1 ก.ย. เวลา 14:23 • ปรัชญา
เรื่องราวหนึ่ง ที่จิตมาอาศัย ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง บันทึกจดจำมา ตั้งแต่เด็ก คนคนว่า ไอ้นี้ไอ้นั้น ศักดิ์สิทธิ์ ทำอย่างนี้นะ จะได้บุญ .เทพองค์นั้นองค์นี้ พระพิฆเนศ พระแม่อุมา ท้าวเวสสุวรร่ณ เค้ามีรูปร่างอย่างนี้น่ะ เอาไปกราบไหว้ เอาอะไรยึดถือ มากมายก่ายกอง ตะกรุดผ้ายันต์ ไปไหนก็แขวนห้อยไปด้วย ปลักขิก ก็ห้อยที่เอว พอจะเดือนผ่าน ช่องตรวจวัตถุ เครื่ิองมันก็ร้องต้องเอาปลัดขิก ออกมาวางโชว์..ทำเอาพนักงานสาวๆ ที่ยืนดู .หน้าแดง.หัวร่อ..เพรามันไม่ใช่ชิ้นเล็ก มันชิ้นใหญ่.
คราวนี้ เราก็มีโอกาส ได้ฟังพระปฏิบัติ เล่าเรื่องการเข้านิโรธ แล้วจิตก็ขึ้นไปถึงชั้นดาวดึงส์ ไปพบเจอองค์ปูท้าวสักกะ เทวราช ท่านก็บอกว่าจะไปเข้าแดนพระนิพพานมั้ย ท่านบอกว่า อยากเข้าไปดู ท่านก็มาดึงแท่งที่หน้าออกอกไป บอกว่า เมื่อออกทาให้มารับคืนไป
คราวนี้ ท่านกเล่าเรื่อง การไปชมวิมา ก็ที่เจอเจอ เทพต่างๆ เช่น พระพิฆเนศ พระแม่อุมา พระศิวะ พระกฤษณะ ท่านก็เป็นเทพ ต่างก็ยังเดินทางไป ไม่ถึงแดนพระนิพพาน
ครั้งหนึ่ง เราก็ทำบุญน้อมถวายพระพิฆเนศ ท่านก็มายืนยันว่า ฉันเป็นเทพ จะมีรูปร่างเป็นช้าง สัตว์เดรัจฉานได้อย่างไร ใคร่เอารูปนั้นมาบูชา สติปัญญาเค้าจะฟั่นเฟือน แก่ไปก็จะหมดเนื้อหมดตัว อยากรู้ว่า ฉันสอนอะไร ก็ให้ เขียนชื่อฉันกราบไหว้บูชา แล้วฉันจะสอนให้ว่า ดีชั่วเป็นอย่างไร อยากทำบุญกับฉัน ก็ต้องไปหามา ใช้แรงกายให้เหน็ดเหนื่อย แบ่งมาทำบุญ อย่างนั้นฉันไม่รัย เงินที่มาจากหวย การพนันเอารัดเอาเปรียบคนอื่นมา ฉันไม่รับ
เรื่องพระพิฆเนศ นี่มันทำให้อดขำไม่ได้ โอ้ย .มันเขียนไปได้ กำเนิด พระพิฆเนศ ว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ รู้ไปถึงว่า พระพิฆเนศ เกิดมาอย่างนั้นอย่างนี้ ..อารมณ์มันอุปโลกน์ให้เขื่ออย่างนี้ คนรุ่นต่อมา ก็บอกต่อๆกันไป..แต่หาคนที่เข้าไปถึง ทำจิตเข้าถึงนั้นยาก จะให้ดีก็ทำให้ได้ ว่าเทพนั้นอท้จริงเป็นอย่างไร
เรื่องราวพระกฤษณะ ท่านก็เล่ามา ว่า มาช่วยสงเคราะห์ให้คนเห็นอกเห็นใจกัน ในยุคที่มีแต่ความหฤโหด เข่นฆ่ากัน ญาติพี่น้องก็เข่นฆ่ากันเอง
เรื่องปู่ท้าวเวสสุวรรณ องค์จริงท่านก็เป็นเทพ ดูแลเรื่องอบายภูมิ คนก็เอารูปยักษ์มาเขียน แล้วเอาขื่อท่านมาอ้างว่า รูปร่างอย่างนั้น อย่างนี้ กันผี อย่างนั้นอย่างนี้ เสกเป่าเขียนคาถาลงไป คนทำเองทั้งนั้น แล้วไอ้ที่อยู่กับ ติดกลับรูปนั่น แท้จรงนั้น ก็เป็นจิต ที่เร่ร่อน กติดอยู่ ล่ามโซ่อยู่กับสิ่งนั้นรูปนั้น ที่อารมณ์คนมันอุปโลกน์ขึ้นมา
เรื่องราวของพระแม่อุมา ท่านก็เป็นเทพ รูปร่างสวยงามใจดี ส่วนที่เป็นรูปน่าเกลียดน่ากลัว เป็นเรื่องราวของธรรม บอกเรื่องราวของอารมณ์โกรธโมโห ที่แสดงออกมา ทางหน้าทางตา เลือดในกายก็วิปริต ผิดปกติ .มันน่ากลัวมั้ย ..หากเหว่าน่ากลัว ก็อย่าไปใช้อารมณ์โกรธโมโห น่าตามันจะเป็นยักษ์ ใครเค้าเห็นก็ถอยหนี่ .แล้วเรืองอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่กาย มันก็แสดงออกมาท่างหน้าทางตา
เมื่อเราชอบใช้อารมณ์ กายมันก็ต้องเหน็ดเหนื่อย ปวดเมื่อย เหมือน อารมณ์นั้นเฆี่ยนตีที่กาย ทั้งกายทั้งจิต ก็ทุกข์ทรมาน .แล้วเราก็ไปผ่านไป อารมณ์โกรธโมโห เกิดกี่ขึ้น ก็ไม่เคย ทบทวน อารมณ์ที่เกิดขึ้นที่ตัวเอง ก็เที่ยวโทษคนนั้นคนนี้ มาทำให้โกรธ ทำให้ไม่พอใจ.. แต่ไม่เคยมีสติ มาทบทวนทำความรู้จักอารมณ์ที่เกิดจึ้นที่ตัวเอง
เรื่องราวศาสนา นั้นก็มีคำสอนดี ให้เราฝึกหัด อาศัยกายมาฝึกหัด ..อะไรหลายอย่าง ต้องฝึนอารมณ์ตัวเอง ต้องฝืนความขี้เกียจ อุปสรรคต่าง ก็อารมณ์ที่ปรุงแต่งกายนั้น มันคอยบอกไม่ให้ทำ ไม่ให้ฝึกหัด ยิ่งมาเจอะรอยของฃศาสนา ที่นำพาให้พ้นทุกข์ บรรเทาทุกข์ ทางนี้เหมือนเป็นทางแก้ว ไต่ขึ้นที่สูง มันก็เลยยากที่ตะทำได้ ก็ไปเดินทางที่มันสบาย ยึดเอาวัตถุสิ่งของมาบำรุงแค่กาย ส่วนจิตของตัวเอง ก็มองตัวเอวไม่ออก ว่าจมอยู่กับอะไีร มันมีแต่จมลงไปๆ แก่เฒ่าชราตาย โมฆะไปชาติกนึ่ง ที่ได้กายมนุษย์ ..
เราเคยถาม ว่าพวกแอบอ้าง ร่างทรง อ้าวเทพองค์นั้นองค์นี้ แทนจริงแล้วพวกที่ มาทรงนั้นก็เหมือนสัมภเวสี ไม่เคยเห็นเทพเลย แต่ก็เอาชื่อท่านมาอ้างจะได้กินเครื่องเซ่น บ้างก็อ้างพระปู่ชีวก มาทรง.. เอาเข้าไป .แล้วก็ถูกเก็บ จู่ก็สิ่นลมตาย
เรื่องราวต่างนั้น ..เรื่องจริง ก็มีแต่ คนเราทำไม่ได้ ก็ให้อารมณ์สมมุติอุปโลกน์ไปก่อน .แล้วยังมีผีสิบแปดมงกุฎ ก็เหมือนคนเรานั้นแหละ หลอกกันเอง เอาอารมณ์ปรุงแต่งมาหลอกกัน เรื่องร่างทรง นั้น ของจริงๆ นั้นก็มี หากเป็นเทพ ท่านก็พูดจาดี ไม่มีคำผรุสวาท อวดเก่ง ท่านก็สอนให้ทำบุญ สร้างกุศล เงินทองนั้นใครเอาไปใส่มือ ท่านก็ถอยออก คนทรงไม่มีการประพฤติปฏิบัติธรรม มีแต่ความโลภอยู่เต็มตัว .อยากได้เงินทอง เทพที่ไหนจะมาลงคลุกโคลนตม
โฆษณา