28 ส.ค. เวลา 04:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ

จีน พลิกฟื้นประเทศจากความอดอยาก สู่คู่แข่งของสหรัฐฯ ด้วยเวลาไม่ถึงชั่วอายุคน

“ไม่ว่าแมวนั้นจะสีอะไร ขอแค่จับหนูตัวใหญ่ได้ ก็ถือเป็นแมวที่ดี”
5
เพียงประโยคเดียวของชายร่างเล็กคนหนึ่ง ก็สามารถพลิกชะตากรรมของประเทศยักษ์ใหญ่ให้เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ
จากที่จีนเคยเป็นประเทศมหาอำนาจเบอร์ 2 แห่งโลกคอมมิวนิสต์ ตอนนี้จีนกลายมาเป็นประเทศมหาอำนาจเบอร์ 2 ของโลกทุนนิยม เป็นรองเพียงแค่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น
1
จนผู้นำสหรัฐฯ ในช่วงหลัง ๆ มานี้ ต่างนั่งไม่ติดเก้าอี้ เพราะกังวลว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง วันหนึ่งจีนอาจก้าวขึ้นมาเป็นประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีแซงหน้าสหรัฐฯ ได้สำเร็จ
ซึ่งสงครามการค้าที่ร้อนระอุในทุกวันนี้ ก็เป็นหนึ่งในความพยายามนั้น
แล้วอะไรคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้จีน กลายมาเป็นคู่แข่งที่สร้างความกังวลให้กับประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ได้มากขนาดนี้
MONEY LAB ขอต้อนรับเข้าสู่ ซีรีส์บทความ “Money Wheels” ท่องไปในกงล้อประวัติศาสตร์เศรษฐกิจ ผ่านตลาดหุ้น
หากไม่นับตลาดหุ้นฮ่องกง ก็ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้วประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้นจีนสมัยใหม่อย่าง ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ และตลาดหุ้นเซินเจิ้น เพิ่งเริ่มเปิดดำเนินการเมื่อปี 1990 หรือประมาณ 35 ปีที่แล้วเอง
1
เรียกได้ว่าบางคนที่อ่านบทความนี้ อาจจะมีอายุมากกว่าตลาดหุ้นจีนด้วยซ้ำ
1
ขณะที่ประเทศไทยเปิดตลาดหุ้นอย่างเป็นทางการไปก่อนถึง 15 ปีแล้ว
1
สาเหตุที่ทำให้จีนเพิ่งเริ่มมีตลาดหุ้นได้ไม่นาน ต้องย้อนกลับไปในปี 1978 หรือ 3 ปีหลังจากที่ตลาดหุ้นไทยเริ่มเปิดทำการ
1
ในตอนนั้นประเทศจีน เพิ่งเปลี่ยนผู้นำใหม่จากเหมา เจ๋อตง สู่เติ้ง เสี่ยวผิง
1
ในยุคที่เหมา เจ๋อตง ปกครองประเทศ จีนยังใช้ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์สุดโต่ง คือการทำให้สังคมจีนมีความเท่าเทียมกัน ไม่มีคำว่า “ธุรกิจ” และ “ทรัพย์สินส่วนตัว”
1
ระบบธนาคารและการเงินถูกทำลาย เพราะเหมา เจ๋อตง มองว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต่ออนาคตของประเทศจีน เหลือเพียงธนาคารเดียว คือธนาคารกลาง People's Bank of China ของรัฐบาล
1
ปัญญาชนในประเทศถูกเกณฑ์ไปใช้แรงงาน มหาวิทยาลัย ถูกมองว่าเป็นแหล่งบ่มเพาะของความไม่เท่าเทียมทางชนชั้น
องค์ความรู้ต่าง ๆ ที่ชาวจีนสั่งสมมา ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น เพราะเหมา เจ๋อตง อยากสร้างประเทศขึ้นมาใหม่ เป็นประเทศที่ทุกคนเท่าเทียมกันในทางอุดมคติ
2
แต่การทำแบบนั้น กลับยิ่งทำให้ชีวิตของประชาชนในประเทศมีความลำบากแร้นแค้นมากขึ้น
ผลผลิตทางการเกษตรก็ย่ำแย่ เพราะดึงแรงงานที่ไม่มีความรู้ด้านการเกษตรมาทำงาน ซ้ำร้ายจีนยังเกิดภัยแล้งรุนแรงในยุคนั้นพอดิบพอดีอีกด้วย
1
ผลคือประชาชนในประเทศหลายล้านคนต้องเสียชีวิตเพราะความอดอยาก
1
ตอนนั้นทุกคนในประเทศรู้ดีว่า จีนกำลังเดินไปผิดทาง ไม่เว้นแม้แต่คนในพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่ทุกคนก็ไม่กล้าขัดคำสั่งผู้นำสูงสุดอย่างเหมา เจ๋อตง
1
ต้องรอให้เหมา เจ๋อตง เสียชีวิตไปก่อน ถึงเริ่มมีการคุยกันในพรรคคอมมิวนิสต์จีนว่า การบริหารประเทศด้วยแนวคิดแบบคอมมิวนิสต์ ไม่ใช่ทางเลือกที่จะทำให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
2
และคนที่มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของจีนให้กลับมาอีกครั้งก็คือ เติ้ง เสี่ยวผิง หนึ่งในสมาชิกที่มีอิทธิพลในพรรคคอมมิวนิสต์จีน
1
ซึ่งประโยคคลาสสิกที่ว่า “ไม่ว่าแมวนั้นจะสีอะไร ขอแค่จับหนูตัวใหญ่ได้ ก็ถือเป็นแมวที่ดี” คือประโยคที่เขาเคยพูดไว้ ตั้งแต่ในช่วงที่เหมา เจ๋อตง ยังมีชีวิตอยู่
2
ประโยคนี้เองสะท้อนความคิดของ เติ้ง เสี่ยวผิง ที่ว่า เขาไม่ได้สนใจว่าจีนจะมีเศรษฐกิจแบบทุนนิยม หรือคอมมิวนิสต์ แต่ขอแค่ประชาชนจีนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นก็พอ
2
โดยเติ้ง เสี่ยวผิง ค่อย ๆ เปิดเสรีในภาคการเกษตร และภาคอุตสาหกรรม อนุญาตให้แรงงานสามารถเป็นเจ้าของที่ดิน และโรงงานได้
1
ผลผลิตส่งให้รัฐแค่บางส่วนก็พอ หากผลผลิตเหลือก็สามารถนำไปขายหากำไรได้ ทำให้เกิดแรงจูงใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
1
พร้อมจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นมา เพื่อให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนโดยเฉพาะ สำหรับเป็นโมเดลในการพัฒนาอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีน
1
และเมืองที่ได้รับเลือกเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษนี้ก็คือ เซินเจิ้น ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฮ่องกง..
1
จำได้ไหมที่บอกว่า จีนภายใต้การปกครองของเหมา เจ๋อตง ทำให้ผู้คนอดอยากแร้นแค้น
ในตอนนั้นถ้าเรายืนอยู่ในเซินเจิ้นแล้วมองข้ามฝั่งไปที่ฮ่องกง ภาพของฮ่องกงจะต่างจากจุดที่เรายืนราวฟ้ากับเหว
1
เพราะฮ่องกงซึ่งในเวลานั้น เป็นพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักร โดยมีการทำสัญญาเช่าพื้นที่กับจีนเป็นเวลา 99 ปี มาตั้งแต่ปี 1898 และมีกำหนดส่งคืนให้จีนในปี 1997
1
เป็นเมืองท่า สุดทันสมัย มีเรือเข้าออกกันอย่างเนืองแน่นทั้งวันทั้งคืน ไม่ต่างจากลอนดอน หรือนิวยอร์กเลย
1
เนื่องจากในช่วงการปกครองของเหมา เจ๋อตง ผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อย ย้ายฐานการผลิตออกจากจีน มายังฮ่องกง
อีกทั้งฮ่องกงเองก็เป็นเมืองท่าปลอดภาษี มีโครงสร้างพื้นฐานที่ครบครัน ทั้งท่าเรือ สนามบิน และระบบขนส่ง จึงกลายเป็นทั้งศูนย์กลางการค้าและการเงินที่สำคัญของเอเชีย
1
การเลือกเมืองเซินเจิ้นให้กลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรก จึงเป็นเหมือนกับหมากตัวแรกที่เติ้ง เสี่ยวผิง ตั้งใจวางเอาไว้ในแผนการพัฒนาประเทศจีน
1
ทีนี้เมื่อจีนเปิดประเทศ พร้อมกับการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เซินเจิ้น ก็ได้อาศัยหนึ่งในกลุ่มทุนที่ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจในยุคแรก
นั่นคือกลุ่มทุนชาวจีนและชาวต่างชาติในฮ่องกง ที่พาโรงงานอุตสาหกรรมที่อยู่ในฮ่องกง ย้ายฐานการผลิตกลับเข้ามาในเซินเจิ้น ซึ่งเป็นจีนแผ่นดินใหญ่ ทำให้จีนได้เริ่มฟื้นฟูภาคอุตสาหกรรมการผลิตของตัวเอง
1
แต่ถึงแม้โรงงานจีนจะมีปริมาณสินค้าที่ผลิตได้สูง ทว่าคุณภาพแรงงานในขณะนั้นยังต่ำ จึงเกิดวลีที่คุ้นหูชาวไทยในสมัยก่อนว่า “ของก๊อบเซินเจิ้น”
จริง ๆ แล้วคำพูดนี้ เป็นสิ่งที่อธิบายนโยบายการพัฒนาเทคโนโลยีของประเทศจีน ในยุคเติ้ง เสี่ยวผิง ได้ดีที่สุด เพราะในยุคนั้น เติ้ง เสี่ยวผิง มองว่าจีนยังไม่มีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง
1
วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้เทคโนโลยีจากต่างชาติ คือการทำซ้ำขึ้นมา หรือที่เราเรียกว่าก๊อบปี้นั่นเอง
2
ซึ่งวิธีการสร้างเทคโนโลยีแบบนี้ ก็กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมของผู้ประกอบการบริษัทเทคโนโลยียุคใหม่ในเซินเจิ้น
1
อย่างที่ หวัง ซิง ผู้ก่อตั้งแพลตฟอร์มขนส่งอาหาร Meituan ของจีน เคยบอกว่า สำหรับผู้ประกอบการชาวจีน การก๊อบปี้ไม่ใช่เรื่องที่น่าละอาย เพราะสิ่งสำคัญกว่าก็คือ ใครสามารถก๊อบปี้ แล้วนำไปสร้างรายได้ได้มากกว่ากัน
1
จากความสำเร็จของเซินเจิ้น ทำให้เติ้ง เสี่ยวผิง ขยายเมืองเขตเศรษฐกิจพิเศษออกไปยังหลายพื้นที่ เช่น จูไห่ กว่างโจว ฝูโจว เซี่ยงไฮ้
1
การปฏิรูปเศรษฐกิจด้วยการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษในหลายเมือง ทำให้เกิดสังคมเมืองขึ้นมาในจีนอย่างรวดเร็ว
1
การลงทุนย้ายฐานการผลิต และการสร้างเมืองขนาดใหญ่เพื่อรองรับแรงงานที่จะไหลเข้ามาทำงาน ล้วนต้องการเงินทุน
ระบบธนาคารและการเงินของจีน จึงกลับมาผลิบานอีกครั้ง
เกิดเป็นกลุ่มธนาคารของรัฐ 4 แห่ง ที่เรียกว่ากลุ่ม “Big Four” ประกอบไปด้วย
2
1. ธนาคาร Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) ทำหน้าที่หลักในการจัดหาเงินทุนให้กับภาคธุรกิจ
2. ธนาคาร Agricultural Bank of China (ABC) จัดหาเงินทุนให้กับภาคการเกษตร และในพื้นที่แถบชนบท
3. ธนาคาร Bank of China (BOC) ทำหน้าที่ดูแลการค้าและเงินตราต่างประเทศ
4. ธนาคาร China Construction Bank (CCB) ทำหน้าที่จัดหาเงินทุนในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ธนาคารทั้ง 4 แห่งมีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจจีนยุคใหม่เป็นอย่างมาก สะท้อนได้จาก 10 บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นฮ่องกงในปี 2008 มีธนาคารและสถาบันการเงินติดอันดับถึง 5 ใน 10 ประกอบไปด้วย
1
ICBC อันดับ 3, CCB อันดับ 4, HSBC อันดับ 5, BOC อันดับ 6 และ China Life Insurance อันดับ 7
ส่วนอันดับ 1 และอันดับ 2 คือ PetroChina รัฐวิสาหกิจปิโตรเลียมของจีน และ China Mobile รัฐวิสาหกิจโทรคมนาคมของจีน
ซึ่งนอกจากธนาคารในจีนจะได้รับอานิสงส์จากการค้า การลงทุนสร้างนิคมอุตสาหกรรมการผลิตขึ้นทั่วประเทศแล้ว
ธนาคารในจีนยังมีบทบาทสำคัญในการปล่อยกู้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของจีนที่กำลังเติบโตตามสังคมเมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วในจีนอีกด้วย
ประกอบกับชาวจีนยังนิยมลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มากกว่าลงทุนในตลาดหุ้น ด้วยการมีบ้านหลังที่ 2 และหลังที่ 3 อันเป็นเรื่องปกติของชาวจีนที่มีกำลังซื้อ ทำให้อสังหาริมทรัพย์จีน มีความต้องการซื้อจำนวนมาก
1
กลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เช่น Evergrande Group บริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ที่สุดของจีน ที่ก่อตั้งในปี 1996 จึงได้ประโยชน์ไปเต็ม ๆ
ก่อนที่รัฐบาลจีนจะเข้ามาลดการเก็งกำไรในภาคอสังหาฯ ในปี 2020 และ Evergrande Group ก็ต้องล้มละลายไปในที่สุด
1
จะเห็นได้ว่าในยุคแรก บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในจีน มักจะเป็นบริษัทที่เป็นรัฐวิสาหกิจ ในอุตสาหกรรมยุคเก่าอย่าง น้ำมัน โทรคมนาคม และธนาคาร
1
แต่ในช่วงเวลาที่จีนเปิดประเทศไม่นานหลังจากนั้น เทคโนโลยีพลิกโลกอย่างอินเทอร์เน็ตก็ได้ถือกำเนิดขึ้น
ในช่วงนี้เองที่ผู้ประกอบการจีนหน้าใหม่ ต่างกำลังซุ่มสร้างอาณาจักรธุรกิจบนโลกออนไลน์ขึ้นมาอย่างเงียบ ๆ แบบไม่มีใครสังเกตเห็น
พอรู้ตัวอีกที คนจีนก็ซื้อของจาก Alibaba ส่งข้อความหากันผ่าน WeChat หาข้อมูลผ่าน Baidu Search สั่งอาหารผ่าน Meituan เรียกรถผ่านแอป DiDi นั่งดูคลิปสั้นใน Douyin (แอป TikTok ในจีน) ไปเสียแล้ว
2
บริษัทเทคโนโลยีในจีนเติบโตขึ้นมาแซงหน้ารัฐวิสาหกิจของรัฐบาลจีน อย่างที่ไม่มีใครสังเกตเห็นมาก่อน รู้ตัวอีกทีก็ขาดบริษัทพวกนี้ไปไม่ได้แล้ว
ทำให้ในปัจจุบันบริษัทที่ใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรกในตลาดหุ้นฮ่องกงก็ประกอบไปด้วยบริษัทเทคโนโลยีมากมาย เช่น
- Tencent บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาดหุ้นฮ่องกงในขณะนี้ เจ้าของแอปส่งข้อความ WeChat
1
- Alibaba บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับ 2 เจ้าของแพลตฟอร์ม E-Commerce
1
- Xiaomi บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับ 6 ผู้ผลิตสมาร์ตโฟน และอุปกรณ์ไฟฟ้าอัจฉริยะแบบ IoTs
- NetEase บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับ 9 ผู้พัฒนาเกมคอมพิวเตอร์ และเกมมือถือรายใหญ่
- Meituan บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับ 10 เจ้าของซูเปอร์แอป ที่ให้บริการผู้ใช้งานหลากหลาย ตั้งแต่สั่งอาหาร เรียกรถ จองโรงแรม ไปจนถึงซื้อของออนไลน์
เรียกได้ว่า 5 ใน 10 ของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้นฮ่องกง เปลี่ยนจากธุรกิจการเงิน มาสู่ธุรกิจเทคโนโลยีเรียบร้อยแล้ว ไม่ต่างอะไรจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ตอนนี้เต็มไปด้วยบริษัทเทคโนโลยีเลย
1
จะเห็นได้ว่า แม้จีนจะเดินผิดทางในตอนแรก จนต้องแลกกับชีวิตของประชาชนที่ต้องตายเพราะความอดอยากนับล้านคน
แต่จีนก็เรียนรู้ และยอมรับความผิดพลาด หันกลับมาใช้วิธีการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
2
ผ่านมาไม่ถึง 50 ปี นับจากจีนเปิดประเทศ ตอนนี้จีนกำลังไล่กวดสหรัฐฯ แบบหายใจรดต้นคอกันแล้ว
1
อย่างไรก็ตาม แม้ในเรื่องเศรษฐกิจ จีนจะใช้ระบบทุนนิยม แต่ด้วยระบบการปกครองที่เป็นสังคมนิยมอยู่
ก็ทำให้ทุนนิยมในประเทศจีน ไม่ได้เสรีแบบสหรัฐฯ เสียทีเดียว เพราะพรรคคอมมิวนิสต์จีนยังมีอำนาจแทรกแซง และมีส่วนร่วมในการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจในระดับสูง
ดังที่เราเคยเห็นกันในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่มีการสั่งจัดระเบียบบริษัทเทคโนโลยี และยุบธุรกิจกวดวิชา เพียงแค่พรรคคอมมิวนิสต์จีนออกมากำหนดว่าธุรกิจกวดวิชา ต้องกลายมาเป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร
2
ซึ่งเรื่องนี้ก็เคยทำให้บริษัทอย่าง TAL Education บริษัทกวดวิชาที่มีมูลค่ามากที่สุดของจีนที่อยู่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก มูลค่าหายไป 1.8 ล้านล้านบาท ภายในปีเดียว หรือร่วงจากจุดสูงสุดถึง 95%
2
เรื่องนี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติ เริ่มเห็นถึงความเสี่ยงของการลงทุนในบริษัทจีน ว่าอาจมีความเสี่ยงเรื่องการควบคุมจากภาครัฐ ที่ยากต่อการประเมินความเสี่ยงมากกว่าที่คิด
ก็เป็นที่น่าติดตามเหมือนกันว่า การแข่งขันกันระหว่างประเทศทุนนิยมทั้ง 2 ที่มีแนวทางแตกต่างกัน สุดท้ายแล้วใครจะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ของโลกในอนาคต
แต่อย่าลืมว่า ก่อนที่จีนจะก้าวขึ้นมาแข่งกับสหรัฐฯ แบบหายใจรดต้นคอกันอย่างทุกวันนี้
ก็เคยมีหนึ่งประเทศที่เคยเป็นผู้ท้าชิงมหาอำนาจเบอร์ 1 จากสหรัฐฯ เหมือนกัน
1
จนถูกสหรัฐฯ จัดการด้วยสงครามการค้า แบบเดียวกับที่จีนโดนในทุกวันนี้ ที่เราจะเก็บไว้พูดถึงในตอนต่อไป..
#ลงทุน
#เศรษฐกิจจีน
#MoneyWheels
1
โฆษณา