27 ส.ค. เวลา 02:09 • ยานยนต์

ขาย 30 ล้านคัน กำไรแพ้ Toyota? ถอดรหัสคำพูดเขย่าโลก กับความจริงที่อุตสาหกรรมรถยนต์จีนซ่อนไว้

ถ้ามีคนบอกว่า การขายรถยนต์ได้มากถึง 30 ล้านคัน ยังทำกำไรได้น้อยกว่าการขายรถยนต์แค่ 9 ล้านคัน ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่?
1
เรื่องนี้อาจฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ แต่กลับเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้วในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก และมันได้สั่นสะเทือนความเชื่อมั่นที่มีต่อมหาอำนาจด้านรถยนต์ไฟฟ้าอย่างประเทศจีน
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นจากคำพูดของบุคคลเพียงคนเดียว คือ หวง ฉีฟาน อดีตนายกเทศมนตรีนครฉงชิ่ง ซึ่งได้จุดประกายคำถามสำคัญขึ้นมาว่า เกิดอะไรขึ้นกับความสำเร็จที่ดูเหมือนจะยิ่งใหญ่ของอุตสาหกรรมรถยนต์จีน?
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ภาพที่เราเห็นคือการเติบโตอย่างก้าวกระโดดของแบรนด์รถยนต์จีน โดยเฉพาะในตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ที่มีแบรนด์อย่าง BYD ผงาดขึ้นมาท้าชิงบัลลังก์กับ Tesla ได้อย่างน่าจับตา
1
ด้วยการสนับสนุนมหาศาลจากรัฐบาลจีน ทำให้อุตสาหกรรมนี้ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ภาพลักษณ์ของรถยนต์จีนคือเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ดีไซน์ที่โดดเด่น และราคาที่เข้าถึงง่ายจนน่าตกใจ
แต่คำกล่าวของ หวง ฉีฟาน ทำให้เราได้เห็นความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังภาพลักษณ์อันสวยหรูนั้น และมันอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึง
เพื่อที่จะเข้าใจว่าทำไมจีนถึงตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ เราอาจต้องย้อนกลับไปดูปรัชญาการสร้างรถยนต์ของบริษัทที่ถูกนำมาเปรียบเทียบอย่าง Toyota
สิ่งที่ทำให้ Toyota ยืนหยัดในฐานะผู้นำของอุตสาหกรรมยานยนต์มาอย่างยาวนาน ไม่ใช่แค่เพราะตัวผลิตภัณฑ์ แต่เป็นเพราะ “ระบบการผลิตแบบโตโยต้า” หรือ Toyota Production System (TPS) ที่โด่งดังไปทั่วโลก
1
ระบบนี้ถือกำเนิดขึ้นในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ญี่ปุ่นขาดแคลนทรัพยากรอย่างหนัก Toyota จึงต้องคิดค้นวิธีที่จะผลิตรถยนต์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และลดความสูญเปล่าทุกชนิดให้เป็นศูนย์
หัวใจของมันคือความใส่ใจในทุกรายละเอียดอย่างน่าเหลือเชื่อ มีเรื่องเล่าว่า Toyota จะคำนวณแม้กระทั่งจำนวนก้าวเดินของพนักงานในสายการผลิต เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีการเคลื่อนไหวที่สูญเปล่าเกิดขึ้นแม้แต่วินาทีเดียว
4
หรือในทางวิศวกรรม พวกเขาอาจเปลี่ยนจากการใช้สลักเกลียวที่ยุ่งยาก มาเป็นการใช้คลิปที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ ซึ่งให้ความแข็งแรงเท่ากัน แต่กลับประหยัดวัสดุ ลดต้นทุน และทำให้น้ำหนักของรถเบาลง
3
ปรัชญาเช่นนี้เองที่หล่อหลอมให้รถยนต์ของ Toyota กลายเป็นสัญลักษณ์ของคุณภาพและความน่าเชื่อถือที่ลูกค้าทั่วโลกให้ความไว้วางใจ
2
ทีนี้ ลองตัดภาพกลับมาที่ผู้ผลิตรถยนต์หน้าใหม่ของจีนหลายราย พวกเขากลับเลือกเดินในเส้นทางที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง
2
แทนที่จะทุ่มเทให้กับรากฐานทางวิศวกรรม พวกเขากลับใช้เงินทุนและพลังงานส่วนใหญ่ไปกับการสร้าง “กิมมิค” หรือลูกเล่นทางการตลาดที่ดูมีสีสัน เพื่อดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคในตลาดที่มีการแข่งขันสูง
2
เราจึงได้เห็นฟังก์ชันอย่างหน้าจอสัมผัสขนาดยักษ์ที่หมุนได้ ตู้เย็นขนาดเล็กในรถ หรือแม้กระทั่ง “ฟังก์ชันเต้น” ที่รถสามารถขยับและกระโดดได้ ซึ่งกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์
1
ฟีเจอร์เหล่านี้อาจดูน่าตื่นตาตื่นใจในตอนแรก แต่ในความเป็นจริงแล้ว มันกลับเพิ่มต้นทุนที่ไม่จำเป็น และไม่ได้ช่วยปรับปรุงประสบการณ์การขับขี่หรือความปลอดภัยให้ดีขึ้นเลย
3
มีกรณีศึกษาที่น่าสนใจของรถยนต์ Great Wall Motors รุ่น Tank 300 ที่ถูกโปรโมตอย่างหนักว่าเป็นรถออฟโรดสุดแข็งแกร่ง แต่ในระหว่างการแสดงปีนขึ้นเนิน รถคันดังกล่าวกลับพลิกคว่ำอย่างง่ายดาย สะท้อนให้เห็นช่องว่างระหว่างภาพลักษณ์ทางการตลาดกับคุณภาพที่แท้จริง
8
เมื่อคุณภาพไม่ใช่จุดขายหลัก สิ่งที่ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือ “สงครามราคา”
1
ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา BYD ได้จุดชนวนสงครามครั้งใหญ่ด้วยการหั่นราคารถยนต์รุ่นยอดนิยมของตนเองลงอย่างมหาศาล การกระทำของผู้นำตลาดทำให้ผู้เล่นรายอื่นไม่มีทางเลือก นอกจากต้องกระโดดลงมาแข่งขันด้วย
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือหายนะสำหรับทุกฝ่าย อัตรากำไรของทั้งอุตสาหกรรมดิ่งลงเหว แต่ปัญหาที่น่ากลัวกว่านั้นคือ ภาวะสินค้าล้นตลาด
3
มีรายงานว่าสต็อกรถยนต์ใหม่ในจีนพุ่งสูงถึง 3.5 ล้านคัน ทำให้เกิดภาพ “สุสานรถยนต์ไฟฟ้า” ที่มีรถใหม่เอี่ยมหลายพันคันถูกจอดทิ้งร้างไว้กลางแจ้ง รอวันเสื่อมสภาพ
2
สงครามราคานี้ไม่เพียงแต่เผาผลาญกำไรของบริษัท แต่ยังสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อซัพพลายเออร์ ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อการควบคุมคุณภาพของชิ้นส่วนต่างๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
1
แล้วเมื่อเกิดปัญหาด้านคุณภาพขึ้น บริษัทที่ดีควรทำอย่างไร? คำตอบที่ถูกต้องคือการยอมรับและรีบแก้ไข แต่สำหรับผู้ผลิตรถยนต์จีนหลายราย พวกเขากลับเลือกใช้วิธีที่น่ากังวลกว่านั้น คือการ “ปิดปาก” คนที่ออกมาพูดความจริง
2
มีเรื่องราวของช่างซ่อมรถชื่อดังในปักกิ่ง “Brother Long” ที่ถูกบริษัทรถยนต์ 3 แห่งฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายมหาศาล เพียงเพราะเขาทำคลิปวิดีโอชี้ให้เห็นถึงข้อบกพร่องในการออกแบบของรถยนต์บางรุ่น
2
หรือในกรณีที่รุนแรงกว่านั้น คือเจ้าของรถยนต์ BYD คนหนึ่งที่ถูกตำรวจควบคุมตัวไปขังนานถึง 7 วัน หลังจากที่เขาโพสต์คลิประบายความในใจเกี่ยวกับปัญหารถของเขาลงบนโซเชียลมีเดีย
4
วัฒนธรรมการจัดการปัญหาเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่อยู่ลึกลงไปในระดับโครงสร้าง มันคือการเลือกที่จะแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ด้วยการกำจัดคนที่ส่งเสียง มากกว่าที่จะกลับไปแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ
3
เมื่อนำปัจจัยทั้งหมดมารวมกัน ทั้งการมุ่งเน้นที่กิมมิคมากกว่าคุณภาพ สงครามราคาที่เผาผลาญกำไร และวัฒนธรรมการปิดปากลูกค้า จึงไม่น่าแปลกใจที่สถานะทางการเงินของอุตสาหกรรมนี้จะออกมาน่าเป็นห่วง
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ลอนดอนเผยให้เห็นตัวเลขที่น่าตกใจ หนี้สินรวมของผู้ผลิตรถยนต์จีนพุ่งสูงเกือบ 1 ล้านล้านหยวน หรือประมาณ 5 ล้านล้านบาท ในขณะที่อัตรากำไรโดยเฉลี่ยลดลงเหลือไม่ถึง 1%
1
สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ ระยะเวลาการชำระเงินให้แก่ซัพพลายเออร์ที่ยาวนานขึ้นเรื่อยๆ ลองจินตนาการว่าเราทำธุรกิจที่ต้องรอเงินนานกว่า 7-8 เดือนกว่าจะได้ค่าสินค้าที่ขายไป มันสะท้อนถึงวิกฤตสภาพคล่องที่รุนแรงอย่างยิ่ง
2
มาถึงตรงนี้ คำถามสุดท้ายที่สำคัญที่สุดก็คือ ทำไมบุคคลระดับสูงอย่าง หวง ฉีฟาน ถึงกล้าออกมาพูดความจริงที่สวนทางกับนโยบายของรัฐบาล?
1
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่านี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการ “ส่งสัญญาณ” ที่มีความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่
2
มันอาจเป็นความพยายามที่จะเตรียมความพร้อมให้กับสาธารณชน สำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่กำลังจะเกิดขึ้น รัฐบาลจีนอาจตระหนักแล้วว่า พวกเขาไม่สามารถอัดฉีดเงินอุดหนุนเพื่อพยุงอุตสาหกรรมนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งอีกต่อไป
1
ภาพที่เกิดขึ้นนี้ มันคล้ายคลึงกับวิกฤตการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไม่นาน รูปแบบของมันเหมือนกันอย่างไม่น่าเชื่อ คือการเติบโตอย่างร้อนแรงด้วยเงินอุดหนุนและหนี้สิน จนเกิดภาวะฟองสบู่ และจบลงด้วยการล่มสลายที่เจ็บปวด
2
เรื่องราวของอุตสาหกรรมรถยนต์จีนจึงเป็นมากกว่าเรื่องของรถยนต์ แต่มันคือบทเรียนราคาแพงเกี่ยวกับอันตรายของแนวคิด “การเติบโตโดยไม่คำนึงถึงต้นทุนโดยรวม” หรือ Growth at all costs
5
มันแสดงให้เห็นว่า การเติบโตที่ขาดรากฐานที่แข็งแกร่งอย่างคุณภาพและความสามารถในการทำกำไรนั้น ไม่มีความยั่งยืน และสุดท้ายก็จะพังทลายลงมา
3
เพราะท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าเทคโนโลยีจะล้ำสมัยแค่ไหน หรือการตลาดจะน่าตื่นตาตื่นใจเพียงใด แต่รากฐานของธุรกิจที่ยั่งยืน ก็ยังคงเป็นเรื่องพื้นฐานอย่างคุณภาพและกำไรอยู่เสมอ
3
References : [reuters, ft, bloomberg, asia .nikkei, caixinglobal]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
1
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา