7 ต.ค. เวลา 03:47 • หนังสือ

ไดอารี่ของเด็กขี้้เหงา ตอนที่38 อาโผ่เสียชีวิตแล้ว 

ชีวิตอาโผ่จะถือว่าสบายก็สบาย จะถือว่าลำบากก็ลำบาก
เพราะว่าลูกสาวคนโตของอาโพได้ไปแต่งงานกับคนที่สร้างเนื้อสร้างตัวจนรวย
แต่อาโผ่เลือกอยู่กับป๊า หรือพ่อของเมเม่ ไม่มีอะไรเลยในชีวิตแถมมีหนี้ก้อนโต
ถ้าใช้สติปัญญาคิดนานสักหน่อยก็น่าจะเลือกอยู่กับลูกคนที่ให้ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่าได้อย่างลูกส่วคนโต แต่ไม่ค่ะ ประเพณีจีนที่ฝังหัวอาโผ่มา ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว อาโผ่เลยเลือกอยู่กับลูกชายที่มีชีวิตลำบากอยู่แล้ว
แล้วชีวิตก็เป็นแบบที่หลายหลายครอบครัวเป็นกันคือ พอลูกชายทำงานได้แล้วแม่ก็ไม่ทำงาน ให้ลูกชายเลี้ยงอย่างเดียว อาโผ่เลยอยู่บ้านเลี้ยงหลาน
เมเม่ ก็เลยอยู่กับอาโผ่ มากกว่าพ่อแม่ตัวเองเยอะ แต่คนที่ป้อนข้าวป้อนน้ำ น่าจะเป็นอากูหรือคนใช้มากกว่า
อะ จะบอกว่าครอบครัวไม่ค่อยมีเงิน แต่ทำไมมีคนใช้ใช่ไหม
ไม่รู้เหมือนกันค่ะ แต่เหมือนกับว่า สมัยนั้นค่าจ้างคนใช้ไม่ค่อยแพง เมื่อเปรียบเทียบกับให้พ่อแม่ไปทำงานหาเงิน มันจะถูกกว่าเสียเงินเจ้าคนใช้มาดูแลลูก และทำงานบ้าน
เพราะฉะนั้น เมเม่ เลยเหมือนโตมาด้วยฝีมือคนใช้มากกว่า
อะ ก็สงสัยอีกสิว่า มีทั้งอาโผ่กับอากู อยู่บ้าน จะบอกว่าโตมากับคนใช้ได้ยังไง
ได้สิคะ เพราะว่า แนวความคิดสมัยก่อนนั้น ถึงคนในบ้านจะอยู่ ก็แค่อยู่ค่ะ ไม่ได้เมาวอแวอะไร คนที่ดูแลจริงๆ น่าจะเป็นคนใช้มากกว่า
อะ จะถามอีกสิว่า อาโผ่กับอากู ดูแลทางด้านจิตใจใช่ไหม
ไม่ใช่หรอกค่ะ สมัยก่อนให้ความสำคัญกับแค่การเจริญเติบโตภายนอก ถ้าร่างกายโตแปลว่าเลี้ยงดี ไม่มีใครสนใจจิตใจเด็กหรอกค่ะ สมัยนั้นการไปหาหมอโรคจิตหรือจิตแพทย์คือคนบ้าเท่านั้น
พอเป็นอย่างนี้ เมเม่ ก็เลยไม่มีความผูกพันทางจิตใจกับใครเท่าไหร่นัก แต่การที่เราเห็นกันทุกวัน วันละบ่อยๆ มันก็มีความผูกพันกันมากกว่าพ่อแม่ที่ไม่ค่อยเห็นหน้า
พออาโผ่ เสียชีวิตไป คนที่เศร้าที่สุดน่าจะเป็น ลูกสาวคนโต
ส่วนคนที่อยู่อยู่ด้วยกันก็แค่จัดงานศพให้
เมเม่ ตอนนั้นก็ ย่างเข้าวัยรุ่นพอดี ก็เลยไม่ได้รู้สึกอะไรมาก มัวแต่วุ่นวายกับการใช้ชีวิตของตัวเอง รู้สึกแค่ เสียใจ ที่เสียคนที่รักและเข้าข้างเมเม่ ที่สุดเสียไป ที่เสียใจและ เสียดาย ที่สุด น่าจะเป็นอาหารฝีมืออาโผ่ เพราะอาโผ่ ทำอาหารอร่อยนัก ไม่เคยกินที่ไหนอร่อยเท่าฝีมืออาโผ่เลย ในบางเมนูจนถึงปัจจุบัน
มันก็มีคำกล่าวที่ว่า พอเวลาผ่านไปจะรู้สึก มันก็จริงนะในกรณีนี้ คือ ในช่วงแรกที่อาโผ่เสียชีวิตไป เมเม่ ไม่ได้ รู้สึกไรมากคง จะเป็นเพราะตอนนั้น เรียนมหาลัยอยู่เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ในการเรียนพอดี แล้วจากนั้น ก็ต้องทำงาน ไม่ค่อยมีเวลามาคิดถึงอะไรเท่าไหร่ ต้องซัก 10 ปีผ่านไป ถึงเริ่มรู้สึกเสียใจ เสียดาย และผูกพัน
ก็คือต้องให้เวลาผ่านไปถึง 10 ปีถึงจะรู้สึกหรอ มันนานไปหรือเปล่า มันใช่ไหม ทำไมต้องรอให้เวลาผ่านไปนานขนาดนั้น รู้สึกเลยไม่ได้เหรอเ ถ้าจะรู้สึกในระยะระยะเวลาน้อยกว่านี้จะดีกว่าไหม
พอไม่ได้รู้สึกผูกพันทางจิตใจเท่าไหร่ ก็เลยไม่ค่อยรู้สึกอะไรในตอนแรก เวลาผ่านมาเป็น 10 ปีถึงรู้สึก แนวคิดนี้ต้องเปลี่ยนแล้วค่ะ ถ้าเราให้ความผูกพันกับเด็กแต่ต้น เด็กน่าจะรู้สึกผูกพันกับเรา และเสียใจเวลาที่เราเป็นอะไรไปมากกว่า เหมือนกับกรณีเมเม่ ถึงอยู่ด้วยกันมันก็ไม่ใช่ Quality Time บาง อย่างไม่ต้องรอ ให้เวลาผ่านไปถึงร่อยพิสูจน์ได้ก็ได้ ถ้าทำดีแต่ต้น ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งรู้สึกซาบซึ้งไม่ใช่หรอ เราคิดอย่างนี้นะ แล้วคุณล่ะคิดยังไง
ถ้าชอบบทความในลักษณะนี้ ช่วยกันกดติดตาม กดไลค์กดแชร์เป็นกันหน่อยนะคะ
โฆษณา