5 ก.ย. เวลา 11:53 • ประวัติศาสตร์

“แอนตาร์กติกา (Antarctica)” ดินแดนแห่งความลับ

เมื่อพูดถึง “แอนตาร์กติกา (Antarctica)” หลายคนจะมีภาพจำเพียงแค่ดินแดนที่ปกคลุมด้วยน้ำแข็งที่ไม่มีที่สิ้นสุด ณ ปลายสุดของโลก สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักกันดีว่าอยู่ห่างไกล สภาพอากาศโหดร้าย และปราศจากผู้คน จะมีก็แต่สถานีวิจัยเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้น
แต่ภายใต้พื้นผิวน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ กลับมีตำนานเรื่องเล่าถึงสิ่งที่น่าอัศจรรย์ โดยแอนตาร์กติกาได้รับการนิยามในหลากหลายแง่มุม ทั้งในฐานะทะเลน้ำแข็งที่แร้นแค้น สวรรค์ของวงการวิทยาศาสตร์ และพื้นที่ต้องห้าม
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เรื่องราวเกี่ยวกับยูเอฟโอ อารยธรรมที่สาบสูญ และฐานทัพลับ ได้กลายเป็นศูนย์กลางของข่าวลือที่แผ่ขยายไปทั่วทั้งทวีปและกลายเป็นหนึ่งในปริศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งยุค คำบอกเล่าของผู้ที่อ้างว่าเห็นยานลึกลับที่เปล่งแสง โถงใต้ดินขนาดมหึมา และแม้กระทั่งความร่วมมือระหว่างสิ่งมีชีวิตนอกโลกกับรัฐบาล เรื่องราวเหล่านี้ต่างถูกเล่าลือและได้คงอยู่ ไม่เคยเลือนหาย
1
ไม่ว่าจะเป็นความจริงที่ถูกปกปิด หรือเพียงแค่จินตนาการ เรื่องราวเหล่านี้ก็ยังคงน่าหลงใหลสำหรับผู้ที่เชื่อว่าแอนตาร์กติกานั้นมีอะไรมากกว่าที่ตาเห็น
บทความนี้จะพาไปท่องแอนตาร์กติกาครับ
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ในปีค.ศ.1946 (พ.ศ.2489) กองทัพเรืออเมริกันได้เริ่ม “ปฏิบัติการไฮจัมพ์ (Operation Highjump)” ซึ่งถือเป็นหนึ่งในคณะสำรวจที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยถูกส่งไปยังแอนตาร์กติกา
ภารกิจนี้่คือความพยายามในการเข้ามามีบทบาทในพื้นที่นี้ของสหรัฐอเมริกา และเพื่อการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์
ทว่าก็มีการคาดเดากันเรื่อยมาว่าภารกิจนี้มีเบื้องหลังที่ซับซ้อนกว่านั้น โดยกองเรือที่เข้าร่วมปฏิบัติการก็มีอาวุธครบมือ อีกทั้งยังมีเรือบรรทุกเครื่องบิน เรือพิฆาต และเรือดำน้ำ โดยมีกำหนดการจะปฏิบัติการอยู่ในแอนตาร์กติกานานกว่าครึ่งปี
แต่ทว่าในความเป็นจริง ที่พูดมาทั้งหมดนี้กลับถอนกำลังออกภายในเวลาเพียงหกสัปดาห์เท่านั้น รายงานอย่างเป็นทางการอ้างว่าเป็นเพราะสภาพอากาศเลวร้ายและความยากลำบากด้านการขนส่ง แต่รายงานบางฉบับกลับระบุว่า ที่แท้แล้วปฏิบัติการนี้คือการพยายามค้นหายูเอฟโอ
นับแต่นั้นเป็นต้นมา แอนตาร์กติกาจึงกลายเป็นศูนย์กลางของเรื่องเล่าลึกลับมากมาย
ในปีค.ศ.1985 (พ.ศ.2528) เครื่องบินลำเลียงผู้ป่วยลำหนึ่งได้บินเข้าสู่เขตห้ามบินเหนือขั้วโลกใต้ ใกล้ๆ กับแอนตาร์กติกา และลูกเรือได้รายงานว่าพบหลุมมหึมาในน้ำแข็ง มีขนาดใหญ่เท่าสนามฟุตบอล
เมื่อเหล่าลูกเรือกลับถึงฐาน ลูกเรือทั้งหมดก็ถูกชายลึกลับในชุดสูทที่ไม่ทราบสังกัดเตือนว่าห้ามเผยแพร่เรื่องนี้เด็ดขาด
ในยุค 90 (พ.ศ.2533-2542) ก็มีรายงานลักษณะคล้ายกันจากนักบินกองทัพเรือที่บินผ่านเทือกเขาและเห็นวัตถุทรงจานบินซึ่งเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเกินกว่าที่มนุษย์จะทำได้ และในแต่ละครั้งพวกเขาก็ถูกสั่งห้ามไม่ให้พูดถึงสิ่งที่พบเห็น
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ในลักษณะนี้บ่งชี้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นในบริเวณนี้ บางอย่างที่อยู่ลึกลงไปไกลเกินกว่าที่ประชาชนทั่วไปจะล่วงรู้ได้
ภาพถ่ายจากดาวเทียมในบริเวณทวีปแอนตาร์กติกาได้เผยให้เห็นความผิดปกติบางอย่าง โดยพบสิ่งที่มีลักษณะคล้ายพีระมิดโผล่ขึ้นมาบนผืนน้ำแข็ง และแม้นักธรณีวิทยาจะโต้แย้งว่าเป็นเพียงการก่อตัวตามธรรมชาติ แต่พีระมิดบางแห่งกลับมีความสมบูรณ์แบบอย่างน่าประหลาด
หนึ่งในนั้นจัดวางได้อย่างแม่นยำตรงตามทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก เช่นเดียวกับพีระมิดในอียิปต์ และความแม่นยำทางเรขาคณิตเช่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองได้ตามธรรมชาติทั่วไป
ด้วยเหตุนี้ ทำให้เกิดการคาดเดาว่าโครงสร้างเหล่านี้อาจถูกสร้างขึ้นโดยอารยธรรมโบราณที่สาบสูญไปแล้ว โดยขนาดของมันนั้นยิ่งใหญ่เกินคาด เพียงแค่พีระมิดหนึ่งก็มีความกว้างกว่า 1 ไมล์ (ประมาณ 1.6 กิโลเมตร) ซึ่งหากสิ่งนี้เป็นสิ่งปลูกสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้นจริง มันก็อาจจะเป็นทั้งพีระมิดที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดบนโลกใบนี้
นักทฤษฎีบางกลุ่มยังเชื่อมโยงโครงสร้างเหล่านี้เข้ากับตำนานดังอย่าง “แอตแลนติส (Atlantis)” พร้อมทั้งอ้างว่าแอนตาร์กติกานั้น ในอดีตก็เคยเป็นทวีปในเขตอบอุ่นมาก่อนที่จะเกิดหายนะครั้งใหญ่ที่ทำให้ทวีปถูกเลื่อนมาอยู่ยังตำแหน่งปัจจุบัน
สิ่งที่น่าพิศวงยิ่งกว่าก็คือ “แผนที่เก่าแก่”
แม้กระทั่งก่อนการค้นพบแอนตาร์กติกาในปีค.ศ.1820 (พ.ศ.2363) ก็ได้มีการทำแผนที่ของแอนตาร์กติกาไว้แล้ว และแม่นยำซะด้วย
“แผนที่ปีรีรีส (Piri Reis map)” ในปีค.ศ.1513 (พ.ศ.2056) แสดงให้เห็นแนวชายฝั่งของแอนตาร์กติกาที่แทบจะปราศจากน้ำแข็ง พร้อมทั้งมีการวาดรูปสัตว์ไว้ด้วย
ส่วนแผนที่ “โอรองทีอุส ฟิเนอุส (Oronteus Finaeus)” ในปี ค.ศ.1531 (พ.ศ.2074) กลับมีความละเอียดมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยมีการแสดงแนวเทือกเขาภายในทวีป ซึ่งการสำรวจด้วยดาวเทียมยุคปัจจุบันได้ยืนยันว่ามีอยู่จริง และลักษณะเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ผู้คนในสมัยศตวรรษที่ 16 ไม่สามารถสำรวจและเห็นได้แน่ๆ นั่นจึงทำให้หลายคนเชื่อว่าแผนที่เหล่านี้เป็นเพียงสำเนาของแผนที่ที่เก่ากว่ามาก ซึ่งมาจากอารยธรรมที่เราอาจจะยังไม่รู้จัก
“ชาร์ลส์ แฮปกูด (Charles Hapgood)” ศาสตราจารย์ชาวอเมริกัน ได้อ้างว่าการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกอย่างฉับพลันเมื่อราว 12,000 ปีก่อน ได้ทำให้แอนตาร์กติกาได้มาอยู่ยังตำแหน่งขั้วโลกในปัจจุบัน ซึ่งก่อนการเปลี่ยนแปลงครั้งนั้น ทวีปนี้อาจเคยเป็นที่อยู่ของอารยธรรมที่รุ่งเรือง ก่อนจะถูกฝังอยู่ใต้ผืนน้ำแข็งหนาหลายไมล์ในชั่วข้ามคืน
ทฤษฎีของเขาสอดคล้องกับหลักฐานทางธรณีวิทยาที่บ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างฉับพลันในยุคหนึ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีเรื่องเล่าว่าเมืองแอตแลนติสได้ล่มสลาย และหากเป็นเช่นนั้นจริง แผนที่เหล่านี้ก็มิได้เป็นสิ่งลึกลับ หากแต่เป็นองค์ความรู้โบราณที่ถูกสืบทอดรักษาไว้ผ่านกาลเวลา
ในปีค.ศ.2003 (พ.ศ.2546) ผู้บัญชาการหน่วยซีลของกองทัพเรืออเมริกัน ซึ่งยอมเปิดเผยตัวเพียงในนามสมมติว่า ”Spartan 1“ ได้เปิดเผยว่า เขาได้เข้าสู่สถานที่ใต้ดินขนาดมหึมาที่โผล่พ้นออกมาจากผืนน้ำแข็ง โดยประตูทางเข้านั้นหนาถึงหกเมตร แต่กลับถูกเปิดออกได้อย่างง่ายดาย และบนบานประตูก็มีสัญลักษณ์บางอย่างสลักอยู่ ซึ่งดูเหมือนจะเป็น “แผนที่ดวงดาว”
ชาร์ลส์ แฮปกูด (Charles Hapgood)
ภายในบานประตูนั้นอบอุ่น และผนังก็มีแสงเรืองสีเขียวอ่อนๆ พื้นผิวถูกปกคลุมด้วยลวดลายแกะสลัก ซึ่งดูเหมือนอักษรอียิปต์โบราณหากแต่เป็นภาษาที่ไม่รู้จัก โดยสิ่งก่อสร้างนี้ครอบคลุมพื้นที่ถึง 152 ไร่ใต้ผืนน้ำแข็ง ซึ่งถือเป็นความสำเร็จทางวิศวกรรมที่น่าทึ่งเป็นอย่างมาก
คำกล่าวอ้างของ Spartan 1 แม้ยากที่จะยืนยันและฟังดูไม่น่าเชื่อถือนัก หลักฐานอะไรก็ไม่มี แต่กลับมีความคล้ายคลึงกับสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์และนักบินบางรายเคยรายงานเกี่ยวกับโครงสร้างประหลาด ซึ่งการบ่งชี้ว่ามีสิ่งปลูกสร้างเช่นนี้อยู่จริง ทำให้เกิดคำถามถึงต้นกำเนิดของมัน
หากสิ่งเหล่านี้คือซากที่เหลือจากอารยธรรมมนุษย์ที่สูญหายไปแล้ว มันย่อมบ่งชี้ถึงเทคโนโลยีที่ล้ำหน้ากว่าที่เรามีอยู่ และยังอาจบอกเป็นนัยถึงการติดต่อและการตั้งอาณานิคมที่เกิดขึ้นก่อนหน้าประวัติศาสตร์มนุษย์เสียอีก
หากเรื่องราวเหล่านี้เป็นความจริง แล้วเหตุใดแอนตาร์กติกาจึงยังคงถูกเพิกเฉย?
สนธิสัญญาแอนตาร์กติกาซึ่งลงนามในปีค.ศ.1959 (พ.ศ.2502) โดย 12 ประเทศ ได้กำหนดข้อควบคุมอย่างเข้มงวดต่อการเข้าถึงทวีปแห่งนี้ และแม้ว่าการท่องเที่ยวจะได้รับอนุญาตในบางพื้นที่ที่กำหนดไว้ แต่พื้นที่ขนาดใหญ่อีกมากกลับถูกจัดให้เป็นเขตห้ามบินหรือพื้นที่ปิดกั้น
เหตุผลที่ประกาศต่อสาธารณะคือการปกป้องสิ่งแวดล้อม ทว่าหลายฝ่ายกลับมองว่านี่เป็นเพียงฉากบังหน้า ความจริงก็เพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศมหาอำนาจในการปกปิดการค้นพบที่แท้จริง
บางคนเชื่อว่าชาติมหาอำนาจทั้งหลายต่างรู้ดีว่ามีบางสิ่งอยู่ใต้ผืนน้ำแข็ง และอาจกำลังสมรู้ร่วมคิดกัน หรือแม้กระทั่งร่วมมือกับสิ่งมีชีวิตนอกโลก
แล้วคุณล่ะ? คิดยังไง?
โฆษณา