เมื่อวาน เวลา 17:53 • ความคิดเห็น
หากว่า นรกสวรรค์ การเวียนว่ายตายเกิด ตกนรก เป็นสัตว์อบายภูมิ เปรตอสุรกาย พบภูมิต่างๆไม่มีจริง ก็เหมือนว่า ..เรื่องราวคำสอน ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่สอนให้สร้างบุญกุศล หนีเรื่องราวของ นรกสัตว์เปรตอสุรกาย ก็เหมือนเรื่องนิทาน เหมือนว่าไม่มีจริง
คราวนี้ เมื่อเราอยากจะรู้จัก ในสิ่งเหล่านี้ เราก็สร้างบุญกุศลขึ้นมา เอาธาตุทั้งสองของพ่อแม่ ที่จิตเราอาศัยอยู่ มาสร้างบุญกุศลขึ้น ทำให้กายเรามีบุญ ปฏิบัติธรรมขึ้นมา ในรอยคำสอนของท่าน ในเรื่องราวที่พระสิทธัตถะ ไปนั่งอยู่ในป่า เราก็เรียนรู้ขึ้นมา ว่าท่านไปทำอย่างบ้าง เราก็เอามาฝึกหัด ขึ้นมา ทำให้ เกิดสิ่งหนึ่ง ที่เค้าเรียกว่า กายบุญ ทำกายให้นิ่ง จิตให้นิ่ง ลดละอารมณ์กรรม เอาน้ำดี ไปไล่น้ำเสีย สิ่งสกปรก ที่กายที่เราอาศัย นั้นมันมีแต่กรรม .
เราก็ปฏิบัติธรรมขึ้นมา ให้เป็นนิจสิน เจ็บป่วย ก็นำกายนี้ ปฏิบัติธรรมคลี่กรรม ที่กายเจ็บป่วย ก็ด้วยมีกรรม ..เราก็ทำขึ้น มา .ทำให้จิตเราเข้มแข็ง ปลดเปลื้องอารมณ์ ความเจ็บปวด ก็เป็นอารมณ์ ที่ต้ตเรามันยึดถือ ..ทำไปเรื่อย น้อมจิต อยู่กับพระ ..ภาวนาพุทโธั ให้เป็นนิจสิน . ให้ตาเราหูเราเบาบางจากอารมณ์โลภโกรธหลง .. เราก็มีโอกาส ได้พบเห็น .ด้วยการที่ทำกายเป็นบุญ ให้จิตนั้นมีแสงรัตนะ มาหนุนนำจิต ให้สว่าง เหมือนจุดเทียนขึ้นมา
กายนั่นเป็นเหมือนต้นเทียน จิตนั้น เป็นเไส้เทียน เราก็หาผู้ที่จุดไฟ ให้ไส้เทียนนั่นติดขึ้นมา เมือจุดเทียนขึ้นมาได้ เราก็ใช้แสง จิตที่มีแสงนั้น ไปส่องดูเรื่องราวต่างๆได้ แล้วต้องหมั่น พิจารณาอารมณ์ ต่างๆ ต้องใช้เหตุผลมาก สิ่งที่เป็นไปได้ สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ในเรื่องราวต่าง ที่เป็นมายาห้อมล้อมจิต
เรื่องราวของสีต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นอย่างไร สีเวรสีกรรม เป็นอย่างไร สีส้มสีแดงปนดำ สีของพวกคาถาอาคม .เป็นอย่างไร แล้วก็มาเรื่องราวของสีที่ทำให้จ้ตมีความสุข เรื่องของแสงรัตนะ ที่ช่วยคลี่คลาย สีดำสีม่วงสีกรมท่า สีของพวกคาถาอาคมออกไป
เรื่องราวของขันธ์ห้า ที่เปลี่ยนแปลง เช่น เรานั่งอยู่ เปลื่ยนกิริยาเป็นยืน ขันธ์ห้าเปลี่ยน แต่สังขารยังเปลี่ยน ..มันมีรายละเอียดมากมายก่ายกอง ..ในการเรียนรู้จัก คำว่าทุกข์ ..คนเรานั่นมันไม่รู้จักทุกข์กันจริงๆ หากรู้จักทุกข์ ก็ถึงคิดที่จะหนีทุกข์ หนีเรื่องราวที่ทำให้ต้องมาเกิดแก่เจ็บตาย.
เมื่อจิตเราเริ่มมีแสงสว่าง มีแสงสีของบุญเกิดขึ้น ถึงคราวนี้ ก็จะมี จิตฃงฃงที่เร่ร่อน ยังไม่ได้ไปเกิด เค้าเห็นแสงที่จิต เค้าก็จะมาขอบุญกุศล สิ่งหนึ่ง .จิตที่ไม่กายเป็นมนุษย์ เค้ามีแต่จ้ตที่เป็น สภาพนามธรรม จิตที่เร่ร่อน นั่นเค้าไม่มีตาหูเป็นมนุษย์ เค้าอยู่ในสภาพนามธรรม เค้าเห็นแต่จิตที่อาศัยกายมนุษย์ จิตดวงไหน สว่างมีแสงสีของบุญ เค้าก็ไปหามนุษย์ ที่มีจิตนั้นมีแสงของบุญกุศล
เรื่องราวการที่จะเรียนรู้ เรื่องราวของภพภูมิ เค้าก็มีคำหนึ่ง ที่เรียกว่า เข้านิโรธสมาบัติ ถอดจิตออกไปจากาย ไปเรียนรู้จักเรื่องภพภูมิ ไปจนถึงชั้นดาวดึงส์ เรื่องมิติต่างๆ ที่ต่างเรามองไม่เห็น แล้วการที่ตะไปเรียนรู้อย่างนั้นได้ ก็ต้องเข้านิโรธสมาบัติ แล้วก็ต้องมีกำหนดเวลาที่แน่นอน .ว่าไปนานแค่ไหน บางองค์ไปเพลิน กลับมา กายนั้นเสียหาย หมดลมไปแล้ว
เรื่องราวทำนองนี้ เรื่องราวทำนองนี้ มันเป็นเรื่องราวเหมือนปัจจัตตัว ที่ ..ธรรม ท่านก็สอนให้เรียนรู้จักเรื่อวภพภูมิ แล้วเค้าก็ดูว่า เรียนรู้แล้วจะหลงมั้ย เค้าให้ดูเป็นตัวอย่างว่า เมื่อจิตออกจากกายมนุษย์ นั้นใช้นิสัยกายวาจาใจ อย่างไร ..ทำไมไปเกิดที่นั้นที่นี้ ที่กรรมนั้นนำพาไปเอง เป็นผู้ที่สร้างกรรมเอง
พอเรียนรู้จักเรื่องราวเหล่านี้ ก็ไปยอกใครไม่ได้อีก เพราะเค้าไม่เขื่อกรอก เพราะเค้าอยู่กับกรรม การสร้างบุญกุศลก็ไม่มี ..บอกไปเค้า..ก็ว่า เพ้อเจ้อ. ไม่เคยเห็น เห็นแค่ที่มีลูกตาให้เห็น ที่จะเห็นด้วยจิต ย่อมเป็นไปไม่ได้เลย บ้างก็มีลูกตา .เอาไว้ อ่านเรื่องนั้นเรื่องนี้ หนังสือธรรม บรรยาย แต่ใช้สายตา อ่านธรรมอัตตา ที่ต้องใข้สายตาอ่าน ก็จดจำมา
ธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านฝากไว้กับดินฟ้าอากาศ ท่านไม่ได้ฝากไว้ กับผู้หนึ่งผู้ใด แม้พระอัครสาวกของท่าน ก็ไม่ได้ฝากไว้ เพราะพระสาวกของท่านก็ต้องจากโลกนี้ไป .
ใครอยากจะรู้จัก ธรรมของท่าน ก็สร้างทานบุญบารมี แล้วก็นำกายบิดามารดา มาเดินมาประพฤติปฏิบัติธรรม ตามรอยทั้งสี่ ยืน เดิน นั่ง นอน เพียรทำกายให้นิ่ง จิตให้เฉย
หากเราเรียนรู้จัก เรื่องราวของจิต ที่บำเพ็ญทานบุญบารมีได้ จนจิตหลุดพ้น นั่นก็ใช้เวลายาวนาน เป็นชาติ อสงไขยชาติ กว่าจะมาเจอะเจอ คำสอนของพระที่ท่านพ้นทุกข์ เจอแล้วก็เสี่ยงทายอีก จะพิจารณาเหตุผล แล้วก็ทำตามที่ทางชี้ทางให้ หากสติปัญญา บุญกุศลไม่เพียงพอ ไม่ได้สะสมมา ก็ไม่สามารถเดินตามรอยท่านได้เลย เหมื่อนว่า เจอแล้ว ก็ไม่สนใจ เหมือนเวลาที่ เราไปเห็นเค้าทำบุญบ้าน มีพระมาสวด พระก็สวดๆไป คนก็คุยกันไป เอาตาหูไปดูไปฟังเรื่องนั้นเรื่องนี้ สนุกสนาน .ก็ไม่สนใจที่นิมนต์พระมาสวด ..
กายนี่มันเป็นทุกข์ ต้องมีโรคภัย เจ็บปวด ก็เพียรพยายาม ทำกายนี้ ให้ไม่มีทุกข์ ที่เค้าว่า กายบุญ ..กายเป็นบุญ กุศลนำมาสร้างให้เป็นกายบารมี ที่จะทำกายให้นิ่ง จิตให้นิ่ง ก็ทำได้ ..กายนิ่ง จิตนิ่ง ..ไม่มีทุกข์ ..ไม่มีภาระ . ด้วยจิตที่ปัญญาธรรมเกิดขึ้น ..เรื่องราวเหล่านี้ จิตน้อยๆ ต้องอาศัย..จิตผู้ทำได้ ผ่านเรื่องราวของทุกข์ ด้วยจิตที่มีขันติเป็นบารมี จิตที่มีแสงรัตนะ ช่วยชี้ ทางให้เดิน ให้ศึกษา .รู้จักทุกข์ รู้จักกรรม ก็เข้าไปหาธรรม ..หนีเวรกรรม ด้วยจิตของตนเอง ไม่มีใครทำให้ใครได้ ..
. ส่วนเรื่องของคำว่าจิต..ที่เป็นนามธรรมอาศัยกายอยู่ ก็ไม่รู้จักได้เลย .คำว่าจิตที่อาศัยกายบิดามารดา ชาตินี้เป็นมนุษย์ ไม่รู้ว่า เมื่อหมดชาตินี้ ..จิตจะไปอาศัย กายเป็นอะไร..นั่นก็ควรเรียนให้จิตนั้นรู้จัก ให้มันรู้จัก ก่อนที่จะไม่มีกาย . เพราะเมื่อไม่มีกาย ..ก็ไม่สามารถเรียนรู้ขึ้นมาได้ ไม่สามารถสร้างบุญกุศล ปฏิบัติธรรมได้ .
เรื่องราวของผู้ที่ปฏิบัติ สร้างบุญกุศลบารมีมามาก เข่นว่า เป็นพระอเสขะ จิตของท่าน ไปไหนก็ได้ .เช่นว่า ไปเชียงใหม่ คิดว่าไป ..จิตท่านไปถึงเชียงใหม่ ธาตุทั้งสีก็ไปประกอบที่สถานที่นั่นเลย เป็นตัวตนของท่านเลย แล้ว เมื่อจะละสังขาร ท่านก็เหมือนมีสิทธิได้รับรู้ว่า จะละสังขาร วันเดืนปี ก็มีรายละเอียดให้ ที่เค้าว่า จิตเข้าถึงธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก็ไม่ใช่พระอรหันต์ แม้การสำเร็จศึกษาธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ที่รับรองให้ก็มีแต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ท่านรับรองให้..
แล้ว เมือ่บรรลุสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องพยุง ชำระสะสาง กายให้บริสุทธิ์ เป็นแก้วเจียระไน มีเรื่องของสัญญา ที่จะต้องอยู่ไปจนครบ เช่นว่า สามพันปี ห้าปี .เพื่อพยุงศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วยเหลือ ชี้แนะ ให้กับจิต ที่สะสมสร้างบุญกุศลบารมี ยุติการเกิด
มีพระองค์หนึ่งท่านเล่าว่า ..ก็ช่วยผู้ที่มาบวช ช่วยชี้แนะ แต่พอทำไปได้หน่อย หลงคิดว่าตนเองทำได้แล้ว หลงว่าตนเองดีแล้ว รู้แล้วๆ เหมือนว่าตัวเองมีบุญกุศลบารมี ก็ไปสอน .. พอสอนคน .คราวนี้ ตัวชื่อเสียง ลาภสรรเสริญเยินยอ เข้ามา ..เค้าก็ไปหลบ ท่านก็ต้องปล่อยเค้าไป เรื่องพายเรื่อทวนน้ำ ก็ไม่ทำ ปล่อยเรือไปตามน้ำ
โฆษณา