20 ก.ย. เวลา 09:00 • สิ่งแวดล้อม

‘ออสเตรเลีย’ แบน ‘ขวดพลาสติกรูปปลาจิ๋ว’ สัตว์น้ำเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาหาร

ขวดโชยุพลาสติกรูปปลามีขนาดเล็ก น่ารัก และเป็นที่ชื่นชอบของนักกินซูชิทั้งหลาย กลายเป็นของผิดกฎหมายในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย “ออสเตรเลีย” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2025 เนื่องจากสร้างขยะจำนวนมากและส่งผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าภาชนะใส่เครื่องปรุงรสอื่น ๆ
“ภาชนะรูปปลาแต่ละใบจะถูกใช้งานเพียงไม่กี่วินาที แต่หากทิ้งขยะจะยังคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมเป็นเวลาหลายทศวรรษหรือหลายศตวรรษ” ซูซาน โคลส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมและรองนายกรัฐมนตรีรัฐเซาท์ออสเตรเลียกล่าว
มาตรการนี้ต่อยอดมาจากกฎหมายที่ผ่านเมื่อปี 2023 ที่ห้ามใช้ถุงพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ช้อนส้อมพลาสติก หลอดพลาสติก บรรจุภัณฑ์สำหรับซื้อกลับบ้านหลายรูปแบบ รัฐบาลเซาท์ออสเตรเลียระบุว่าได้ดำเนินนโยบายเพื่อ “ลดมลพิษ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน และปกป้องสิ่งมีชีวิตในทะเล”
แม้ว่าภาชนะใส่ซอสถั่วเหลืองจะทำจากพลาสติกโพลีเอทิลีนที่สามารถรีไซเคิลได้ แต่ด้วยขนาดที่เล็ก ทำให้ยากต่อการผ่านกระบวนการด้วยเครื่องจักรอย่างถูกต้อง ทำให้ส่วนใหญ่มักจะไม่ถูกรีไซเคิล และมักจะลงเอยด้วยการฝังกลบหรือปะปนอยู่ในสิ่งแวดล้อม หากหลุดลอดลงสู่ทะเลสิ่งมีชีวิตในทะเลอาจเข้าใจผิดคิดว่าเป็นอาหารได้
เดิมทีขวดใส่โชยุสำหรับซื้อกลับบ้านทำจากเซรามิกหรือแก้ว ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นพลาสติก และยิ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเมื่อ เทรุโอะ วาตานาเบะ คิดค้นขวดบรรจุโซยุรูปปลาในปี 1954
ร้านอาหารต่าง ๆ จำเป็นต้องใช้ขวดขนาดใหญ่ขึ้น ภาชนะใส่เครื่องปรุงที่เติมได้ หรือสิ่งที่เจ้าหน้าที่ระบุว่าเป็นทางเลือกแบบใช้ครั้งเดียวที่เป็นอันตรายน้อยกว่า เช่น ซอง ซองบีบ หรือภาชนะที่ย่อยสลายได้ คำสั่งห้ามนี้ครอบคลุมถึงภาชนะรูปปลาหรือทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีฝาปิด จุก หรือจุกปิด และบรรจุได้ในปริมาณที่น้อยกว่า 30 มล.
บทลงโทษมีตั้งแต่การตักเตือนไปจนถึงการดำเนินคดี ส่วนสิ่งของอื่น ๆ ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในลิสต์ของต้องห้าม ได้แก่ ช้อนส้อมหรือหลอดที่ติดกับอาหาร เช่น หลอดที่ห่อด้วยพลาสติกซึ่งมักจะติดกับเครื่องดื่มแบบกล่อง
สำหรับสิ่งต่อไปที่จะถูกแบนก็คือ สติกเกอร์ที่มักติดบนผลิตผลสด เช่น แอปเปิล เพื่อระบุแบรนด์หรือแหล่งที่มาของสินค้า หลังจากที่รัฐได้เลื่อนการเปลี่ยนแปลงนี้ออกไป จากเดิมที่จะต้องบังคับใช้ในปีนี้ เนื่องจากผู้ผลิตระบุว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น และทำให้การเคลื่อนย้ายผักและผลไม้ระหว่างรัฐในออสเตรเลียลำบากขึ้น
อ่านต่อ:
โฆษณา