3 ก.ย. เวลา 01:26 • ความคิดเห็น

ถ้าพบว่าตัวเองผัดวันประกันพรุ่ง ให้ถาม 3 คำถามนี้

คิดว่าทุกคนน่าจะมีประสบการณ์การผัดผ่อนสิ่งที่ตั้งใจว่าจะทำไปเรื่อยๆ
เรามองการผัดวันประกันพรุ่งว่าเป็นเรื่องไม่ดี เป็นเรื่องของคนไม่มีวินัย แต่แท้จริงแล้วมันอาจกำลังส่งสัญญาณที่มีประโยชน์ให้เราอยู่ก็ได้
2
ทฤษฎี Motivational Theory ของ Hugo M. Kehr มองว่าคนเรามีแรงขับเคลื่อนได้สามส่วนด้วยกัน คือ Head, Heart, Hand
Head คือเราคิดด้วยตรรกะและความเป็นเหตุเป็นผลโดยดูจากปัจจัยภายนอกเป็นสำคัญ (rational)
Heart คือเรามองจากอารมณ์ที่เป็นแรงขับเคลื่อนจากภายใน (affectional)
2
Hand คือเรามองในเชิงความสามารถในการลงมือทำ (practical)
2
ถ้ามีครบทั้งสามอย่าง เราก็ย่อมมีแรงผลักดันให้เริ่มทำงานที่ว่า และทำมันจนสำเร็จ
แต่ถ้าเกิดมีไม่ครบหรือไม่มีเลย ก็เป็นไปได้ว่าเราจะเกิดอาการผัดวันประกันพรุ่งในเรื่องเดิมๆ นั่นเอง
1
ดังนั้น ถ้าเรามีงานบางชิ้นหรือเรื่องบางเรื่องที่เราผัดผ่อนมาเนิ่นนาน ให้ถาม 3 คำถามนี้
1. มันเป็นเรื่องที่เราควรทำหรือเปล่า (Head)
2
ถ้ารู้สึกว่างานนี้เราไม่ควรทำ ก็ควรจะเอาออกจาก To Do List ไปเลย
1
หรือถ้ามองว่ามันควรทำ แต่คนที่ควรทำไม่ใช่เรา ก็มอบหมายงานนี้ให้คนอื่น หรือโน้มน้าวให้ทีมอื่นรับไปทำ
และถ้าเรารู้ว่าควรทำ แต่วิธีการหรือกลยุทธ์ไม่สมเหตุสมผล ก็ควรเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่เพื่อให้มันสอดคล้องกับความเป็นจริงและข้อจำกัดของเรามากยิ่งขึ้น เพื่อให้สมองฝั่งตรรกะยอมรับได้ว่าเราน่าจะคิดมาถูกทางแล้ว
2. มันเป็นเรื่องที่เราอยากทำหรือเปล่า (Heart)
ถ้ามันเป็นสิ่งที่เราไม่อยากทำ อาจเพราะว่าเราตั้งเป้ายากเกินไป อาจต้องลดความคาดหวังของตัวเองลงมาหน่อย ตั้งเป้าให้ง่ายจนเรารู้สึกว่าสามารถทำสำเร็จได้ง่ายๆ เช่นแทนที่จะบอกว่าให้ตัวเองเขียนบทความหนึ่งชิ้น ก็บอกว่าเราจะเขียนบทความหนึ่งย่อหน้า เมื่องานมันเล็กลง เราก็จะมีกำลังใจและอยากลงมือทำมากขึ้น
2
อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยได้ คือการให้รางวัลตัวเองไปพร้อมกับการทำงานนั้น เช่นถ้าเราไม่อยากล้างจาน เราก็อาจให้รางวัลตัวเองด้วยการเปิดเพลงโปรดหรือดูซีรี่ส์ไปล้างจานไป (แม่บ้านผมทำบ่อย) หรือถ้าเรารู้สึกว่าการออกกำลังกายมันเหนื่อย ก็ลองสั่งเครื่องดื่มที่เราชอบมาสร้างความสดชื่นหลังออกกำลังกายเสร็จ
3. มันเป็นเรื่องที่เราทำได้หรือเปล่า (Hand)
บางทีเราอาจขาดความรู้ หรือขาดเครื่องมือ ทำให้ทำงานชิ้นนี้ไม่ได้เสียที วิธีการที่ง่ายที่สุดคือขอความช่วยเหลือจากคนที่รู้มากกว่าเรา ที่เขาอาจชี้แนะว่าจะเริ่มต้นยังไง อะไรที่เราควรระวัง และเราจะไปหาความรู้เพิ่มเติมอย่างไรได้บ้างที่จะลัดสั้นและมีประสิทธิภาพที่สุด
ที่ต้องระวังคืออย่าให้ "การหาความรู้" มาแทนที่ "การลงมือทำ" เพราะหลายคนติดกับดักนี้ โดยใช้วิธีเรียนไปเรื่อยๆ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องเผชิญกับโอกาสที่อาจล้มเหลวหากต้องลงมือทำจริงๆ
ควรทำมั้ย อยากทำมั้ย ทำได้รึเปล่า
1
นี่คือ 3 คำถามที่จะช่วยให้เรามีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นกับอาการผัดวันประกันพรุ่งครับ
-----
ขอบคุณเนื้อหาหลักจากหนังสือ Tiny Experiments: How to Live Freely in a Goal-Obsessed World ของ Anne-Laure Le Cunff
โฆษณา