2 ก.ย. เวลา 02:08 • การศึกษา

Scaffolding: ต่อยอดสู่การจัดการตนเองเพื่ออิสรภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ

พวกเราน่าจะคุ้นเคยกับความเหลื่อมล้ำกันดี ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางด้านเศรษฐกิจ หรือความเหลื่อมล้ำทางด้านการศึกษา ผมอยากบอกว่าทั้งสองอย่างเชื่อมโยงกันส่งผลถึงกันและกัน การจะแก้ไขประเด็นใดประเด็นหนึ่งเป็นไปได้ยาก จำเป็นจะต้องทำพร้อมกัน แต่ผมไม่ได้จะมาเจาะลึกที่ประเด็นดังกล่าวในบทความนี้ แต่ผมอยากจะนำเสนอความเลื่อมล้ำอย่างหนึ่งที่เป็นตัวเชื่อมโยงกับความเลื่อมล้ำทั้งสอง คือเรื่องความพร้อมของคน หรือกล่าวคือ “ความเหลื่อมล้ำด้านความพร้อม”
โดยเฉพาะทางด้านการศึกษาความเหลื่อมล้ำดังกล่าวกว้างมากขึ้นในปัจจุบันทั้งขนาดชั้นเรียนที่ค่อนข้างใหญ่ เวลาจำกัด หลักสูตรเนื้อหาแน่น และการประเมินแบบเดียวกันทั้งห้อง ขณะที่ผู้เรียนมีความแตกต่างทั้งด้านภาษา การอ่านเขียน สมาธิ ทักษะบริหารจัดการตนเอง (EF) ความไวต่อสิ่งเร้า และพฤติกรรมการเข้าสังคม โดยเฉพาะกลุ่มภาวะออทิซึมเปกตรัม สมาธิสั้น หรือบกพร่องทางการเรียนรู้
อีกทั้งโรงเรียนจำนวนมากยังขาดสื่อช่วยสอนที่เข้าถึงได้ ครู หรือนักวิชาชีพเฉพาะทางมีจำนวนไม่มีเพียงพอ อีกทั้ง ครูประจำวิชาไม่ได้ผ่านการอบรมเฉพาะด้านเสมอ ทำให้การส่งงานแบบเดียวกันให้ทุกคน หรือการสร้างมาตรฐานกลางสำหรับนักเรียนทุกคนในชั้นเรียนมักผลักเด็กบางกลุ่มโดยเฉพาะนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษไปสู่โซนเครียด (Stress zone) ที่ยากเกินไป หรือไม่ก็ โซนสบาย (Comfort zone) ที่ง่ายเกินไปได้ง่าย (บางครั้งครูเลือกที่จะสอนหรือให้งานง่าย ๆ สำหรับเด็กกลุ่มนี้)
ในบทความนี้ผมจึงอยากนำเสนอเครื่องมือที่จะช่วยจัดการเรียนรู้เพื่อช่วยพยุงและกำหนดทิศทางให้นักเรียนสามารถเรียนได้ดวยตนเอง สิ่งนี้เรียกว่า Scaffolding หมายถึง การจัดการเรียนรู้ที่ให้ครูทำหน้าที่เสมือนนั่งร้าน ที่คอยพยุงและกำหนดทิศทาง เพื่อให้ผู้เรียนก่อร่างสร้างตึกความรู้ของตนเองในวันที่โครงสร้างยังไม่ชัดหรือยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มจากตรงไหนหรือไปให้ถึงอย่างไร
งานที่ง่ายเกินไปแม้จะสร้างผลสำเร็จได้ง่าย แต่มันไม่ได้ทำให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน นั่งร้านที่ดีต้องออกแบบงานให้มีความท้าทายพอดีมือไม่ง่ายจนหยุดเติบโต และไม่ยากจนถอดใจ พร้อมทั้งประคับประคองอารมณ์ ลดความกังวลและความกลัวผิดเมื่อเผชิญโจทย์ยาก เพื่อให้เด็กค่อย ๆ ขยับจากทำไม่ได้ --> ทำได้ด้วยตัวช่วย --> ทำได้ด้วยตนเอง
The Zone of Proximal Development
ก่อนอื่นขออธิบายเกี่ยวกับมโนทัศน์การเรียนรู้เรื่อง The Zone of Proximal Development หรือ ZPD (เขตพัฒนาการใกล้เคียง) พัฒนาโดย วีกอตสกี (Lev Vygotsky, 1896-1934) นักจิตวิทยาชาวรัสเซียกลุ่มพุทธิปัญญานิยมเสียก่อน คือช่วงระยะระหว่างสิ่งที่เด็กทำได้ด้วยตนเองอย่างอิสระ กับสิ่งที่ “เกือบทำได้” หากมีตัวช่วยที่เหมาะสมจากครู เพื่อน หรือผู้เชี่ยวชาญ
วีกอตสกีชี้ว่า การเรียนรู้ที่แท้เกิดในพื้นที่ตรงกลางหรือเขตพัฒนาการใกล้เคียง (ZPD) ซึ่งเด็กได้ก้าวหน้าโดยอาศัยปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นและใช้ภาษาเป็นเครื่องมือช่วยคิด เมื่อได้รับคำชี้แนะที่พอดี เด็กจะค่อย ๆ ทำความรู้และทักษะใหม่ให้เป็นของตนเอง (Internalize) จากเดิมที่ทำได้เพราะมีคนช่วย กลายเป็นทำได้ด้วยตัวเอง
แต่จะเข้าสู่ ZPD ได้จะต้องหาระดับความท้าทายที่พอดี ระหว่างสองขอบเขต กล่าวคือถ้างานง่ายเกินไป เด็กจะติดอยู่ใน Comfort zone และแทบไม่เกิดการเติบโต แต่ถ้างานยากเกิน จนสับสนหรือกังวลมาก เข้าสู่ Stress zone ไปจนถึง Panic zone ก็จะปิดโอกาสเรียนรู้ ด้วยเหตุนี้ครูจะต้องปรับจูนงานให้ช่วงยืดขยาย (Stretch zone) ยากพอให้ต้องพยายาม แต่ไม่ยากจนท้อ
อ่านจนถึงจุดนี้ผู้อ่านคงจะคิดว่า "ยากจังเลย" แล้วเรารู้ได้อย่างไรว่าเด็กอยู่ใน ZPD หรือไม่ คำตอบคือใช้การประเมินระหว่างเรียน (Formative) สังเกตสัญญาณ เช่น เด็กเริ่มงานได้แต่สะดุดบางขั้นตอน แก้ได้เมื่อมีคำใบ้สั้น ๆ หรือเห็นตัวอย่างหนึ่งครั้ง ความผิดพลาดยังมีแต่ลดลงหลังได้รับ Feedback ระยะสั้น
ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนคนหนึ่งยังคงมีความพยายามต่อเนื่อง แม้สีหน้าหรือน้ำเสียงจะบ่งบอกว่าเหนื่อย นี้เป็นหลักฐานจากการประเมินในระดับหนึ่งว่าเขากำลังอยู่ใน ZPD หรือช่วงยืดขยาย แต่เพื่อให้มั่นใจ ควรดูสัญญาณร่วมอีกเล็กน้อย
1) เมื่อให้คำใบ้สั้น ๆ ผลงานดีขึ้นชัด
2) จำนวนของคำใบ้ที่ต้องใช้ค่อย ๆ ลดลงได้
3) ความผิดพลาดลดลงหรืออธิบายเหตุผลได้ดีขึ้นเร็ว ๆ ผมแนะนำว่าถ้าไม่ต้องช่วยอะไรเลยเลย = ง่ายไป ถ้าช่วยมากแล้วยังไม่ก้าวหน้า = ยากไป ถ้าช่วยเล็กน้อยแล้วดีขึ้นชัด = อยู่ใน ZPD หรือ ช่วงยืดขยาย
ครูจึงวางตัวเป็นสะพานกลางระหว่างช่วงเรียนรู้ที่สบาย (Comfort zone) กับช่วงที่ตึงเครียดเกินขยายขอบเขตตนเอง (Stress zone) คอยประคับประคองให้ผู้เรียนก้าวข้ามจุดยาก ยกระดับความสามารถทีละขั้น เมื่อโครงสร้างความรู้และทักษะแข็งแรงขึ้น ครูจึงค่อย ๆ ลดตัวช่วยลง จนในที่สุดสามารถถอดนั่งร้านให้นักเรียนเดินหน้าการเรียนรู้ต่อไปได้ด้วยตนเองอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง
อย่างที่ทุกคนเข้าใจกัน นั่งร้านไม่ได้อยู่ตลอดไป เมื่อโครงสร้างแข็งมากพอแล้ว นั่งร้านจะถูกถอดออก เป้าหมายของนั่งร้านในระบบการศึกษาจึงไม่ใช่เพียงคะแนน แต่คือความเป็นอิสระ ที่เริ่มต้นจาการตั้งเป้าหมายเอง เฝ้าติดตามตนเอง เลือกกลยุทธ์เอง และเสริมแรงตนเอง ทั้งหมดนี่คือหัวใจของการจัดการตนเอง (Self-Management) โดยเฉพาะกับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ
การจัดการตนเองเป็นหนึ่งใน EBPs
เป้าหมายของการจัดการตนเองสอดคล้องกับ Scaffolding โดยตรง และจาการที่ผมศึกษางานของ Hume และคณะ (2021) ที่ทำการทบทวนวรรณกรรมเชิงระบบครั้งที่ 3 เกี่ยวกับ Evidence-Based Practices (EBPs) สำหรับบุคคลออทิซึมฯโดยวิเคราะห์งานวิจัยกว่า 972 ชิ้น พบว่ามีหลาย กลยุทธ์ ที่มีงานวิจัยรองรับ (Evidence-Based Practices: EBPs) ซึ่งการจัดการตนเองก็เป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญ (ของ EBPs) และยังสามารถนำเอากลยุทธ์อื่น ๆ มาหลอมรวมใช้ร่วมกับการจัดการตนเองได้ และเป็น Scaffolding ชั้นดี
เช่น การแตกงานเป็นขั้น (Task analysis) การให้คำใบ้และค่อย ๆ ลดระดับการช่วยเหลือ (Prompting & fading) ใช้สื่อภาพหรือตารางภาพ (Visual supports), Time delay (การใช้ช่วงเวลาหน่วงเวลาที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนฯ ที่มีความล่าช้า) การสั่งตนเอง (Self-instruction) การเฝ้าติดตามตนเอง (Self-monitoring) และการเสริมแรงตนเอง (Self-reinforcement)
จะเห็นว่ากลยุทธ์ดังกล่าวที่มีงานวิจัยรองรับทั้งหมดนี้สามารถนำมาใช้ร่วมกันสร้างเป็นโปรแกรมการจัดการตนเองให้กลายเป็นนั่งร้านชั้นดี ที่ปรับระดับความช่วยเหลือให้พอดีกับ ZPD เป้าหมายที่สำคัญในการสร้างอิสรภาพการเรียนรู้ คือ โยกอำนาจควบคุมจากครูสู่ผู้เรียน และส่งต่อทักษะให้ใช้ได้ทั่วไปทั้งในวิชาอื่นและที่บ้าน
หัวใจสำคัญคือการเปลี่ยนจากครูที่ติดตาม กลายมาเป็นผู้เรียนติดตามตนเอง โดยย้ายตัวชี้วัดมาอยู่ในมือของนักเรียน เริ่มจากการตั้งเป้าหมายย่อยแบบชัดเจน พร้อมเกณฑ์สำเร็จ (เช่น เสร็จ 3 ข้อใน 12 นาที) สามารถสร้างเครื่องมือเพื่อให้นักเรียนใช้ตรวจสอบตนเองติ๊กหรือนับ เวลาเริ่มงาน % การอยู่กับงาน และ ใช้ Timer แถบความคืบหน้า และต้องไม่ลืมตัวช่วยให้นนักเรียนใช้ การสั่งตนเอง (Self-instruction) ผ่านการ์ดขั้นตอน “อ่าน --> วงคำสำคัญ --> ตั้งสมการ --> ตรวจ”
(วางแผน If–then สำหรับจุดสะดุด เช่น “ถ้าใจลอย ให้ตั้งเวลา 2 นาทีแล้วกลับมาข้อถัดไป”)
ลำดับต่อมาคือการเสริมแรงเป็น ขนม (น้ำตาลน้อย) สิ่งของ โทเคน หรือสติกเกอร์ที่นักเรียนให้ตนเองเมื่อถึงเกณฑ์ที่กำหนด จากนั้นปิดท้ายทุกงานด้วย การประเมินตนเอง (Self-evaluation) สั้น ๆ (ตั้งใจ เกิดขึ้นจริง จะปรับอะไร) พร้อมจุดกราฟความคืบหน้า หลายคนอาจดูแคลนการประเมินระดับความยากง่ายของชิ้นงาน
แต่หากทำเป็นระบบจะทำให้เสริมสร้างทักษะในการประเมินซึ่งเชื่อมโยงกับทักษะที่สำคัญอื่น ๆ เช่น การคิดใคร่ครวญ (Metacognition) การวางแผน การกำกับตนเอง และทักษะการใช้ฟีดแบ็ก ช่วยให้ผู้เรียนปรับกลยุทธ์ได้ด้วยตนเองและเรียนรู้อย่างอิสระมากขึ้น
แม้ Scaffolding ในทางวิศวกรรม จะเป็นการสร้างนั่งร้านเพื่อพยุงจนงานเสร็จ แต่ในทางบริบทการศึกษา ตึกที่สร้างเสร็จมีชีวิต มีจิตใจ ซึ่งสามารถก่อร่างสร้างตัวเองต่อไปได้ นั่งร้านที่ดีจะยกจากความช่วยเหลือภายนอกสู่ภายใน การจัดการตนเอง เป็นหนึ่งใน EBPs ที่เชื่อถือได้ว่ามีความเหมาะสมมากเพียงพอ ท่ามกลางข้อจำกัดเรื่องเวลา ทรัพยากร และความหลากหลาย จึงสามารถเป็นนั่งร้านที่เหมาะสมอย่างมาก
โดยเฉพาะนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ห้องเรียนรวมถือเป็นโจทย์ยากยิ่งเป็นบริบทในปัจจุบันอันเต็มไปด้วยสิ่งเร้าอันยากจะต้านทาน แต่ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ การจัดการตนเองเป็น Scaffolding ที่จะสร้างอิสรภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษอย่างทรงพลังได้
ประกอบกับการแตกงานเป็นขั้น สร้างตัวช่วยที่มองเห็นได้ ให้เด็กเฝ้าติดตามตนเอง วัดผลสั้น ๆ ทุกคาบ แล้วค่อย ๆ ถอยออกเมื่อเด็กเริ่มยืนได้ด้วยตนเอง เหลือไว้แต่ความสามารถที่จะคงอยู่และก่อร่างสร้างตัวเองอย่างมีคุณภาพต่อไป
อ้างอิง
ณิชากร ศรีเพชรดี. (2562). SCAFFOLDING: ครูผู้เป็น ‘นั่งร้าน’ ช่วยเด็กๆ สร้างตึกของตัวเองให้แข็งแรง. https://thepotential.org/knowledge/scaffolding-teacher/
Hume, K., Steinbrenner, J. R., Odom, S. L., Morin, K. L., Nowell, S. W., Tomaszewski, B., Szendrey, S., McIntyre, N. S., Yücesoy-Özkan, Ş., & Savage, M. N. (2021). Evidence-based practices for children, youth, and young adults with autism: Third generation review. Journal of Autism and Developmental Disorders, 51, 4013–4032. https://doi.org/10.1007/s10803-020-04844-2
Wilkinson, L. A. (2008). Self-management for high-functioning children with autism spectrum disorders. Intervention in School and Clinic, 43, 150-157.
โฆษณา