1 ก.ย. เวลา 17:10 • ปรัชญา
ในอารมณ์ .กายที่มีอารมณ์ปกคลุมจิตตลอดเวลา จิตนั้นอาศัยอยู่ในถ้ำกาย . ไม่เห็นแสงสว่าง หลับตาที่ไร มืดมิด ไม่มีแสงสว่าง ส่องภายในถ้ำกายนี้ มันก็มิดมิดไปหมด อยู่ในถ้ำ มืด มีเสียงอารมณ์นึกคิด มันเกิดขึ้นมา ก็มองเห็น ว่าใครน่ะ ที่ให้อารมณ์นึกคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ บางทีถก็ให้ความรู้สึก ร้อนรุ่ม แผดเผา อยู่นิ่งเฉยไม่ได้ ทั้งเรือนกาย สิ่งที่ไม่รู้ที่มืดมิด นั้นแหละ คืออวิชชา
อวิชชาที่ปกคลุมจิตอยู่ในถ้ำกายที่จิตอาศัยชั่วขณะหนึ่ง . แล้วก็ยังไม่รู้ตอไปิี ว่าจิตนั้นเป็นทาสของอารมณ์กรรมที่เกิดขึ้น ให้อารมณ์มันจูง สนตะพายเหมือนวัวควาย
เพื่อให้จิตนั้น มีแสงสว่าง ..เค้าจะหาแสงสว่างได้จากไหน เค้าก็ต้องหาผู้ที่สามารถจุดเทียนให้ จิตนั้นอาศัยอยู่ในกาย กายนั้นเหมือนต้นเทียน จิตนั้นเหมือนไส้เทียน เรากเสาะแสวงหาผู้ที่มีแสงสว่าง จิตที่แสงสว่าง ช่วยเอาไม้ขีดไฟมาจุดไส้เทียน ให้จิตนั้นถูกจุดขึ้นมา แล้วก็ใช้ไส้เทียนที่จุดติดไฟ ไปส่องดูตรงนั้นตรงนี้ ภายในถ้ำกาย เห็นข้าวของรกรุงรัง ก็ขนไปทิ้ง เอามันทิ่วไป ที่มันสกปรกก็ขนอออกไป
ที่จะขนเข้ามา .หากไม่เป็นประโยชน์ ก็ทิ่งมันไป บางที่สำคัญผิด เก็บมา ..เรื่องคนนั้นคนนี้ไม่ดี ก็ขนเจ้ามคิดมานึก มีแต่ขนเข้ามา สะสมไปเรื่อย นานไปมันก็เน่าเหม็น สูดดมจิตก็ต้องสูดดม เจ็บป่วย ไม่เป็นปกติ เพราะสิ่งที่ขนเค้ามา ที่จะขนออกไปมิ่ง ไม่มีปัญญาจะทำได้ จนแก่เฒ่าชราตาย
แล้วในแต่ละยุค ก็มีเรื่องราวของดินฟ้าอากาศ จิตที่อยู่กับดินห้าอากาศ นรก สัตว์ เปรต อสุรกาย เทพยดาอินทร์ พรหม ดินฟ้าอากาศก็เปิดหนทาง ให้มา อาศัย กายมนุษย์ แก้ไข สะสมบุญกุศลบารมี ในยุคนี้ ก็เปิดหนทางให้จิตที่มาจากอบายภูมิ ขึ้นพักจิตในเมืองมนุษย์
แต่ด้วยกรรม ที่ไม่สามรถแก้ไขนิสัยสันดานตัวเอง เค้าก็ไม่รู้จักเรื่องราวศาสนา เค้ามักดูหมิ่น ดูแคลนศาสนา เค้าก็หลงไปกัีบอารมณ์โลภโกรธหลง ที่ห้อมล้อมวิญญาณทั้งหกของตนเอง ก็สนุกสนาน ไปกับรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส สัมผัสที่ทำให่เกิดอารมณ์กรรมต่างๆ มีแต่อารมณ์กรรม ลดละไม่ได้เลย มีแต่เพิ่มพูน แล้วจิตนั้นก็ต้องถูกเก็บลงตะกร้า กลับที่เก่า .ขนลงเข่ง กลับไปแออัดในนรก
โฆษณา