่งที่เรเนอร์ตเรียกว่า “Synergy” คือการที่อุตสาหกรรมหนึ่งก่อให้เกิดและหล่อเลี้ยงอีกอุตสาหกรรมหนึ่ง ทำให้เศรษฐกิจทั้งระบบพัฒนาไปพร้อมกัน
เมืองเดลฟท์ (Delft)
กล้องทาบเงา อาจมองได้ว่าเป็นกล้องถ่ายรูปยุคดึกดำบรรพ์ โดยในกล้องถ่ายรูปจริง แสงจะส่องผ่านเลนส์ไปตกบนแผ่นฟิล์ม ส่วนกล้องทาบเงาจะใช้เลนส์ฉายภาพไปบนผืนผ้าใบ แล้วศิลปินจึงค่อยๆ ลอกเส้นและลงสีเอง แม้จะไม่ใช่การถ่ายภาพจริง แต่ก็ช่วยให้สร้างงานศิลปะที่สมจริงยิ่งขึ้น
แต่ไม่ให้หลุดประเด็น สิ่งสำคัญคือ “Synergy” หรือการเสริมพลังกันของอุตสาหกรรม สามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ และสำหรับนอร์เวย์ “การเดินเรือ” ก็เป็นตัวจุดประกายให้เกิด Synergies แบบลูกโซ่หลายชั้น
การเดินเรือ → อู่ต่อเรือ → อุตสาหกรรมเครื่องจักร
เมื่ออุตสาหกรรมเดินเรือเฟื่องฟู ก็มีความต้องการเรือจำนวนมาก ทำให้เกิดอู่ต่อเรือขึ้นตลอดแนวชายฝั่งของนอร์เวย์ จากนั้น อู่ต่อเรือเหล่านี้ก็ส่งผลให้เกิดการก่อตั้งอุตสาหกรรมเครื่องจักรกลต่างๆ
การเติบโตของอุตสาหกรรมเครื่องจักร เช่น โรงเลื่อยไม้ต้องการอุปกรณ์ตัดไม้ เรือต้องการปั๊มน้ำและอุปกรณ์ต่างๆ บริษัทเครื่องจักรเหล่านี้จึงค่อยๆ ขยายการผลิตไปสู่เตารีดเสื้อผ้า เครื่องกลั่นสุรา กังหันน้ำ และเครื่องจักรไอน้ำ เป็นต้น
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 โรงเลื่อยในนอร์เวย์เริ่มใช้เครื่องจักรไอน้ำมากขึ้น และเรือเดินสมุทรเองก็ค่อยๆ หันมาใช้เรือกลไฟ
บริษัทเครื่องจักรเหล่านี้ ภายหลังได้กลายเป็นกำลังสำคัญ เมื่อการสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำต้องการกังหันและอุปกรณ์เฉพาะทาง อุตสาหกรรมประมงก็ต้องการอุปกรณ์ใหม่ๆ และเมื่อเข้าสู่ยุคน้ำมัน นอร์เวย์ก็อาศัยฐานอุตสาหกรรมนี้เพื่อสร้างแท่นขุดเจาะน้ำมันและอุปกรณ์สำหรับเรือเฉพาะทาง
แม้แต่ภาคการเกษตรก็ได้ประโยชน์ โดยในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ประสิทธิภาพการเกษตรของนอร์เวย์ก็ดีขึ้น ไม่เพียงเพราะวิธีเพาะปลูกดีขึ้นเท่านั้น แต่เพราะมีเครื่องมือใหม่ๆ เช่น คันไถและเครื่องนวดข้าว เป็นต้น
หากมองย้อนทั้งหมด จะเห็นได้ว่าความสำเร็จเดิมได้กลายเป็นรากฐานให้เกิดความสำเร็จใหม่ และอุตสาหกรรมใหม่มักอาศัยการเสริมแรงจากอุตสาหกรรมก่อนหน้า
ต่อมา เราลองมาดูเรื่อง “โครงสร้างเศรษฐกิจของนอร์เวย์”
สิ่งที่ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจของนอร์เวย์แตกต่างจากที่อื่นๆ เกิดจากภูมิศาสตร์และการกระจายตัวของประชากรเป็นสำคัญ โดยการกระจายตัวของผู้คนและทรัพยากร ทำให้ที่ดินที่ใช้ทำการเกษตรในนอร์เวย์กระจัดกระจายอยู่ตามหุบเขาและชายฝั่ง และเศรษฐกิจยังผูกอยู่กับการประมง ป่าไม้ และการเกษตรขนาดเล็ก ทำให้ผู้คนกระจายอยู่ตามเมืองเล็กๆ ทั่วประเทศ ไม่ได้รวมตัวกันในมหานครใหญ่แบบยุโรปภาคพื้นทวีป
ผลลัพธ์คือ ชนชั้นนายทุนใหญ่แบบครอบครัวเศรษฐีที่ครองเมืองแทบไม่เกิดขึ้นในนอร์เวย์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นแทนคือการพึ่งพา การร่วมมือของคนจำนวนมาก
การเดินเรือกลายเป็นกิจการที่ทั้งประเทศมีส่วนร่วมเพราะกำไรงามมาก โดยเมืองชายฝั่งเล็กๆ มักร่วมกันลงทุนสร้างเรือที่อู่ต่อเรือท้องถิ่น
ชาวนาอาจนำไม้มาใช้สร้างเรือแลกกับการถือหุ้นบางส่วน ช่างไม้หรือเจ้าของโรงเลื่อยตัดไม้ก็ได้หุ้นตอบแทน กะลาสีและกัปตันก็ลงชื่อเป็นลูกเรือพร้อมได้หุ้นส่วน ผลก็คือ ในบันทึกภาษีของบางเมือง แทบทุกคนในเมืองได้เป็นเจ้าของเรือร่วมกัน
นี่ไม่เพียงเป็นการลงทุน แต่ยังเป็นอาชีพแพร่หลาย เกือบทุกครอบครัวมีสมาชิกที่ออกเรือไปทำงานในทะเลจนเรื่องเล่าของบรรพบุรุษที่ล่องเรือเจ็ดคาบสมุทรกลายเป็นความทรงจำร่วมของสังคม
ทางด้านระบบการเงินแบบสหกรณ์นั้น เนื่องด้วยเพราะนอร์เวย์ไม่มีนายทุนใหญ่เหมือนประเทศอื่นๆ ภาคการเงินจึงไม่พัฒนาไปสู่ธนาคารพาณิชย์ที่มีเจ้าของร่ำรวย แต่กลับถูกครองโดยธนาคารแบบสหกรณ์เครดิตซึ่งสะท้อนรูปแบบการพึ่งพากันของชุมชน
เรื่องที่น่าสนใจต่อมาก็คือวัฒนธรรม ”Dugnad“
แม้กระทั่งปัจจุบัน นอร์เวย์ยังมีคำเฉพาะว่า “Dugnad” ซึ่งหมายถึงการที่ผู้คนมารวมตัวกันเพื่อทำประโยชน์ร่วมกัน ลงแรงร่วมกันโดยไม่หวังค่าตอบแทนส่วนตัวแต่ทำเพื่อส่วนรวม
หลายโครงการสหกรณ์ในอดีต เช่น ระบบประกันภัยเรือ ต่างอาศัยแรงงานอาสาสมัครเช่นนี้ Dugnad จึงเป็นรากฐานทางวัฒนธรรมที่ฝังแน่นในเศรษฐกิจแบบร่วมมือของนอร์เวย์
สรุปได้ว่า ภูมิศาสตร์ที่ทำให้ผู้คนกระจายตัวไม่ก่อให้เกิดชนชั้นนายทุนใหญ่ แต่ผลักดันให้เกิดสังคมแห่งความร่วมมือ ทั้งในด้านอุตสาหกรรมการต่อเรือ การเงิน และการจัดการทรัพยากร นี่คือรากฐานที่ทำให้นอร์เวย์แตกต่างจากประเทศอื่นๆ
โรงไฟฟ้าพลังน้ำในนอร์เวย์หลายแห่งก็ถูกสร้างขึ้นด้วย Dugnad นั่นคือการที่คนในชุมชนต่างมาช่วยกันลงแรงสร้างโรงไฟฟ้า ร่วมกับการลงทุนจากเทศบาลและรัฐบาล แนวคิดก็คือ เมื่อทุกคนร่วมแรงร่วมใจสร้าง ทุกคนและเมืองนั้นก็จะได้ประโยชน์จากการมีไฟฟ้าใช้
เครือข่ายโทรศัพท์ในหลายประเทศแถบสแกนดิเนเวียก็ถูกสร้างขึ้นในลักษณะเดียวกัน นี่เองเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เครือข่ายโทรศัพท์แพร่หลายได้เร็วกว่าในหลายประเทศอื่นๆ ในยุโรป เพราะในประเทศเหล่านั้น เครือข่ายโทรศัพท์ส่วนใหญ่ถูกสร้างโดยบริษัทเอกชนที่มุ่งแสวงหากำไรเป็นหลัก ทำให้การขยายเครือข่ายไปยังพื้นที่ชนบทซึ่งไม่คุ้มค่าเชิงธุรกิจเกิดขึ้นได้ช้า
แต่ด้วยรูปแบบสหกรณ์และ Dugnad เครือข่ายโทรศัพท์ในแถบสแกนดิเนเวียจึงถูกสร้างขึ้นบนพื้นฐานของความต้องการของชุมชนมากกว่ามุมมองเรื่องกำไรของนายทุน
ต่อมาคือเรื่องของรัฐบาลและประชาธิปไตยแบบนอร์เวย์
ในหลายประเทศในยุโรป ภาคเกษตรกรรมที่มั่งคั่งกว่านอร์เวย์ได้เอื้อให้เกิดการสะสมทุนและก่อร่างสร้างชนชั้นนายทุนผู้มั่งคั่ง ซึ่งต่อมากลายเป็นผู้นำในการสร้างอุตสาหกรรมสมัยใหม่และกิจการขนาดใหญ่ในประเทศ
ชนชั้นนายทุนเหล่านี้สามารถลงทุนสร้างทางรถไฟและสายโทรเลข รวมถึงตั้งโรงเรียนและสถานพยาบาล
อังกฤษ เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา ที่ชนชั้นนายทุนมักเป็นผู้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และนั่นทำให้อุดมการณ์การปกครองของอังกฤษค่อนข้างที่จะหละหลวม รัฐไม่ค่อยมีนโยบายอุตสาหกรรมเชิงรุกมากนัก
แต่นอร์เวย์ไม่อาจเดินเส้นทางนี้ได้ ด้วยเหตุผลหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น
-ที่ดินในนอร์เวย์กระจัดกระจาย คุณภาพต่ำ ไม่สามารถสร้างคฤหาสน์หรือที่ดินขุนนางขนาดใหญ่เพื่อก่อกำเนิดชนชั้นนายทุนได้
-การขาดศูนย์กลางประชากรที่หนาแน่นและดินที่ไม่เหมาะแก่การเกษตร ส่งผลให้อำนาจรัฐส่วนกลางอ่อนแอ
-เกษตรกรนอร์เวย์มีอิสระสูง ไม่ค่อยถูกกดขี่จากเจ้าที่ดิน เพราะการทำฟาร์มขนาดใหญ่แทบไม่คุ้มค่า ที่ดินขนาดใหญ่หลายแห่งจึงเริ่มถูกขายกระจายออกไปตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 18
ผลก็คือ เมื่อถึงปีค.ศ.1814 (พ.ศ.2357) นอร์เวย์มีรัฐธรรมนูญ รัฐสภา และการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย เจ้าของที่ดินส่วนใหญ่นั้นเป็นเกษตรกรอิสระ ถึงแม้แต่ละคนมีฟาร์มเล็กๆ และคุณภาพไม่ดีนัก แต่ก็เป็นเจ้าของที่ดินของตนเอง
นี่ทำให้นอร์เวย์แตกต่างจากอังกฤษและสหรัฐอเมริกาอย่างชัดเจน โดยในสหรัฐอเมริกา เมื่อมีการร่างรัฐธรรมนูญ มีเพียง 3% ของประชากรเท่านั้นที่มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งตัวเลขที่อังกฤษก็ใกล้เคียงกัน
แต่นอร์เวย์ในปีค.ศ.1814 (พ.ศ.2357) กลับมีผู้มีสิทธิเลือกตั้งถึง 40% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งก็คือผู้ชายเกือบทั้งประเทศ
นี่คือประชาธิปไตยที่เสมอภาคและก้าวหน้าอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับมหาอำนาจร่วมสมัย
ต่อที่ด้านการศึกษา ซึ่งเน้นความเสมอภาคมากกว่าความเป็นเลิศ
นอร์เวย์นั้นไม่มีการศึกษาขั้นสูงในระดับมหาวิทยาลัย ไม่มีมหาวิทยาลัยเก่าแก่ระดับโลกเช่นประเทศอื่นๆ แต่ประเทศสแกนดิเนเวียรวมถึงนอร์เวย์ ได้บังคับใช้การศึกษาภาคบังคับสำหรับประชาชนทุกคนก่อนชาติยุโรปอื่นๆ กว่า 150 ปี รวมถึงก่อนอังกฤษเสียด้วยซ้ำ
ผลลัพธ์คือ นอร์เวย์ไม่ได้โดดเด่นที่สถาบันชั้นนำ แต่มีมาตรฐานการศึกษาของประชาชนทั่วไปที่สูงกว่า
ตรงนี้ต่างจากสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งทั้งสองประเทศต่างมีมหาวิทยาลัยชั้นนำระดับโลก ผลิตยอดคนออกมามากมาย
แต่ขณะเดียวกัน ก็มีชนชั้นล่างที่การศึกษาต่ำและยังมีอัตราการไม่รู้หนังสืออยู่บ้าง ตัวอย่างเช่น สหรัฐอเมริกามีอัตราภาวะอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้เชิงหน้าที่ถึง 21% ซึ่งนี่ไม่เคยพบในนอร์เวย์
ในยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) เมื่อแรงงานในธุรกิจน้ำมันชาวอเมริกันเดินทางมาช่วยสร้างอุตสาหกรรมน้ำมันที่นอร์เวย์ แรงงานนอร์เวย์ระดับล่างก็ยังตกใจที่เพื่อนร่วมงานชาวอเมริกันจำนวนหนึ่ง อ่านเขียนได้ไม่ดีนักทั้งๆ ที่ในเวลานั้น สหรัฐอเมริกานั้นร่ำรวยและพัฒนากว่านอร์เวย์มาก แถมยังมีพลเมืองจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยมากกว่าพลเมืองนอร์เวย์ด้วย
หลายคน โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา มักใช้เกณฑ์ของระดับภาษีเป็นตัวชี้วัดว่าประเทศหนึ่ง “ซ้ายจัด” แค่ไหน ดังนั้นจึงน่าสนใจที่เห็นว่า ในสมัยศตวรรษที่ 19 และก่อนหน้านั้น นอร์เวย์เป็นหนึ่งในประเทศที่เก็บภาษีต่ำที่สุดในยุโรป
อย่างไรก็ตาม นอร์เวย์และประเทศสแกนดิเนเวียส่วนใหญ่ไม่สามารถนำไปเปรียบเทียบตรงๆ กับแนวคิดทุนนิยมและเสรีนิยมแบบแองโกล-แซกซอนได้
รัฐกับภาคเอกชนในนอร์เวย์ก็ทำงานเกื้อกูลกันมากกว่าที่พบในประเทศแองโกล-แซกซอน เช่น อังกฤษและสหรัฐอเมริกา ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ซึ่งรัฐมีบทบาทสำคัญในการทำให้ประเทศทันสมัยและพัฒนา
นักเสรีนิยมสมัยใหม่มักโต้แย้งเรื่อง “ภาษีเงินได้” โดยอ้างว่าประเทศในศตวรรษที่ 19 ไม่มีภาษีลักษณะนี้
จริงอยู่ ในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของศตวรรษที่ 19 นอร์เวย์ก็ยังไม่มี ภาษีเงินได้เช่นกัน แต่การนำภาษีเงินได้เข้ามาใช้ในหลายประเทศ รวมถึงนอร์เวย์ กลับมาจากแนวคิดที่ใกล้เคียงกับเสรีนิยมเสียด้วยซ้ำ
ก่อนมีการเก็บภาษีโดยตรงจากประชาชน รายได้ของรัฐมาจาก ภาษีศุลกากร การนำเข้า–ส่งออก เช่นเดียวกับที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งเล่าถึงคนเก็บภาษีตามประตูเมืองที่เก็บเงินจากพ่อค้าเพื่อแลกกับการนำสินค้าผ่านเข้าเมือง
รัฐบาลนอร์เวย์ก็เช่นกัน ในยุค 1840 (พ.ศ.2383-2392) รายได้ของรัฐกว่า 10% มาจากภาษีนำเข้าธัญพืช และเพื่อส่งเสริมการค้าเสรี กลุ่มที่มีแนวคิดใกล้เคียงกับนักเสรีนิยมกลับเป็นฝ่ายเสนอให้เก็บภาษีเงินได้แทน เพื่อที่จะได้เลิกเก็บภาษีการนำเข้า–ส่งออก ตัวอย่างเช่น ราวปีค.ศ.1870 (พ.ศ.2413) “โรเบิร์ต พีล (Robert Peel)” นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็นำภาษีเงินได้ 3% มาใช้เพื่อทดแทนรายได้รัฐที่หายไปจากการลดภาษีนำเข้า–ส่งออก
อย่างไรก็ตาม ภาษีลักษณะนี้กลับไม่เป็นที่นิยมอย่างยิ่งในนอร์เวย์ เพราะผู้มีสิทธิเลือกตั้งส่วนใหญ่คือเกษตรกร ภาษีนำเข้าธัญพืชย่อมเป็นประโยชน์กับพวกเขา ในขณะที่ภาษีเงินได้จะกลายเป็นภาระโดยตรง
นอร์เวย์ยังแตกต่างจากประเทศแองโกล-แซกซอนอย่างอังกฤษและสหรัฐอเมริกา ซึ่งยึดแนวคิดว่ารัฐจะไม่แทรกแซงเศรษฐกิจ แต่รัฐนอร์เวย์กลับมีบทบาทสำคัญในการเป็นผู้นำการพัฒนาของประเทศ
โรเบิร์ต พีล (Robert Peel)
ความต่างจากแองโกล-แซกซันก็เช่น ในอังกฤษ ทางรถไฟและสายโทรเลขจะถูกสร้างโดยบริษัทเอกชน การศึกษาและระบบสาธารณสุขก็มักเกิดจากการกุศลของเหล่าเศรษฐี โดยรัฐเป็นเพียง “ผู้โดยสารเบาะหลัง” ของการพัฒนา เป็นเหมือนผู้คอยเฝ้าดู สนับสนัน
แต่ที่นอร์เวย์ รัฐคือผู้ขับเคลื่อนหลัก โดยระหว่างปีค.ศ.1845–1860 (พ.ศ.2388-2403) งบประมาณด้านโครงสร้างพื้นฐานของนอร์เวย์นั้นเพิ่มขึ้นถึง 20 เท่า
และแม้รัฐจะเป็นผู้นำ แต่ไม่ได้ทำผ่านรัฐวิสาหกิจแบบสมัยใหม่ หากแต่ใช้แนวคิด Dugnad คือการร่วมแรงร่วมใจกันระหว่างรัฐ องค์กรท้องถิ่น และเอกชน โดยรัฐจัดการและจัดนำจัดหากองวิศวกรมาพัฒนาส่วนต่างๆ ส่วนชุมชนท้องถิ่นและเอกชนก็ร่วมลงทุนและลงแรง
โครงการหลักของรัฐนอร์เวย์ที่เด่นๆ ก็เช่น
1.เรือกลไฟในปีค.ศ.1826 (พ.ศ.2369) โดยภาครัฐเริ่มจัดซื้อเรือกลไฟเพื่อตั้งเส้นทางเดินเรือประจำแนวชายฝั่ง ซึ่งช่วยเร่งในการเคลื่อนย้ายคนและจดหมาย อีกทั้งยังมีบทบาทต่อการเชื่อมโยงประเทศพอๆ กับการสร้างรถไฟความเร็วสูงในจีนในปัจจุบัน
2.รถไฟในปีค.ศ.1857 (พ.ศ.2400) โดยทางรถไฟสายแรกได้ถูกสร้างระหว่างออสโล–ไอด์สวอลล์ ถึงแม้ไอด์สวอลล์จะไม่ใช่เมืองใหญ่ก็ตาม แต่เหตุผลที่สร้างในเส้นทางนี้ ก็เนื่องจากเส้นทางนี้ช่วยลำเลียงไม้จากป่าในแผ่นดินไปยังชายฝั่งที่มีโรงเลื่อยไอน้ำ โดยในปีค.ศ.1875 (พ.ศ.2418) รัฐบาลนอร์เวย์ใช้งบประมาณกว่า 60% ไปกับการรถไฟ
สำหรับโมเดลการเงินนั้น รัฐบาลจะให้บริษัทเอกชนเข้ามาบริหารจัดการในแต่ละเส้นทาง แต่รัฐบาลจะถือหุ้น 80%
3.โทรเลขในปีค.ศ.1854 (พ.ศ.2397)
โทรเลขช่วยให้การติดต่อสื่อสารสะดวกรวดเร็ว การค้าและการสั่งสินค้าก็รวดเร็วขึ้น
เรียกได้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจของรัฐได้กลายเป็นรากฐานให้อุตสาหกรรมของภาคเอกชนเติบโต โดยในศตวรรษที่ 20 รัฐได้สร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำราคาถูก และเปิดทางให้อุตสาหกรรมเอกชนใช้ไฟฟ้าและเติบโต และต่อมาในยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) รัฐบาลนอร์เวย์ได้ก่อตั้ง ”Statoil“ บริษัทน้ำมันแห่งชาติซึ่งกลายเป็นเสาหลักที่เปิดพื้นที่ให้บริษัทเอกชนขนาดเล็กสามารถเข้ามาตีตลาดได้มากขึ้น
ส่วนในภาคการเกษตร รัฐยังมีการลงทุนในโรงเรียนเกษตร และอบรมนักวิชาการเกษตร โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มผลผลิตและทำให้ภาคเกษตรทันสมัยขึ้น ซึ่งภาคการเกษตร ก็ยังคงเป็นหัวใจของเศรษฐกิจในสมัยศตวรรษที่ 19
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้ว ลักษณะเฉพาะของนอร์เวย์นั้น คือมีความหนาแน่นของประชากรต่ำ พูดง่ายๆ คือคนไม่เยอะมาก ทำให้การสะสมทุนขนาดใหญ่เป็นเรื่องยาก
แต่การทำให้ประเทศทันสมัยและพัฒนาก็จำเป็นต้องใช้ทุนจำนวนมาก และเนื่องจากไม่มีชนชั้นนายทุนใหญ่ที่สามารถจัดหาทุนมหาศาลเหล่านี้ได้ง่ายๆ รัฐจึงตัดสินใจจัดตั้ง “Hypotekbank”ในปีค.ศ.1851 (พ.ศ.2394) เพื่อให้เงินกู้ราคาถูกแก่เกษตรกรและเจ้าของที่ดินอื่นๆ
นอกเหนือจาก “ธนาคารนอร์เวย์ (Norwegian Bank)” ซึ่งทำหน้าที่เป็นธนาคารกลางและมีการถือหุ้นบางส่วนโดยรัฐแล้ว ก็ยังมี Hypotekbank ที่มีส่วนแบ่ง 15% ของสินเชื่อทั้งหมดในนอร์เวย์ในปีค.ศ.1870 (พ.ศ.2413) และธนาคารที่มีการถือหุ้นจากรัฐบาลเต็มหรือบางส่วน รวมกันแล้วมีสินเชื่ออยู่ประมาณ 40% ของสินเชื่อทั้งหมดในประเทศ
นอกจากนั้น สหกรณ์ออมทรัพย์ก็มีบทบาทสำคัญในระบบการเงินของนอร์เวย์ และรูปแบบธนาคารของนอร์เวย์ในขณะนั้นก็ต่างจากประเทศสแกนดิเนเวียส่วนใหญ่และประเทศยุโรปใหญ่ๆ ที่ธนาคารพาณิชย์เอกชนใหญ่เป็นผู้ครองตลาดการเงิน
ในช่วงก่อนปีค.ศ.1875 (พ.ศ.2418) นอร์เวย์ได้เจริญก้าวหน้าอย่างมากในหลายๆ ด้าน แต่ด้วยมาตรวัดต่างๆ ก็พบว่าในปีค.ศ.1905 (พ.ศ.2448) นอร์เวย์กลับมีความเจริญน้อยกว่าปีค.ศ.1875 (พ.ศ.2418) ซะอีก เรียกได้ว่าผ่านมา 30 ปีแต่กลับเจริญน้อยกว่าเมื่อ 30 ปีก่อนซะอีก
เหตุใดจึงเป็นอย่างนั้น?
สาเหตุที่เป็นอย่างนั้น ก็อาจจะเพราะเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ทางรถไฟและเรือกลไฟ ซึ่งเคยช่วยให้นอร์เวย์เติบโต กลับกลายเป็นปัจจัยที่ทำลายเศรษฐกิจนอร์เวย์ ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่านี่คือปัญหาที่เกิกจากการ “แทรกแซงของเทคโนโลยี“
ทางรถไฟนั้น แม้จะช่วยให้การขนส่งเร็วขึ้นและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ในระยะยาว การพัฒนาระบบขนส่งทางบกกลับกลายเป็นภาระที่หนักหน่วง เหตุก็เพราะต้นทุนการสร้างและบำรุงรักษาที่สูงลิ่ว
ส่วนเรือกลไฟ แม้จะช่วยขนส่งสินค้าและการเคลื่อนย้ายได้รวดเร็ว แต่ก็ทำให้การขนส่งทางทะเลกลับกลายเป็นการแข่งขันที่รุนแรง ทำให้ราคาสินค้าและกำไรในภาคการประมงและการค้าลดลง
การเติบโตที่รวดเร็วจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานได้ทำให้เกิด ฟองสบู่ในช่วงระหว่างปีค.ศ.1880-1905 (พ.ศ.2423-2448) โดยการขยายตัวของอุตสาหกรรมและการลงทุนที่มากเกินไปทำให้เกิดความไม่สมดุลในระบบเศรษฐกิจ
การเปิดเส้นทางรถไฟได้ทำให้ตลาดขนาดใหญ่ในรัสเซียและยูเครนเข้าถึงได้ง่าย ทะเลและฟยอร์ดซึ่งเคยเป็นจุดแข็งของนอร์เวย์ที่ช่วยให้การขนส่งไม้ทำได้ในราคาถูก แต่เมื่อมีการสร้างรถไฟ ป่าไม้ที่ไร้ขีดจำกัดในรัสเซียก็สามารถเข้าถึงตลาดโลกได้ง่ายดาย ไม้ปริมาณมหาศาลสามารถขนส่งได้ในราคาถูกทางรถไฟ เช่นเดียวกับพื้นที่การเกษตรขนาดใหญ่ในยูเครนและรัสเซียที่ก็เข้าถึงตลาดได้เช่นกัน ทำให้ไม้ราคาถูกและธัญพืชราคาถูกไหลเข้าสู่ตลาดโลก
ในช่วงเวลานี้ นอร์เวย์ได้ประสบกับปัญหาหลายประการที่ทำให้การค้าไม้ได้รับผลกระทบ
หลังจากที่เป็นผู้ส่งออกไม้รายใหญ่มาเกินกว่า 100 ปี นอร์เวย์ก็เริ่มประสบกับปัญหาการทำลายป่าไม้ โดยที่ภาคเอกชนเริ่มตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ความยั่งยืนของป่าไม้ถูกทำลาย โดยนายกรัฐมนตรีนอร์เวย์อย่าง “เฟรเดอริก สแตง (Frederik Stang)“ ก็เคยพูดเตือนเรื่องนี้
เฟรเดอริก สแตง (Frederik Stang)
สแตงเล็งเห็นว่าชาวนอร์เวย์กำลังทำลายอนาคตของตัวเอง และได้กล่าวไว้ในยุค 1860 (พ.ศ.2403-2412) ว่านอร์เวย์ต้องเริ่มซื้อป่าไม้เพื่อป้องกันการใช้งานป่าไม้เกินขีดจำกัด
รัฐบาลของสแตงก์ได้ออกกฎหมายที่จำกัดการใช้ป่าไม้ของเอกชนเพื่อช่วยให้การค้าขายไม้สามารถคงความยั่งยืนในระยะยาวได้
เรื่องนี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในประวัติศาสตร์ของนอร์เวย์ โดยในศตวรรษที่ 18 ราชสำนักเดนมาร์ก ซึ่งปกครองนอร์เวย์อยู่ในเวลานั้น ต้องทำการลดจำนวนโรงเลื่อย โดยเจตนาก็คือเพื่อป้องกันการทำลายป่าจนหมดประเทศ
นี่เป็นปัญหาที่เป็นที่รู้กันดีสำหรับผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์โบราณ เมโสโปเตเมียก็เคยอุดมไปด้วยป่าไม้ แต่ก็มีการตัดต้นไม้ไปมหาศาลจนขาดแคลนไม้สำหรับใช้ในด้านต่างๆ เช่น น้ำมัน การหลอมโลหะ และวัสดุก่อสร้าง
การครอบงำทะเลของชาวฟินิเชียนได้สิ้นสุดลงเมื่อมีการตัดต้นไม้จนหมด ในกรีซเองก็ประสบปัญหากับการทำลายป่าไม้จนส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจ อำนาจตกไปอยู่กับอิตาลี
ส่วนการล่มสลายของอาณาจักรโรมันนั้นก็มีหลายสาเหตุ แต่การทำลายป่าไม้ก็มีส่วนทำให้อำนาจของโรมันอ่อนแอลง เนื่องจากการผลิตโลหะในคาบสมุทรอิตาลีเริ่มลดลง เพราะป่าไม้ส่วนใหญ่ถูกตัดไป การสร้างเรือพาณิชย์และเรือรบก็ยากขึ้น ทำให้อำนาจทางทะเลลดลงและส่งผลต่ออำนาจของโรมัน
ในขณะที่อังกฤษที่สร้างกองเรือของตนได้ ก็ได้ตัดไม้ส่วนใหญ่ของตนและทำลายป่าไม้ของไอร์แลนด์เพื่อนำไปใช้สร้างเรือเช่นกัน
ประเทศอย่างนอร์เวย์จึงกลายเป็นแนวป้องกันด่านสุดท้าย โดยนอร์เวย์ไม่ได้เพียงแต่ขายไม้ให้กับเนเธอร์แลนด์และอังกฤษเท่านั้น แต่ไม้เหล่านี้ยังถูกส่งผ่านตัวกลางไปยังหลายประเทศในยุโรป
อุตสาหกรรมไม้แปรรูปของนอร์เวย์กำลังเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น การตัดไม้ทำลายป่าในนอร์เวย์ทำให้ขาดแคลนต้นไม้ขนาดใหญ่ที่ลูกค้าต้องการ อุตสาหกรรมจึงต้องพัฒนาตนเองขึ้นไปในห่วงโซ่คุณค่า ดังนั้น แม้ว่านี่จะเป็นช่วงเวลาของการหยุดชะงักในเชิงเศรษฐกิจ แต่มันก็เป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ อุตสาหกรรมไม้แปรรูปของนอร์เวย์มีความก้าวหน้าทางเทคนิคมากกว่าผู้เล่นในตลาดใหม่ๆ ที่เพิ่งเข้ามา และพวกเขาก็ใช้จุดแข็งนี้ให้เป็นประโยชน์
นอร์เวย์เริ่มส่งออกไม้แปรรูปที่มีการขัดผิวมากขึ้น โรงเลื่อยของนอร์เวย์เริ่มใช้เครื่องขัดไม้ ซึ่งช่วยให้ไม้มีความหนาคงที่และพื้นผิวเรียบเนียน ตัวอย่างเช่น ในปีค.ศ.1885 (พ.ศ.2428) 25% ของการส่งออกไม้แปรรูปของนอร์เวย์เป็นไม้ที่ขัดแล้ว เทียบกับสวีเดนที่มีเพียง 1.5%
โรงเลื่อยในนอร์เวย์ยังเริ่มติดตั้งเครื่องจักรสำหรับผลิตเยื่อไม้ โดยในช่วงเวลานี้มีการค้นพบว่าเยื่อไม้สามารถนำมาทำกระดาษได้
ในขณะนั้น การผลิตเยื่อไม้และกระดาษถือเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูง และบริษัทนอร์เวย์ก็ประสบปัญหาในการทำเรื่องนี้ให้สำเร็จ เนื่องจากประชากรของนอร์เวย์ที่กระจายตัวขาดศูนย์กลางความรู้ที่รองรับอุตสาหกรรมที่ต้องการความรู้ทางวิทยาศาสตร์
การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อบริษัท “Kellner-Partington” จากอังกฤษได้เข้ามาลงทุนก่อตั้งบริษัท ”Borregaard“ ในปีค.ศ.1889 (พ.ศ.2432) โดยอังกฤษในขณะนั้นเป็นชาติผู้นำด้านอุตสาหกรรมและวิทยาศาสตร์ และด้วยความเชี่ยวชาญและการเชื่อมโยงตลาดจากอังกฤษ การผลิตเยื่อไม้และกระดาษของนอร์เวย์จึงประสบความสำเร็จ และในท้ายที่สุด นักลงทุนชาวนอร์เวย์ก็ได้เข้ามาซื้อกิจการของบริษัท ทำให้บริษัทมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงทศวรรษ 1870 (พ.ศ.2413-2422) นอร์เวย์ได้ดำเนินตามกระแสเสรีนิยมและการค้าเสรีของยุคนั้น โดยลดกำแพงภาษีศุลกากรลง ขณะเดียวกัน เมล็ดพืชราคาถูกจากยูเครนซึ่งขนส่งได้สะดวกด้วยทางรถไฟก็ไหลทะลักเข้าสู่ตลาด ประเทศยุโรปส่วนใหญ่เริ่มเปลี่ยนใจและหันมาตั้งกำแพงภาษีนำเข้าเพื่อปกป้องเกษตรกรในประเทศ
แต่กรณีของนอร์เวย์กลับเต็มไปด้วยข้อถกเถียง เนื่องจากมีความต่างจากหลายชาติยุโรป นอร์เวย์ต้องพึ่งพาการนำเข้าเมล็ดพืชอย่างมากเนื่องจากสภาพภูมิประเทศไม่สามารถปลูกธัญพืชได้เพียงพอต่อความต้องการ การปกป้องเกษตรกรในประเทศด้วยการตั้งกำแพงภาษีจึงหมายถึงราคาสินค้าอาหารที่จะแพงขึ้น นอร์เวย์จึงตัดสินใจไม่ปกป้องภาคเกษตรกรรมจากเมล็ดพืชราคาถูกจากยูเครน
ผลลัพธ์คือ ชาวประมง แรงงานอุตสาหกรรม และผู้มีอาชีพอื่นๆ ได้รับประโยชน์ เนื่องจากสามารถใช้รายได้ส่วนที่เหลือมากขึ้นจากค่าอาหารที่ถูกลง อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้น เกษตรกรรมยังเป็นภาคส่วนสำคัญที่สุดของนอร์เวย์และเป็นนายจ้างรายใหญ่ที่สุด การไม่ตั้งกำแพงภาษีจึงกลายเป็นเหมือนระฆังแห่งความตายของภาคเกษตรกรรม
เกษตรกรพยายามปรับตัวด้วยการหันไปทำปศุสัตว์และฟาร์มโคนมซึ่งให้ผลกำไรดีกว่า แต่แนวทางเหล่านี้กลับใช้แรงงานน้อยลง ส่งผลให้ชนชั้นล่างในชนบทต้องเผชิญกับความยากลำบากรุนแรง และนี่เองที่นำไปสู่การอพยพครั้งใหญ่ไปยังสหรัฐอเมริกา โดยนอร์เวย์มีสัดส่วนประชากรอพยพไปสหรัฐอเมริกาสูงเป็นลำดับต้นๆ ของโลก ซึ่งกลุ่มที่อพยพออกไปส่วนใหญ่ก็เป็นคนหนุ่มสาวที่แข็งแรง ในขณะที่ผู้สูงอายุและผู้เจ็บป่วยส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในบ้านเกิดที่นอร์เวย์
แรงดึงดูดที่ทำให้ชาวนอร์เวย์อยากย้ายไปยังสหรัฐอเมริกานั้นมีหลายข้อ เช่น การที่สหรัฐอเมริกามีที่ดินอุดมสมบูรณ์กว้างใหญ่
ฟาร์มในนอร์เวย์ในปีค.ศ.1907 (พ.ศ.2450) ส่วนใหญ่มีพื้นที่ไม่ถึง 20 เอเคอร์ (ประมาณ 51 ไร่) ในขณะที่ในสหรัฐอเมริกา เฉลี่ยแล้วฟาร์มหนึ่งแห่งจะมีขนาดใหญ่ถึง 140 เอเคอร์ (ประมาณ 354 ไร่) อีกทั้งกฎหมายที่ออกในทศวรรษ 1850 (พ.ศ.2393-2402) ยังมีการแจกที่ดิน 160–320 เอเคอร์ (ประมาณ 405-810ไร่) ให้ผู้อพยพในราคาที่คิดถูกมาก ชาวนอร์เวย์จึงมีโอกาสได้ครอบครองที่ดินขนาดใหญ่มากกว่าในบ้านเกิดถึง 16 เท่า และที่ดินในสหรัฐอเมริกาก็มีคุณภาพดีกว่ามาก
นอกจากนั้น ค่าจ้างแรงงานไร้ฝีมือในสหรัฐอเมริกายังสูงกว่าที่นอร์เวย์ถึงสี่เท่า แต่ถึงแม้การสูญเสียคนหนุ่มสาวจะเป็นปัญหาสำหรับนอร์เวย์ แต่ในเวลาต่อมา ก็สร้างประโยชน์มากมายให้ประเทศ
ครอบครัวชาวนอร์เวย์ได้รับเงินที่ลูกหลานโอนกลับบ้าน โดยการสำรวจของหนังสือพิมพ์รายใหญ่ ”Aftenposten“ ในปีค.ศ.1906 (พ.ศ.2449) ระบุว่า ชาวนอร์เวย์-อเมริกันส่งเงินกลับบ้านถึง 20 ล้านโครนนอร์เวย์ ซึ่งในเวลานั้น งบประมาณทั้งประเทศของนอร์เวย์มีเพียง 60 ล้านโครนเท่านั้น
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น ชาวนอร์เวย์จำนวนมากกลับบ้านพร้อมเงินเก็บและทักษะที่ได้จากประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสหรัฐอเมริกา และบอกเล่าเรื่องราวอัศจรรย์ในสหรัฐอเมริกาให้ลูกหลานฟัง
สำหรับเศรษฐกิจนอร์เวย์ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ วิศวกรกว่าครึ่งหนึ่งที่กลับมา ล้วนกลับมาพร้อมประสบการณ์และความรู้จากประเทศที่ก้าวหน้ากว่า ซึ่งช่วยในการขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในเวลาต่อมา
หลังทศวรรษ 1870 (พ.ศ.2413-2422) เรือกลไฟได้เริ่มครองท้องทะเล ซึ่งเดิมทีนั้น การเดินเรือของนอร์เวย์อาศัยเรือใบและทักษะการต่อเรือไม้ที่สืบทอดมาตั้งแต่ยุคไวกิ้ง รวมถึงกะลาสีผู้ชำนาญ แต่ยุคสมัยใหม่นี้ทำให้ข้อได้เปรียบเหล่านั้นลดความสำคัญลงอย่างมาก
การสร้างเรือใบสามารถทำได้ในชุมชนชายฝั่งเล็กๆ ที่มีช่างฝีมือและชาวเรือในท้องถิ่น แต่เรือกลไฟเป็นเทคโนโลยีชั้นสูงของยุคนั้น ต้องอาศัยโรงงานเครื่องจักรเฉพาะทาง วิศวกรที่เชี่ยวชาญ ห่วงโซ่อุปทานอันซับซ้อน และการลงทุนขนาดใหญ่ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่ชุมชนชายฝั่งขนาดเล็กของนอร์เวย์ไม่อาจจัดหาได้ ทำให้เมื่อกองเรือพาณิชย์ของอังกฤษเร่งเปลี่ยนเป็นเรือกลไฟ นอร์เวย์จึงติดอยู่กับเรือใบเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงบางเมืองใหญ่ เช่น เบอร์เกน ที่พอจะสร้างเรือกลไฟได้บ้าง
ผลคือ การเดินเรือซึ่งเป็นแหล่งรายได้สำคัญของประเทศต้องชะงัก
อย่างไรก็ตาม นอร์เวย์ยังพยายามตั้งรับ เนื่องจากเรือกลไฟต้อง บรรทุกถ่านหินจำนวนมากสำหรับการเดินทางไกล และถ่านหินเหล่านี้ก็กินพื้นที่บรรทุกสินค้า นอร์เวย์จึงหันไปเน้นเส้นทางเดินเรือระยะไกลข้ามทวีป ซึ่งสามารถแข่งขันกับเรือกลไฟได้ในบางกรณี
แต่ปัญหาใหม่กลับเกิดขึ้น นั่นคือบริษัทใหญ่และชาติมหาอำนาจได้ตั้งกลุ่มผูกขาดในการขนส่งและการค้าระหว่างประเทศ กีดกันไม่ให้นอร์เวย์เข้าถึงเส้นทางการค้าที่ทำกำไรสูง ประเทศเล็กอย่างนอร์เวย์จึงไม่อาจต่อกรกับอำนาจเหล่านี้ได้
นอกจากนี้ เรืออวนลากไอน้ำของอังกฤษ ยังสร้างความเดือดร้อนหนักให้กับชาวประมงแถบชายฝั่งนอร์เวย์ โดยเรือประมงอังกฤษขนาดใหญ่แล่นเข้ามาในฟยอร์ดของนอร์เวย์และจับปลาโดยตรง ขณะที่ชาวประมงท้องถิ่นมีเพียงเรือเล็ก ไม่สามารถแข่งขันได้ ทำให้เกิดความไม่พอใจอย่างรุนแรง ชาวประมงจึงเรียกร้องให้รัฐบาลนอร์เวย์ดำเนินมาตรการตอบโต้
แต่การเจรจาเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากอังกฤษเป็นมหาอำนาจโลก ขณะที่นอร์เวย์เป็นเพียงประเทศเล็ก จึงต้องหาทางออกแบบประนีประนอม ซึ่งทำให้นอร์เวย์อยู่ในสถานะที่อ่อนแอกว่าอย่างชัดเจน
แม้กระทั่งในปีค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) นอร์เวย์มีเรืออวนลากไอน้ำเพียงราว 250 ลำเท่านั้น ในขณะที่อังกฤษมีมากกว่า 4,000 ลำ
ช่องว่างด้านกำลังและเทคโนโลยีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความท้าทายใหญ่ที่อุตสาหกรรมการเดินเรือและประมงนอร์เวย์ต้องเผชิญในยุคเรือกลไฟ
ในขณะที่ช่วงระหว่างทศวรรษ 1880 (พ.ศ.2423-2433) ถึงค.ศ.1905 (พ.ศ.2448) เป็นยุคที่หลายอุตสาหกรรมของนอร์เวย์ได้ถูกต่างชาติแซงหน้า แต่อุตสาหกรรมล่าวาฬกลับเป็นข้อยกเว้นสำคัญ
สาเหตุหลักก็มาจากโครงสร้างสังคมของนอร์เวย์ โดยเฉพาะทางตอนเหนือซึ่งการประมงเป็นอาชีพหลักของชุมชน ที่นี่มีชาวประมงอิสระจำนวนมากใช้เรือเล็กทำมาหากิน การนำเรืออวนลากไอน้ำเข้ามาแข่งขันโดยตรง จึงขัดต่อผลประโยชน์ของชาติ เพราะจะสร้างปัญหาใหญ่หลวงหากชาวประมงตกงาน
แต่การล่าวาฬนั้นแตกต่างออกไป เนื่องจากไม่มีอุตสาหกรรมหรือการค้าสำคัญที่มีอยู่เดิมต้องเสียผลประโยชน์ การพัฒนาอุตสาหกรรมล่าวาฬจึงไม่เจอแรงต้านจากกลุ่มผลประโยชน์ใดๆ สามารถเติบโตได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง
แม้การล่าวาฬจะเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องใช้เทคโนโลยีสูง แต่นอร์เวย์กลับก้าวขึ้นเป็นผู้นำของโลกได้อย่างชัดเจน อุตสาหกรรมนี้ก่อให้เกิดคลัสเตอร์อุตสาหกรรมรอบเมืองสำคัญต่างๆ มีทั้งโรงงานเครื่องจักรและเครื่องมือ อู่ต่อเรือสำหรับสร้างเรือล่าวาฬ ตลอดจนผู้ผลิตอุปกรณ์เฉพาะทาง เช่น ปืนใหญ่ล่าวาฬและฉมวกระเบิด
บุคคลสำคัญในยุคบุกเบิกคือ “สเวนด์ ฟอยน์ (Svend Foyn)” นักธุรกิจชาวนอร์เวย์
ฟอยน์ได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อค้นหาองค์ความรู้และพัฒนาวิธีการล่าวาฬให้ทันสมัย รวมถึงจ้างนักเคมีชาวอังกฤษมาช่วยพัฒนาวิธีการสกัดและปรับปรุงคุณภาพน้ำมันวาฬที่มีมูลค่าสูง
สเวนด์ ฟอยน์ (Svend Foyn)
สำหรับความสำคัญของน้ำมันวาฬในศตวรรษที่ 19 นั้น น้ำมันวาฬถือว่ามีความสำคัญใกล้เคียงกับน้ำมันปิโตรเลียมในปัจจุบัน ถูกนำไปกลั่นเพื่อใช้ผลิตสินค้านานาชนิด เช่น ทำเชื้อเพลิงสำหรับตะเกียง เป็นส่วนผสมทำสบู่ น้ำหอม และเครื่องสำอาง ใช้ทำมาร์การีน ทำน้ำมันหล่อลื่นสำหรับเครื่องจักร ใช้ทำสีทาไม้และสารกันน้ำสำหรับเรือไม้ และใช้ทำสเปรย์กำจัดแมลง เป็นต้น
น้ำมันวาฬมีคุณสมบัติพิเศษเหนือกว่าน้ำมันพืชหรือสัตว์อื่นๆ จึงเป็นที่ต้องการสูง โดยในปลายศตวรรษที่ 19 การล่าวาฬคิดเป็น 18% ของมูลค่าการส่งออกของอุตสาหกรรมประมงนอร์เวย์
ต้นศตวรรษที่ 20 นอร์เวย์ได้พัฒนาตนเองเป็นประเทศล่าวาฬที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยในปีค.ศ.1912 (พ.ศ.2455) บริษัทในนอร์เวย์ได้ผลิตน้ำมันวาฬได้ถึง 100,000 ตันต่อปี หรือราว 80% ของการผลิตทั่วโลก
แม้การเกษตรของนอร์เวย์จะไม่สามารถแข่งขันได้ดีนัก แต่ข้อได้เปรียบจากน้ำมันวาฬก็ทำให้นอร์เวย์พัฒนาผลิตภัณฑ์มาร์การีน ซึ่งใช้น้ำมันวาฬเป็นวัตถุดิบทดแทนเนย ซึ่งนับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับประชาชน เพราะในสังคมแรงงานนั้นจำเป็นต้องบริโภคแคลอรีสูง ในขณะที่เนยมีราคาแพง มาร์การีนกลับมีราคาถูกกว่ามาก และกลายเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ
ต่อมา ในช่วงปีค.ศ.1875-1905 (พ.ศ.2418-2448) เป็นยุคที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีและเศรษฐกิจหลายด้าน โดยเมื่อก้าวเข้าสู่ต้นศตวรรษที่ 20 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีชุดใหญ่ ทำให้เกิดยุคเฟื่องฟูใหม่
ระหว่างค.ศ.1905-1920 (พ.ศ.2448-2463) เศรษฐกิจนอร์เวย์เติบโตถึง 60% มากกว่าประเทศอื่นๆ ในยุโรป
แต่อุตสาหกรรมปฏิวัติที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องจักรไอน้ำกลับไม่เหมาะกับสภาพแวดล้อมของนอร์เวย์ด้วยเหตุผลหลายประการ อาทิ
-นอร์เวย์ไม่มีแหล่งถ่านหิน ต้องนำเข้าทั้งหมด
-เครื่องจักรไอน้ำมีขนาดใหญ่และใช้เงินลงทุนสูง เหมาะกับเมืองใหญ่ ซึ่งนอร์เวย์มีอยู่เพียงไม่กี่แห่ง
-พลังงานไอน้ำเอื้อต่อบริษัทขนาดใหญ่ที่มีทุนหนา ในขณะที่บริษัทและธุรกิจของนอร์เวย์มักมีขนาดเล็ก เงินทุนไม่สูงมาก
ด้วยประชากรที่กระจายอยู่เป็นวงกว้าง นอร์เวย์จึงมีจำนวนบริษัทมาก แต่มีเพียงไม่กี่แห่งที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่ โดยแม้จะมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับเดนมาร์ก แต่นอร์เวย์กลับมีธนาคารมากกว่ามาก แต่ส่วนใหญ่จะเป็นธนาคารขนาดเล็ก ขณะที่เดนมาร์ก ซึ่งมีประชากรอาศัยอยู่ในเมืองเป็นหลัก กลับมีธนาคารขนาดใหญ่ไม่กี่แห่งครองตลาด
นอร์เวย์ยังมีจำนวนบริษัทจำกัดหุ้นต่อหัวมากกว่าประเทศอื่นเกือบทุกประเทศ และขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทก็ทำได้ง่ายกว่าประเทศส่วนใหญ่ ซึ่งน่าสนใจว่าปัจจุบันก็ยังเป็นเช่นนั้น ขั้นตอนการจดทะเบียนบริษัทในนอร์เวย์ยังคงรวดเร็วกว่าในหลายประเทศ ดังนั้น อุปสรรคไม่ได้อยู่ที่กฎระเบียบหรือรัฐเป็นผู้ถ่วงความเจริญ แต่เป็นเพียงข้อเท็จจริงด้านโครงสร้างประชากรของประเทศเท่านั้นเอง
1
ในเวลาต่อมา มอเตอร์ไฟฟ้าได้เข้ามาแทนที่เครื่องจักรไอน้ำ โดยมอเตอร์ไฟฟ้านั้นมีราคาถูกกว่าเครื่องจักรไอน้ำมาก ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งกับบริษัทขนาดเล็กจำนวนมากในนอร์เวย์ ช่วยให้เกิดการเติบโตของอุตสาหกรรมขนาดเล็ก เช่น การผลิตเฟอร์นิเจอร์ การทำอาหารกระป๋อง และการพิมพ์
สิ่งนี้เกิดขึ้นได้เพราะการประดิษฐ์กังหันน้ำแรงดันสูงและเครื่องกำเนิดไฟฟ้า นักลงทุนต่างชาติที่มีทุนหนาจากชาติมหาอำนาจยุโรป เช่น อังกฤษ ได้เริ่มสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำในนอร์เวย์ รวมถึงการทำเหมืองแร่
นักลงทุนชาวนอร์เวย์เองขาดทั้งเงินทุนและทักษะที่จะทำการก่อสร้างขนาดใหญ่เช่นนี้ จึงต้องพึ่งพาทุนและความเชี่ยวชาญจากต่างประเทศเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม การเติบโตของนอร์เวย์หลังปีค.ศ.1900 (พ.ศ.2443) ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยอุตสาหกรรมขนาดเล็กอย่างการผลิตเฟอร์นิเจอร์ แต่เกิดจากอุตสาหกรรมไฟฟ้าเคมี ซึ่งใช้กระแสไฟฟ้าในการผลิตสินค้าสำคัญ เช่น เฟอร์โรอัลลอย นิกเกิล อะลูมิเนียม คาร์ไบด์ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ
ภูเขาสูงใหญ่ที่เคยเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของนอร์เวย์มาหลายศตวรรษ กลับกลายเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ เพราะเอื้อต่อการสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ทำให้นอร์เวย์ผลิตไฟฟ้าได้มากกว่าประเทศส่วนใหญ่ในยุโรป โดยในปีค.ศ.1920 (พ.ศ.2463) นอร์เวย์ได้กลายเป็นประเทศชั้นนำของโลกด้านการใช้พลังงานไฟฟ้า
นอร์เวย์ผลิตและใช้ไฟฟ้ามากกว่าประเทศอุตสาหกรรมใหญ่ในยุโรปอย่าง อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนีถึง 12–13 เท่าต่อหัวประชากร
ด้านการใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน นอร์เวย์ก็มีสถิติตัวเลขที่น่าสนใจ เนื่องจาก 2 ใน 3 ของครัวเรือนนอร์เวย์มีไฟฟ้าใช้ ในขณะที่ประเทศร่ำรวยและพัฒนามากกว่าอย่างแคนาดาและสหรัฐอเมริกา กลับมีเพียง 1 ใน 2 เท่านั้น ส่วนสวีเดนและอังกฤษมีเพียง 1 ใน 6 ของครัวเรือนที่เข้าถึงไฟฟ้า
ในเวลาต่อมา เครื่องยนต์สันดาปภายในได้เข้ามาแทนที่เครื่องจักรไอน้ำ โดยเครื่องยนต์สันดาปภายในนั้น เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของนอร์เวย์อย่างยิ่ง เนื่องจากสามารถผลิตได้จำนวนมากในขนาดเล็กและราคาถูกกว่าเครื่องจักรไอน้ำ อีกทั้งยังสามารถติดตั้งบนเรือประมงขนาดเล็ก ซึ่งเป็นรูปแบบเรือหลักของนอร์เวย์ได้ง่าย ต่างจากเครื่องจักรไอน้ำที่ใหญ่และหนักเกินไป
ดังนั้น นอร์เวย์จึงสามารถติดตั้งเครื่องยนต์และทำให้การประมงเข้าสู่ยุคใหม่ได้สำเร็จ
ภายในปีค.ศ.1920 (พ.ศ.2463) มีเรือประมงกว่า 15,000 ลำที่ติดตั้งเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยราคาเครื่องยนต์ในปีค.ศ.1913 (พ.ศ.2456) อยู่ที่ประมาณ 1,000 โครนนอร์เวย์ ซึ่งเท่ากับรายได้ของชาวประมงประมาณสองปี ซึ่งถือว่าแพงมาก แต่ก็ยังพอสามารถซื้อหาได้ แตกต่างจากเครื่องจักรไอน้ำที่มีราคาสูงเกินเอื้อม
รัฐบาลนอร์เวย์ก็มีบทบาทสำคัญอย่างมากในการเร่งการพัฒนา โดยมีการจัดตั้งโครงการค้ำประกันเงินกู้และมาตรการสนับสนุนต่างๆ เพื่อให้ชาวประมงสามารถซื้อเครื่องยนต์ได้ง่ายขึ้น ทำให้ภายในปีค.ศ.1910 (พ.ศ.2453) ปริมาณการจับปลาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น จำนวนผู้เสียชีวิตในทะเลก็ลดลงกว่าครึ่ง เพราะก่อนหน้านี้ ชาวประมงมักไม่สามารถกลับเข้าฝั่งได้ทันเมื่อเกิดพายุ แต่เมื่อมีเครื่องยนต์ พวกเขาสามารถหนีพายุและกลับเข้าฝั่งได้อย่างรวดเร็ว ลดการสูญเสียลงได้มาก
กลับมาที่พลังงานน้ำ เมื่อพลังงานน้ำกลายเป็นฐานเศรษฐกิจสำคัญของนอร์เวย์ ก็ได้เกิดแนวคิดใหม่เกี่ยวกับการใช้และการเป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งต่อมาจะเป็นแนวทางหลักของประเทศเมื่อเข้าสู่ยุคน้ำมันในยุค 70 (พ.ศ.2513-2522)
แนวคิดนี้มองว่า ทรัพยากรธรรมชาติไม่ใช่เป็นเพียงทรัพย์สินของเอกชน แต่เป็นสมบัติส่วนรวมของชาติ เสมือน “มรดกประจำตระกูล” โดยแนวคิดนี้ได้รับการพัฒนาอย่างชัดเจนในสมัยรัฐบาลเสรีนิยมของนายกรัฐมนตรี “กันนาร์ นัดเซน (Gunnar Knudsen)” ระหว่างปีค.ศ.1908–1910 (พ.ศ.2451-2452) และค.ศ.1913–1920 (พ.ศ.2456-2463)
ขณะที่การทำเหมือง การผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ และอุตสาหกรรมไฟฟ้าเคมีเริ่มเติบโต นอร์เวย์ก็ตระหนักว่าตนขาดทั้งเงินทุนและความเชี่ยวชาญจากต่างประเทศ
กันนาร์ นัดเซน (Gunnar Knudsen)
รายงานที่นำเสนอต่อรัฐสภาในปีค.ศ.1906 (พ.ศ.2449) ได้ระบุว่า 77% ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำเป็นของต่างชาติ 80% ของหุ้นในอุตสาหกรรมเหมืองก็อยู่ในมือของต่างชาติ และ 85% ของอุตสาหกรรมที่ใช้ไฟฟ้าจำนวนมากก็ถูกควบคุมโดยต่างชาติ
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงเห็นความจำเป็นในการควบคุมอุตสาหกรรมเหล่านี้ในระดับชาติ แต่การโอนกิจการมาเป็นของรัฐทั้งหมด ก็อาจจะทำให้นอร์เวย์เสียทั้งเงินทุนและความรู้จากต่างชาติไป จึงต้องใช้แนวทางผสมผสาน ซึ่งต่อมาถูกนำไปใช้กับอุตสาหกรรมน้ำมันในยุค 70 (พ.ศ.2513-2522)
เพื่อใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ผู้ประกอบการต้องขอใบอนุญาตพิเศษและปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ได้แก่
-สร้างบ้านและโรงเรียนสำหรับแรงงานและครอบครัว
-ตั้งร้านสหกรณ์เพื่อจำหน่ายอาหารและสินค้าอุปโภคบริโภค
-สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ผลิตในนอร์เวย์
-ต้องซื้ออุปกรณ์ที่ผลิตในประเทศ เว้นแต่จะแพงกว่าสินค้าต่างชาติเกิน 10%
-โรงไฟฟ้าพลังน้ำต้องขายไฟบางส่วนให้กับประชาชนท้องถิ่น
-หากขายโรงไฟฟ้าพลังน้ำ ต้องเสนอขายให้เทศบาลท้องถิ่นก่อน
-ใบอนุญาตต้องมีเงื่อนไข “Hjemfall” ซึ่งหมายถึงเมื่อครบ 60–80 ปี โรงไฟฟ้าหรือเหมืองจะต้องตกเป็นของรัฐโดยไม่มีค่าชดเชย
สำหรับอุตสาหกรรมป่าไม้ จะมีความเข้มงวดยิ่งกว่าอุตสาหกรรมอื่นๆ โดยบริษัทที่จะซื้อป่าต้องเป็นบริษัทนอร์เวย์ 100% อีกทั้งมีการจำกัดการขายป่าให้กับบริษัทใหญ่เพื่อป้องกันการผูกขาด เป้าหมายคือการสร้างชนชั้นเกษตรกรที่เข้มแข็งทางเศรษฐกิจ
สำหรับอุตสาหกรรมน้ำมัน ในยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) เมื่อมีการค้นพบน้ำมันในทะเลเหนือ รัฐบาลได้วางกฎเกณฑ์เพื่อเอื้อประโยชน์แก่บริษัทและเจ้าของชาวนอร์เวย์ เช่น มีการบังคับให้ บริษัทน้ำมันต่างชาติร่วมทุนกับ Statoil ซึ่งบริษัทน้ำมันแห่งชาติ ต้องมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ Statoil และสุดท้าย ต้องส่งมอบความรับผิดชอบหลักในการดำเนินงานให้ Statoil
สรุปได้ว่า นอร์เวย์ใช้พลังของรัฐเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างอุตสาหกรรมภายในประเทศและผลักดันการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างชาติ ซึ่งแนวทางนี้ช่วยให้ประเทศเล็กๆ อย่างนอร์เวย์สามารถรักษาอธิปไตยทางเศรษฐกิจและก้าวสู่ความมั่งคั่งระยะยาวทั้งในยุคพลังงานน้ำและยุคน้ำมัน
ในช่วงเวลาของ “สงครามโลกครั้งที่ 1 (WWI)” การปะทุของ สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้กลายเป็นโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจของนอร์เวย์
เดิมที อุตสาหกรรมการเดินเรือของนอร์เวย์ถูกจำกัดตลาดสำคัญหลายแห่ง แต่เมื่อเกิดสงคราม ความต้องการสินค้าทุกชนิดและเรือขนส่งก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมหาศาล
ความต้องการขนส่งสินค้าพุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ เช่น การขนส่ง เมล็ดธัญพืชจากสหรัฐอเมริกาไปยังสหราชอาณาจักร ก็มีค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้นถึง 8 เท่า การขนส่งถ่านหินจากอังกฤษไปอิตาลีก็มีอัตราค่าขนส่งเพิ่มขึ้นถึง 12 เท่า
การปิดล้อมทางทะเลทำให้เยอรมนีสูญเสียเส้นทางนำเข้าสำคัญ จึงหันมาพึ่งพาการนำเข้าจากประเทศเป็นกลาง เช่น นอร์เวย์ โดยความต้องการทองแดง กำมะถัน นิกเกิล และแร่ธาตุอื่นๆ ได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ปลานอร์เวย์ยังขายได้มากเป็นประวัติการณ์เพื่อชดเชยการขาดแคลนอาหารของเยอรมนี
ผลที่เกิดขึ้นนั้นก็แตกต่างไปตามแต่ละชนชั้น โดยชนชั้นนายทุนได้รับผลกำไรอย่างมหาศาลจากการขนส่งและการค้าสินแร่ ส่วนรัฐบาลได้รับรายได้ภาษีเพิ่มขึ้น แต่ชนชั้นแรงงานกลับได้รับผลกระทบหนัก
เมื่อเยอรมนีเริ่มทำสงครามเรือดำน้ำในปีค.ศ.1916 (พ.ศ.2459) เรือสินค้าและเรือโดยสารของนอร์เวย์ได้ถูกโจมตี กองเรือพาณิชย์สูญเสียเรือไปกว่าครึ่ง ลูกเรือหลายพันคนเสียชีวิต และการนำเข้าอาหารและสินค้าหลายประเภทก็มีราคาแพงและทำได้ยากขึ้น ทำให้ประชาชนทั่วไปเดือดร้อนอย่างหนัก
ในอีกด้านหนึ่ง ช่วงเวลานี้กลับกลายเป็นยุคขยายตัวครั้งใหญ่ของอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานสูงและไฟฟ้าพลังน้ำ โดยรัฐบาลนอร์เวย์มีบทบาทมากขึ้นในการลงทุนและควบคุมอุตสาหกรรม นักลงทุนชาวนอร์เวย์ก็เริ่มซื้อกิจการจากต่างชาติซึ่งเคยครอบงำตลาด และก่อตั้งบริษัทของตนเองมากขึ้น
กล่าวได้ว่า ช่วงเวลาของสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ทำให้นอร์เวย์ มั่งคั่งร่ำรวยขึ้น แต่ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้น และต้องแลกมาด้วยชีวิตของลูกเรือจำนวนมากและความยากลำบากของประชาชนทั่วไป
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นี้ รัฐบาลนอร์เวย์ได้ใช้จ่ายอย่างหนัก ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างโรงไฟฟ้าพลังน้ำ และโครงการอื่นๆ เรียกได้ว่าใช้จ่ายอย่างบ้าคลั่ง
แต่เมื่อสงครามสิ้นสุดลง นอร์เวย์กลับเผชิญปัญหาหนักกว่าหลายประเทศที่ทำสงครามโดยตรงเสียอีก
ประเทศที่ทำสงครามสามารถฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้เพราะกลับมาส่งออกสินค้าได้ตามปกติ แต่นอร์เวย์กลับตรงกันข้าม
กำไรจากสงครามหายไปอย่างรวดเร็ว ราคาสินค้าส่งออกของนอร์เวย์ก็ตกฮวบ ในขณะเดียวกัน ชาวนอร์เวย์เริ่มนำเข้าสินค้าที่ขาดแคลนระหว่างสงคราม เช่น น้ำตาลและกาแฟในปริมาณมาก
ผลลัพธ์ที่ได้คือพายุเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ บริษัทและเทศบาลเป็นหนี้มหาศาล ประชาชนจำนวนมากไม่สามารถชำระหนี้ธนาคารได้ นอร์เวย์จึงเกิดวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์
ผลกระทบต่อสังคมและการเมืองที่ตามมาก็เช่น อัตราการว่างงานพุ่งสูง ชนชั้นแรงงานไม่พอใจ เพราะเห็นชนชั้นมั่งคั่งใช้ชีวิตหรูหราในช่วงสงคราม ขณะที่คนทั่วไปต้องทนลำบาก การเก็งกำไรและการฉ้อโกงทางการเงินจำนวนมากได้ถูกเปิดโปง ซึ่งหลายกรณีกลับไม่ถูกลงโทษ ทำให้ความไม่พอใจยิ่งก่อตัวมากขึ้น
เหตุการณ์เหล่านี้ บวกรวมกับอิทธิพลของ “การปฏิวัติรัสเซีย (Russian Revolution)” เมื่อปีค.ศ.1917 (พ.ศ.2460) ทำให้การเมืองของนอร์เวย์มีแนวโน้มซ้ายจัดและหัวรุนแรง
วิกฤตนี้ยังลุกลามไปสู่ เกษตรกรรมและการประมง รวมถึงการค้าไม้
ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำทำให้เกษตรกรจำนวนมากล้มละลาย ราคาส่งออกปลาและไม้ก็ลดลง การค้าไม้แปรรูปของนอร์เวย์ได้รับผลกระทบสองชั้น เนื่องจากนอร์เวย์เป็นชาติรายใหญ่ที่ลงทุนในฟินแลนด์และรัสเซีย ซึ่งส่วนใหญ่สูญเสียการลงทุนไปจาก “สงครามกลางเมืองฟินแลนด์ (Finnish Civil War)” เมื่อปีค.ศ.1917 (พ.ศ.2460)
สรุปได้ว่า วิกฤตเศรษฐกิจในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) ของนอร์เวย์ เกิดจากการใช้จ่ายเกินตัวในช่วงสงคราม บวกกับการพึ่งพากำไรจากสงครามมากเกินไป เมื่อสงครามสิ้นสุด ความต้องการสินค้านอร์เวย์ก็ลดลง ส่งผลให้ประเทศเข้าสู่วิกฤตการเงิน การเมือง และสังคมอย่างรุนแรง
ต่อมา ปัญหาทางเศรษฐกิจและการเมือง รวมถึงการเคลื่อนไหวของกลุ่มซ้ายจัดในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) ได้จุดชนวนให้เกิดความขัดแย้งด้านแรงงานอย่างต่อเนื่อง สร้างความเสียหายทั้งแก่นายจ้างและลูกจ้าง
ความขัดแย้งนี้รุนแรงและยืดเยื้อ และถึงจุดแตกหักในปีค.ศ.1931 (พ.ศ.2474) เกิดเหตุล็อกเอาต์ ที่มีลูกจ้างได้รับผลกระทบถึง 60,000 คน มีการสูญเสียวันทำงานรวมกว่า 7.5 ล้านวัน
และเพื่อให้เห็นภาพ หากรวมการนัดหยุดงานและการล็อกเอาต์ทั้งหมดในเวลาปกติ ต้องใช้เวลากว่า 50 ปีจึงจะสูญเสียวันทำงานที่มากขนาดนี้
หลังการต่อสู้ที่ยืดเยื้อ ทั้งฝ่ายนายจ้างและฝ่ายลูกจ้างต่างต้องการข้อยุติ ดังนั้นในปีค.ศ.1935 (พ.ศ.2478) สหภาพแรงงานและสมาพันธ์นายจ้าง ได้ร่วมกันจัดทำข้อตกลงประวัติศาสตร์ ซึ่งถูกมองว่าเป็น “รัฐธรรมนูญชีวิตการทำงาน” ของนอร์เวย์
ข้อตกลงนี้กำหนดกติกาการเจรจาต่อรอง ระบบแก้ไขข้อพิพาท และวิธีการเจรจาในอนาคตอย่างเป็นระบบและยั่งยืน และได้ยุติความขัดแย้งของแรงงาน สร้างเสถียรภาพและความมั่งคั่งในตลาดแรงงานนอร์เวย์ เป็นพื้นฐานสำคัญให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวและเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว
แม้เศรษฐกิจนอร์เวย์ในช่วงระหว่างสงครามโลกจะเผชิญกับวิกฤตและความผันผวนรุนแรง แต่ก็มีภาคเศรษฐกิจหนึ่งที่เติบโตอย่างโดดเด่น นั่นคือ “อุตสาหกรรมการเดินเรือ“
สงครามโลกครั้งที่ 1 ได้กลายเป็นแรงขับสำคัญให้การเดินเรือของนอร์เวย์ก้าวกระโดด โดยในช่วงเวลานั้น กลุ่มผูกขาดการเดินเรือต่างชาติได้ถูกทำลาย ทำให้นอร์เวย์เข้าถึงตลาดขนาดใหญ่ที่ไม่เคยเข้าถึงมาก่อน
นอกจากนั้น บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านน้ำมันก็เริ่มจ้างบุคคลที่สามขนส่งน้ำมันแทนที่จะขนส่งเอง การขนส่งน้ำมันก็ง่ายกว่าการขนส่งสินค้าแบบอื่นเพราะไม่ต้องมีเครือข่ายการค้าซับซ้อน
เมื่อเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 1 กองเรือพาณิชย์ของนอร์เวย์ถือว่าเก่าและล้าสมัยที่สุดแห่งหนึ่งในโลก แต่เมื่อถึงเวลาที่สงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้น นอร์เวย์กลับมีกองเรือพาณิชย์ที่ทันสมัยที่สุดในโลก โดยสัดส่วนกองเรือพาณิชย์ในโลก ในส่วนของนอร์เวย์นั้นเพิ่มจาก 3% ในปีค.ศ.1919 (พ.ศ.2462) เป็น 7% ในปีค.ศ.1939 (พ.ศ.2482)
เรียกได้ว่าอุตสาหกรรมเดินเรือได้กลายเป็นเสาหลักของเศรษฐกิจนอร์เวย์ คิดเป็น 12% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือจีดีพีของนอร์เวย์
สรุปได้ว่า อุตสาหกรรมการเดินเรือคือแสงสว่างของเศรษฐกิจนอร์เวย์ ในขณะที่ภาคเศรษฐกิจอื่นต้องเผชิญกับวิกฤตซ้ำซ้อน แต่การเดินเรือกลับขยายตลาด เพิ่มเทคโนโลยี และเสริมฐานะทางเศรษฐกิจของชาติอย่างก้าวกระโดด
สำหรับอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานไฟฟ้า แม้ว่าอุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานไฟฟ้าสูงจะยังคงมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจนอร์เวย์
แต่ก็ต้องเผชิญกับความท้าทายหลายประการ โดยเฉพาะในช่วงหลังสงคราม
การสร้างเรือส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดในอู่ต่อเรือของนอร์เวย์เอง มีเพียงแค่ประมาณ 2% เท่านั้น และปัญหาความขัดแย้งของแรงงานและค่าจ้างแรงงานที่สูง ก็ทำให้การต่อเรือในประเทศไม่คุ้มค่า
ในทางกลับกัน อุตสาหกรรมที่ใช้พลังงานไฟฟ้าสูง เช่น อุตสาหกรรมไฟฟ้าเคมี ก็ทำให้เกิดการจ้างงานคนในท้องถิ่นจำนวนมาก สร้างธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และมีสัดส่วนการส่งออกถึง 25% ของทั้งประเทศในปีค.ศ.1939 (พ.ศ.2482)
อย่างไรก็ตาม หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 อุตสาหกรรมนี้กลับเติบโตได้ไม่ดีนัก สาเหตุหลักคือการปฏิวัติทางเคมี
กระบวนการ Haber–Bosch ที่คิดค้นโดย “ฟริทซ์ ฮาเบอร์ (Fritz Haber)” นักเคมีชาวเยอรมัน ได้ทำให้นอร์เวย์สามารถผลิตปุ๋ยไนโตรเจนได้เองโดยไม่ต้องพึ่งพาโรงงานไฟฟ้าเคมี
ฟริทซ์ ฮาเบอร์ (Fritz Haber)
ผลที่ตามมาคือ ความได้เปรียบด้านทรัพยากรพลังงานไฟฟ้าของนอร์เวย์ลดลง และอุตสาหกรรมไฟฟ้าเคมีก็สูญเสียตลาดสำคัญและโอกาสเติบโต
ทางด้านสวีเดน แม้ว่าสวีเดนจะมีความได้เปรียบหลายด้าน ทั้ง ความเจริญด้านอุตสาหกรรมและชนชั้นนายทุนที่แข็งแรงกว่า
แต่นอร์เวย์ก็สามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้ทัดเทียมสวีเดนมาอย่างยาวนาน
แต่เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในยุค 20 (พ.ศ.2463-2471) ผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัวของนอร์เวย์ก็ตกลงอย่างชัดเจน
หลังจากนั้น นอร์เวย์ต้องใช้เวลาหลายสิบปีเพื่อฟื้นตัว แต่ก็ไม่สามารถกลับมาตามทันสวีเดนได้ในด้านการเติบโตของเศรษฐกิจต่อหัว
กล่าวได้ว่า วิกฤตในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) คือจุดหักเหสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจของนอร์เวย์ถดถอย เมื่อเทียบกับสวีเดนเป็นเวลาหลายทศวรรษ
หลังจากวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) นอร์เวย์ก็ค่อยๆ ฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และภายในปีค.ศ.1933 (พ.ศ.2476) การลงทุนในโรงเรียน ถนน และโรงไฟฟ้า ก็เริ่มเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
และแล้วในปีค.ศ.1935 (พ.ศ.2478) ก็ได้เกิดเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญและไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
ในปีค.ศ.1935 (พ.ศ.2478) พรรคแรงงานนอร์เวย์ (Labour Party) ได้ขึ้นสู่อำนาจ โดยทำข้อตกลงกับพรรคเกษตรกร (Farmer’s Party) ซึ่งถือว่าแปลกประหลาดมากในเวลานั้น เนื่องจากทั้งสองพรรคเป็นศัตรูกันมายาวนาน
พรรคแรงงานเคยเป็นพรรคปฏิวัติ ในขณะที่เกษตรกรส่วนใหญ่มีที่ดินเป็นของตนเอง จึงหวาดกลัวนโยบายยกเลิกกรรมสิทธิ์เอกชน
ในทางกลับกัน พรรคแรงงานก็ไม่ไว้วางใจเกษตรกร มองว่าเป็น ฝ่ายอนุรักษนิยมที่คอยหนุนชนชั้นนายทุน
เกษตรกรรู้สึกว่าตนกำลังถูกกดดันจากพ่อค้าคนกลางในเมือง และทั้งสองพรรคก็เห็นพ้องว่าควรเพิ่มบทบาทของรัฐเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรและแรงงาน
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงร่วมมือกันโดยให้เกษตรกรมีราคาขั้นต่ำรับประกันสำหรับผลผลิตของตน และแม้พันธมิตรนี้จะอยู่ได้ไม่นาน คือเพียงหนึ่งปีเท่านั้น แต่พรรคแรงงานก็เปลี่ยนมาร่วมมือกับพรรคเสรีนิยม ซึ่งก็เป็นอดีตคู่ปรับเก่าเช่นเดียวกัน
และปีค.ศ.1935 (พ.ศ.2478) ก็คือจุดเริ่มต้นของยุคทองของพรรคแรงงาน ซึ่งจะปกครองนอร์เวย์อีกยาวนานหลายทศวรรษ และกำหนดทิศทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของประเทศ
รัฐบาลพรรคแรงงานยึดมั่นในวินัยงบประมาณ โดยแม้จะถูกกล่าวหาว่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย แต่พรรคแรงงานก็ตั้งเป้าเสมอที่จะรักษางบประมาณให้สมดุล
มีการขยายสวัสดิการโดยเพิ่มภาษีแทนการกู้ยืม โดยนโยบายสำคัญภายใต้รัฐบาลพรรคแรงงานก็ได้แก่ ขยายประกันสุขภาพ ครอบคลุมประชาชนจำนวนมาก มีสวัสดิการช่วยเหลือผู้พิการและผู้ตาบอด เงินบำนาญสำหรับผู้สูงอายุโดยพิจารณาตามฐานะ รวมทั้งสิทธิประโยชน์คนว่างงาน สำหรับแรงงานทุกคน
ผลลัพธ์ที่ได้คือจุดกำเนิดของรัฐสวัสดิการแบบนอร์ดิก
ผู้มีรายได้น้อยและกลุ่มเปราะบางเริ่มมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และสังคมนอร์เวย์ก็เริ่มเปลี่ยนจากประเทศเกษตรกรรมยากจน สู่สังคมที่ให้ความสำคัญกับความเสมอภาคและความมั่นคงทางสังคม
กล่าวได้ว่า ปีค.ศ.1935 (พ.ศ.2478) คือปีประวัติศาสตร์ที่กำหนดตัวตนรัฐสวัสดิการนอร์เวย์ ซึ่งจะเป็นแบบอย่างสำคัญให้กับประเทศนอร์ดิกอื่นๆ ในเวลาต่อมา
สิ่งที่โดดเด่นเกี่ยวกับนอร์เวย์ในยุค 30 (พ.ศ.2473-2482) นั่นคือ แม้เศรษฐกิจของประเทศจะแย่กว่าประเทศยุโรปส่วนใหญ่ในยุค 20 (พ.ศ.2463-2472) แต่กลับฟื้นตัวและเติบโตได้ดีกว่าหลายประเทศในยุค 30 (พ.ศ.2473-2482) ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจ เพราะนี่คือยุคที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจจากการล่มสลายของตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาในปีค.ศ.1929 (พ.ศ.2472)
ในเวลานั้นการส่งออกของนอร์เวย์ไม่ได้ขยายตัวมาก ในขณะที่หลายประเทศต้องพึ่งการส่งออกเพื่อฟื้นเศรษฐกิจ และแม้ไม่มีแรงขับจากการค้าต่างประเทศ แต่เศรษฐกิจนอร์เวย์กลับฟื้นตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้
ปัจจัยสำคัญก็คือ “ความมั่นคงของประชาธิปไตยและสังคม”
สาเหตุสำคัญหนึ่งคือ กระแสการเมืองหัวรุนแรง
ในยุโรปตอนใต้และตะวันออกได้เกิดเผด็จการเพิ่มขึ้น โดยในเยอรมนี สถานการณ์รุนแรงและปั่นป่วนจนกระทบเศรษฐกิจอย่างหนัก ตรงกันข้าม กลุ่มประเทศนอร์ดิกซึ่งรวมถึงนอร์เวย์ ยังคงรักษาประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมที่มั่นคง กฎเกณฑ์และระเบียบสำหรับภาคธุรกิจเอกชนก็มีเสถียรภาพและคาดการณ์ได้
สิ่งเหล่านี้สร้างความเชื่อมั่นและส่งเสริมการลงทุนระยะยาว
การที่ “พรรคสังคมประชาธิปไตย (Social Democrats)” ขึ้นสู่อำนาจ มีส่วนสำคัญในการลดความขัดแย้งระหว่างชนชั้นแรงงาน เกษตรกร และนายทุน ปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเกษตรกรและคนงาน และเสริมความเชื่อมั่นในสถาบันประชาธิปไตย ในขณะที่หลายประเทศในยุโรป สถาบันการเมืองและเศรษฐกิจกำลังล่มสลาย
สรุปได้ว่าในยุค 30 (พ.ศ.2473-2482) นอร์เวย์และประเทศนอร์ดิกอื่นๆ ได้รับโบนัสทางเศรษฐกิจจากความมั่นคงทางการเมืองและความเสมอภาคในสังคม แม้ไม่มีการส่งออกเพิ่มขึ้นมากนัก แต่การคงไว้ซึ่งประชาธิปไตย การลดความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้น และกฎระเบียบธุรกิจที่โปร่งใสและมั่นคง ทั้งหมดนี้ช่วยให้นอร์เวย์เติบโตได้ดีกว่าหลายประเทศในยุโรป ในช่วงที่ส่วนอื่นของทวีปกำลังเข้าสู่ยุคแห่งความวุ่นวายและเผด็จการ
และนี่ก็คือเรื่องราวความรุ่งเรืองและการเดินทางของนอร์เวย์ ตั้งแต่อดีตมาจนปัจจุบัน
โฆษณา