1 ก.ย. เวลา 07:21 • ธุรกิจ

🎯 “ทำหน้าที่ของเราให้ดีก็พอ” — วลีที่ความจริงกำลังทำลาย Teamwork ของคุณ

ทำไมการทำงานแบบ “ต่างคนต่างเก่ง” อาจสร้างผลลัพธ์ที่เลวร้ายกว่าที่คิด และ “เป้าหมายร่วม” ต่างหากคือสิ่งที่สำคัญกว่าความสมบูรณ์แบบของงานส่วนตัว
💥 คำพูดปลอบใจในวันที่ทีมกำลังพังเช่น?
ในทุกครั้งที่ทีมสะดุด ความขัดแย้งปะทุ หรือโปรเจกต์เริ่มหลุดทิศทาง… มักมีประโยคหนึ่งดังขึ้นมา
“ช่างมันเถอะ…เราทำหน้าที่ของเราก็พอแล้ว”
ฟังเผินๆ มันคือความรับผิดชอบแบบมืออาชีพ แต่ในเชิงลึก นี่อาจเป็นคำประกาศว่า
“ฉันจะหยุดรับผิดชอบต่อภาพรวมแล้ว”
คำพูดนี้ทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองพ้นผิดแล้ว เพราะเราก็ทำดีที่สุดในส่วนของเราแล้ว แต่ความจริงคือ เมื่อทุกคนยึดแนวคิดนี้พร้อมกัน องค์กรก็จะกลายเป็นฝูงของคนทำงานที่ต่างคนต่างพายเรือของตัวเองโดยไม่รู้ว่ากำลังไปทางไหน
====
🎻 วงออร์เคสตราที่ทุกคนเล่นดี...แต่ไม่ฟังกันเลย?
* ลองนึกภาพนักดนตรีระดับโลกมาอยู่บนเวทีเดียวกัน ทุกคนแม่นยำ เป๊ะ และอินกับโน้ตของตัวเอง
* แต่ไม่มีใครฟังเสียงรอบข้าง ไม่มีใครมองวาทยกร
* สิ่งที่ควรจะเป็นบทเพลงไพเราะจึงกลายเป็นเสียงที่อึกทึกสับสน ไร้ทิศทาง ไร้ความหมาย
* นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในองค์กรที่ไม่มี “ความเชื่อมโยง” ระหว่างงานแต่ละชิ้น ทุกคนทำดีในของตัวเอง แต่ผลลัพธ์รวมกลับล้มเหลว
เพราะการทำงานร่วมกันไม่ใช่แค่การเอางานส่วนตัวมาวางเรียงกัน มันคือการออกแบบให้ทุกงาน “พูดคุยกัน” และเสริมพลังกันได้
====
🚨 สัญญาณอันตรายของวัฒนธรรม “ต่างคนต่างทำ”
1. Silo Effect — ขาดมุมมองภาพรวม
ทีมขายอาจเร่งปิดดีลโดยไม่สนว่าฝ่ายปฏิบัติการจะผลิตตามที่สัญญาไว้ได้หรือไม่ ทีมโปรดักต์อาจทำฟีเจอร์ที่ตัวเองคิดว่าดี แต่ไม่ตอบโจทย์ลูกค้าเลย เพราะไม่เคยคุยกับทีมบริการลูกค้า
2. Collaboration = แค่ไม่ทะเลาะกัน
หลายคนเข้าใจว่าทำงานเป็นทีมต้องกลมเกลียวเสมอ ซึ่งผิด ความขัดแย้งเชิงสร้างสรรค์ (Constructive Conflict) คือหัวใจของทีมเวิร์คที่แข็งแรง เราไม่ได้ต้องการทีมที่เงียบ...แต่ต้องการทีมที่กล้าพูดในสิ่งที่จำเป็น
3. นิยามของความรับผิดชอบ = แค่ส่งต่องานให้ทัน
ความรับผิดชอบที่แท้จริงไม่ใช่แค่ “ฉันทำของฉันเสร็จ” แต่มันคือ “งานของฉัน ทำให้งานของทั้งทีมไปต่อได้หรือเปล่า?”
ความสำเร็จรายบุคคลที่ไม่ส่งเสริมเป้าหมายรวม คือความล้มเหลวที่มีต้นทุนแฝงสูงที่สุด
====
🧭 จาก “แบ่งงาน” สู่ “แบ่งเป้าหมาย”: บทบาทใหม่ของผู้นำและทีม
“สำหรับผู้นำ”
🔭 One Goal, One Language
ผู้นำต้องทำให้ทุกคนตอบคำถามเดียวกันให้ได้ว่า "เรากำลังพายเรือลำเดียวกันไปที่ไหน?" เป้าหมายร่วมต้องถูกย้ำซ้ำๆ จนกลายเป็นภาษากลางของทีม
⚖️ Conflict by Design
ออกแบบบทบาทให้เกิดแรงต้านอย่างสร้างสรรค์ เช่น ฝ่ายการตลาดอาจอยากให้แคมเปญแรงที่สุด ฝ่ายการเงินอยากควบคุมต้นทุน บทบาทของผู้นำคือทำให้แรงเสียดทานนี้กลายเป็นแรงเหวี่ยงที่พาองค์กรไปข้างหน้า ไม่ใช่หยุดนิ่ง
🏆 Incentive ต้องสะท้อนเป้าหมายทีม
เลิกให้รางวัลแบบ “คนเก่งคนเดียว” แต่ให้รางวัลกับ “ทีมที่ช่วยกันทำให้คนเก่งคนนั้นประสบความสำเร็จได้”
“สำหรับสมาชิกทีม”
❓ เริ่มต้นด้วยคำถาม ไม่ใช่ด้วย Task
แทนที่จะเริ่มเช้าวันจันทร์ด้วย To-do List ลองเริ่มด้วยคำถามว่า “ฉันช่วยให้ทีมเข้าใกล้เป้าหมายได้มากขึ้นอย่างไร?”
🔗 มองงานตัวเองเหมือนห่วงโซ่ ไม่ใช่กล่องแยก
ใครได้ผลกระทบจากสิ่งที่ฉันทำ? และฉันได้รับผลกระทบจากใคร? การเข้าใจระบบเชื่อมโยงของทีมทำให้เราทำงานเชิงรุกได้มากกว่ารอปัญหาเกิด
====
✨ นิยามใหม่ของ “การทำหน้าที่ให้ดีที่สุด”
* การทำหน้าที่ที่ดี ไม่ได้จบที่ Check-list ส่วนตัว แต่เริ่มที่ความเข้าใจในบริบทของงานคนอื่นด้วย
* คุณไม่ได้เก่งที่สุด เพราะคุณทำของตัวเองได้ดี
แต่คุณเก่งที่สุด เพราะคุณทำให้ ทีมทำงานได้ง่ายขึ้น
* สุดท้ายแล้ว ไม่มีใครจำได้ว่าคุณทำ Slide สวยแค่ไหน…แต่ทุกคนจะจำได้ว่า “คุณเป็นคนที่ทำให้โปรเจกต์นี้สำเร็จได้หรือเปล่า?”
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#Teamwork
#Collaboration
#OneGoal
#SiloEffect
#OrganizationalCulture
#Leadership
#ไม่เก่งคนเดียวแต่เดินไปด้วยกัน
โฆษณา