5 ก.ย. เวลา 03:18 • ความคิดเห็น
เรื่องหนึ่ง ที่เค้าบอกว่า . จิตเรามาอาศัย ในอนุธาตุุน้อยๆ มีธาตุทั้งสี่มาประกอบเป็นสังขารกายมนุษย์ให้จิตอาศัย แล้วก็มีวิญญาณ ทั้งหก คือ หูตาจมูกลิ้นกายใจ ที่เราใช้ เกิดเป็นสัมผัส เกิดอารมณ์นึกคิกต่างขึน มีการยึดเข้ามา มีการบันทึกลงไป ที่ว่าตาบันทึกภาพ หูบันทึกเสียง นั้น มีการบันทึกลงไป ที่ธาตุทั้งสี มีการบันทึกลงไปตลอดเวลา ทำดีก็บันทึก ทำชั่วก็บันทึกลง เก็บสะสมไปตลอดชีวิต ..แล้วเรื่องราวที่เคนเกิดทุกชาติ ทุกภพก็มีการเก็บสะสมไว้ที่ธาตุทั้งสี
แล้วเรื่องที่ว่า จิตนั้นไปยึดมา เช่น เรามองดูรูปสวย รูปต้นไม้ มองดูรูปราคะ ..จิตก็ออกไปอยู่ที่รูปนั้น ไปยึดรูปนั้น ก็มีอารมณ์ปรุงแต่ง ไปตามรูปที่จิตนั้นยึด ..เรื่องเหล่านี้ ก็ยากจะเรียนรู้จัก ว่าเป็นไปได้อย่างไร แต่หากจิตเรามีการฝึกหัด ในเรื่องราวของสมาชิก ทำกายนิ่ง จิตนิ่งมาบ้าง เราก็สามารับที่จะ ค่อยพิจารณาเรื่องราวเหล่านนี้ได้ แต่นั้งอฃศัย การทำกายให้นิ่ง จิตเฉย มีสติสัมปชัญญะอยู่กับกาย ถึงพิจารณาได้ ..ในเรื่องราวอารมณ์ที่เกิดขึ้น ..จิตไม่ยึดอารมณ์
เวลาคนเราใกล้ตายตามปกติอายุขัย บางที่สิ่งต่างที่สะสมมาอยู่กับธาตุทั้งสี่ สะสมมาทั้งชีวิต ก็ถ่ายทอดออกมา เวลาถ่ายทอด เค้าก็ปิดหู ปิดตา ให้มองภาพที่ตัวเองใช้กายไปทำอะไร พอถึงเวลานั้น ก็นอนน้ำไหลเป็นหางช้าง รู้ตัวแล้วว่า จิตจะต้องไปอาศัยสถานที่ใด หมดโอกาสแก้ไข .ที่ได้กายพ่อแม่เป็นมนุษย์ทั้งที
คราวนี้ เมื่อเราเกิดมาได้กายเป็นมนุษย์ เราก็รู้จัก การบันทึก เรื่องราวดี เช่น การกราบพระ เรานำกายมานั่งหน้าพระน้อย
เรื่องของกรรมที่เคยทำกัน บันทึกในธาตุทั้งสี่ ก็มีน้องคนหนึ่งหนีสามีมาปฏิบัติธรรม พระท่านก็สอนเป็นพิเศษ ให้สร้างบุญกุศล เดินจงกรม ..ท่านก็เปรยว่า ไอ้โม่งโผล่มาเมื่อไหร่ ก็ต้องหมดลม พอถึงเวลา จะกับบ้าน ไอ้โม่งมารับ ที่วัด รุ่งขึ้นก็มีข่าวว่า น้อนนี้ตายแล้ว สามีภรรยาคู่นี้ คล้องเวรกรรม อาฆาตพยาบาท กันมาหลายชาติ ผลักกันฆ่า มาชาตินี้ ยุติเสียที่ ยิมให้เค้าตีตายไม่ต่อสู้เลย มีคนเห็นน้องคนนี้หลังจากตายสวมใสชุดขาว ก็ได้สร้างบุญกุศลบารมี ก่อนหมดลม.
เราก็สำรวจตรวจสอบตัวเอง นั่งกายนิ่งๆ พูดขึ้นมา ให้หูได้ยิน จิตของข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในเรือนกายของคุณบิดามารดา ข้าพเจ้าได้นำ ธาตุทั้งสองของคุณบิดามารดามากราบพระสวดมนต์ เวลายกมือ เราก็พูด ให้หูเราไ้ด้ยิน เรากราบพระ ตาเอาก็มองที่มือ เวลาสวดมนต์ เราก็สวดให้หูเราได้ยินเสียงของตัวเอง เพื่อที่จะได้บันทึก ลงไปที่ธาตุสี่ เสียงที่เราสวดมนต์ เสียงที่เราไม่ได้ ใช่วาจาไปติเตียน ด่าว่าใคร เป็นเสียงที่ดี ๆ ที่เค้าว่า เป็นปิยะวาจา
แล้วเวลา เราไปด่าว่า ติเตียน มีวาจาผรุสวาท อะไรต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่ตัวเรา ..สิ่งเหล่านั้น เป็นของเรา บันทึกลงไปที่ธาตุทั้งสี่ . เมื่อเราใช้ตาไปมอง รูปนี้สวย รูปนี้ไม่สวย จิตนั้นก็ออกไปจับ เป็นเจตจิต วิ่งออกไป ยึดรูปนั้น สวย ไม่สวย ยึดภาพนั้นเข้ามา ในกาย เหมือนบ้านที่จิตอาศัย ก็มีอารมณ์ออกปรุงแต่งรูปสวยที่ยึดเข้ามา ชอบไม่ชอบ คราวนี้ คนเราก็ไม่เคยสังเกตฝึกหัด ในเรื่องราวเหล่านี้ ก็ใช้วิญญาณทั้งหก ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จักว่า สิ่งที่เราใช้วิญญาณทั้งหดมันเกิดอะไรขึ้นให้แก่จิต ที่อาศัยอยู่ในกาย .
เรื่ิงราวที่วิญญาณทั้งหก ที่เราใช้ .เราไม่เคยเรียนรู้ว่า เค้ามีการบันทึกอะไรต่างๆ ลงไปที่ธาตุทั้งสี่ ที่เกิดเป็นสีของกรรม ที่จิตเรานั้นใช้อารมณ์นึกคิด อารมณ์โลภโกรธหลงได้เลย นั่นจึงเป็นเรื่องราว ที่ต้องอาศัยการสร้างบุญกุศลบารมี เพื่อที่จะไปคลี่คลายกรรม ที่อยู่กับธาตุทั้งสี่ให้เบาบางลง เช่น เวลาเราใส่บาตร ตาเราก็มองที่มือ ที่ประคองของใส่บาตร บันทึกการกระทำของเรา หากเอาตาไปมองดูนก .. ภาพของมือที่หยิบขิงใส่บาตรก็ไม่มี
โฆษณา