6 ก.ย. เวลา 09:38 • ความคิดเห็น

อัฐบริขารผิดยุคของผู้บริหาร

ทำไมผู้บริหารยิ่งตำแหน่งสูงเท่าไหร่ ยิ่งทำตัวคนละโลกกับพนักงาน ทั้งๆ ที่หลายคนก็เติบโตมาจากพนักงานทั่วไป ตอนเป็นพนักงานก็หมั่นไส้ผู้บริหารที่ทำตัวสูงส่ง ไม่เห็นหัวคนอื่น
พอตัวเองค่อยๆไต่ระดับ เป็นผู้บริหารระดับสูงเข้าบ้าง หลายคนก็กลายพันธุ์กลายเป็นผู้บริหารแบบที่คนไม่ชอบไป
เหตุผลคงมีหลายประการ นิสัยส่วนตัวก็ส่วนหนึ่ง ความรู้สึกภูมิใจจนเป็นอีโก้ก็ส่วนหนึ่ง แต่เครื่องอำนวยความสะดวกรอบตัว หรือที่มีคนเรียกว่า เครื่องอัฐบริขารของผู้บริหาร ก็มีส่วนที่ปั๊มอีโก้ให้บวมขึ้นอยู่ไม่น้อย
1
โดยเฉพาะเครื่องอัฐบริขารที่เป็นมรดกมาจากยุค 80 ยุคที่ผู้บริหารคือเทพเจ้าอันสูงส่ง ซึ่งไม่ค่อยเมคเซ้นส์ในสมัยนี้เท่าใดนัก
สำหรับยุคนี้สมัยนี้ที่พนักงานกับผู้บริหารต้องมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ต้องรวมพลังกัน ไม่ใช่นายสั่งลูกน้องข้างเดียวอีกต่อไป
จึงควรพิจารณาความจำเป็นของการดำรงอยู่ของเครื่องอัฐบริขารตกยุคเหล่านี้ว่าไม่มีจะดีกว่ามีหรือไม่ มีแล้วดีหรือไม่ดีต่อองค์กรอย่างไร มากกว่าจะคิดแค่ความสบายเฉพาะตัวเป็นหลัก
ความคิดถึงประโยชน์ขององค์กรและลูกค้า และถ้าลดอีโก้ตัวเองได้ดัวย จึงน่าจะเป็นหัวใจหลักในการคิดว่าควรจะลดหรือตัดเครื่องอำนวยความสะดวกเหล่านี้ลงหรือไม่
เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว เครื่องอัฐบริขารก็จะเป็นทั้งเครื่องสูบอีโก้และเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กที่กั้นระหว่างผู้บริหารและพนักงานให้หนาขึ้นไปเรื่อยๆ ในยุคสมัยที่ต้องการความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากที่สุด
— ที่จอดรถผู้บริหาร
ผมเพิ่งอ่านบทความของน้องโอมแห่งบริษัท yell เอเจนซี่โฆษณาไทยที่มีสาขาต่างประเทศหลายแห่ง โอมไปประชุมที่สิงคโปร์ พวกนายธนาคารที่โน่นชอบถามด้วยความประหลาดใจว่าที่ Yell ไม่มีที่จอดรถผู้บริหารแล้วหรือ
โอมตั้งใจสร้างวัฒนธรรองค์กรแบบนี้ตั้งแต่ต้นที่ไม่กั้นที่จอดให้ผู้บริหาร ใครมาก่อนก็จอดก่อน ด้วยหลักคิดที่ว่า “ปัญหาเดียวที่ควรมีร่วมกันคือปัญหาของลูกค้าเท่านั้น” รวมถึงซีอีโอด้วย
วิธีคิดแบบนี้เพื่อให้น้องๆรู้ว่า ที่ต้องทำงานหนักนั้นเพื่อลูกค้าชัดเจน ไม่ใช่เพื่อให้ผู้บริหารสบาย ไม่ต้องเอาใจผู้บริหาร เวลาคนถามโอมว่าสร้าง culture ที่มีลูกค้าเป็นศูนย์กลางจนเติบใหญ่ไป regional นี้ได้อย่างไร
โอมก็ตอบง่ายๆว่า “เริ่มจากไม่มีที่จอดรถ ผบห ก่อนเลย”
จำได้ว่าเมื่อหลายปีก่อนเคยมีดราม่าเล็กๆที่มีคนโพสต์ทำนองตำหนิคอมมูนิตี้มอลล์แห่งหนึ่งที่วนหาที่จอดรถได้ยากมาก คนที่โพสต์วนหลายรอบ และก็ผ่านที่จอดรถว่างอยู่ 4 ตำแหน่งที่มีไม้กั้นและเขียนว่าที่จอดรถผู้บริหาร
วนไปอ่านป้ายนี้ไปจนในที่สุดก็โมโหศูนย์ว่าทำไมไม่ให้ความสำคัญลูกค้าก่อน
ที่จอดรถว่างๆพื้นที่เล็กๆ แต่ก็ทำให้คิดลบได้สำหรับพนักงานและลูกค้าเหมือนกันโดยเฉพาะเวลาที่จอดรถเต็มหมดนี่แหละครับ…
— ออฟฟิศโอ่โถงของผู้บริหาร
พี่เจี๊ยบ ปฐมา อดีตผู้บริหารระดับสูงของไมโครซอฟท์ที่สหรัฐ เคยเล่าให้ฟังในช่วงไมโครซอฟท์กำลังเปลี่ยนตัวเองจากไดโนเสาร์เชยๆ กลายเป็นบริษัทที่ทันสมัยมีแต่คนเก่งๆอยากมาทำงาน
มีไอเดียหนึ่งที่ผู้บริหารไมโครซอฟท์รุ่นใหญ่ต้องทำ ก็คือการทำ reverse mentoring โดยผู้บริหารแต่ละคนจะมีเด็กรุ่นใหม่เก่งๆ วัยยี่สิบกลางมาประกบ แล้วแทนที่จะสอนพนักงานใหม่ ก็ให้ขอคำแนะนำและฟังไอเดีย ฟังความคิดแทน จะได้ปรับตัวได้เข้ากับยุคสมัยได้
วันแรก น้องรุ่นใหม่สะพายเป้เดินเข้ามาในห้องทำงานโอ่โถงอยู่หัวมุมเห็นวิวสวยมากของพี่เจี๊ยบ แทนที่เด็กคนนั้นจะว้าว กลับหัวเราะขำว่าพี่เจี๊ยบต้องการเอาพื้นที่แบบนี้ ใหญ่โตแบบนี้ไว้คนเดียวทำไม
พี่เจี๊ยบผู้ซึ่งกว่าจะไต่เต้าจนขึ้นมาระดับนี้ และได้ห้องนี้เป็นเสมือนตัวแทนของตำแหน่งใหญ่ถึงกับสะอึกแล้วถามว่าจะให้ไปนั่งที่ไหนถ้าไม่มีออฟฟิศ เด็กคนนั้นก็ตอบว่า แล้วทำไมไม่ไปนั่งกับทีมงาน มีอะไรจะได้คุยกันง่าย มีปัญหาอะไรก็จะได้แก้ได้ทันที
มานั่งคนเดียวแบบนี้จะทำงานยังไง
ทำให้พี่เจี๊ยบได้คิด และกลายเป็นผู้บริหารรุ่นใหญ่ที่เด็กๆรักจนเป็นหัวหน้าใหญ่ของ accenture ที่เมืองไทยในปัจจุบัน
— ล็อคลิฟท์ให้ผู้บริหาร
สมัยผมทำงานใหม่ๆ การล็อคลิฟท์ไว้รอผู้บริหารระดับสูงมาถึง จะได้ขึ้นไปห้องทำงานชั้นสูงสุดไวๆ และไม่ปะปนกับคนอื่นนั้นเป็นเรื่องปกติ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีบ้างในบริษัทใหญ่บางแห่ง ไม่ว่าพนักงานจะเบียดเสียดรอลิฟท์มากแค่ไหน ลิฟท์ตัวนึงจะเปิดรอไว้รอท่านๆ ซึ่งท้าทายความรู้สึกพนักงานมาก
คุณซิกเว่ เบรกเก้ อดีตซีอีโอดีแทคผู้เปลี่ยนวัฒนธรรมองค์กรจนดีแทคสามารถลืมตาอ้าปากได้ในสมัยนั้นเล่าว่า ตอนที่เขามาใหม่ๆก็ยกเลิกการล็อกลิฟท์เพื่อไม่ให้พนักงานรู้สึกว่าแยกชนชั้นมากเกินไป เพราะดีแทคต้องการความร่วมมือกันทุกระดับในสภาวะที่แย่มากๆ ในตอนนั้น
แต่ต่อให้ซิกเว่ไม่ล็อคลิฟท์ ความกลัวผู้บริหารระดับสูงก็ยังมีอยู่ เขาเล่าว่าเวลาเดินเข้าลิฟท์ทีไร พนักงานก็จะเดินออก ไม่กล้าขึ้นลิฟท์พร้อมซีอีโอทุกที
จนมีวันหนึ่งหลังจากงานปีใหม่ที่คุณซิกเว่ออกมากล่าว speech ด้วยการเต้นแร้ปที่แหวกทุกขนบของซีอีโอในสมัยนั้น พนักงานที่นั่งดูอยู่ชอบใจกันมาก รู้สึกว่าซีอีโอไม่ใช่เทวดาที่แตะต้องไม่ได้อีกต่อไป
ซิกเว่บอกว่าเช้าวันต่อมา เขาเดินเข้าลิฟท์ ปรากฏว่าพนักงานแย่งกันเข้ามาเบียดเต็มลิฟท์ อยากจะจับไม้จับมือกับซีอีโอฝรั่ง
เป็นสัญญานแรกที่คุณซิกเว่รู้แล้วว่า วัฒนธรรมองค์กรที่เขาอยากได้นั้นต้องเริ่มแบบใด
— เก้าอี้หัวโต๊ะของผู้บริหาร
เนลสัน แมนเดล่า ผู้นำจิตวิญญาณระดับโลกชาวอาฟริกาใต้ผู้ล่วงลับไปแล้ว เคยให้เคล็ดลับการเป็นผู้นำที่ดีจากตัวอย่างที่เขาตามพ่อผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าเล็กๆ ไปประชุมตั้งแต่เด็ก
แมนเดล่าเล่าว่า เขาจำแม่นมากว่าเวลาจะประชุมอะไรสำคัญๆ นั้น พ่อเขาจะทำอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือนั่งเป็นวงกลม และอย่างที่สองคือพ่อเขาจะพูดคนสุดท้ายเสมอ
น้องๆรุ่นใหม่พวกสาย startup ชอบเรียกผู้ใหญ่อำนาจเยอะที่มาถึงก็ต้องนั่งหัวโต๊ะว่าเป็น HIPPO หรือย่อมาจาก Highest paid person Opinion เป็นคำประชดทำนองว่า หัวโต๊ะเป็นเก้าอี้พิเศษ ต้องให้ผู้บริหารสูงสุดนั่งเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็เงินเดือนมากสุดด้วย
พอนั่งเก้าอี้ตัวนั้น ก็จะพูดเยอะ รวบอำนาจ เอาแต่ความคิดตัวเองเป็นหลักโดยใช้อำนาจจากตำแหน่งที่มี หลายครั้งก็ไม่ให้คนอื่นชี้แจง โอกาสที่ในห้องจะมีพลัง มีไอเดียใหม่ๆและถกเถียงกันอย่างสร้างสรรค์ก็เป็นไปได้ยาก
วิธีการของคุณพ่อของเนลสัน แมนเดลา นั้นเป็นการให้ความรู้สึกปลอดภัยว่าทุกคนเท่ากันจากการนั่งเป็นวงกลม และความพยายามในการฟังให้มากโดยการพูดคนสุดท้ายก็คือการกดอีโก้ตัวเองที่มีอำนาจสูงสุดไว้ เพื่อให้มีความเห็นต่างอันอาจจะนำไปสู่ไอเดียที่ดีกว่า หรืออย่างน้อยถ้าทุกคนได้พูดแล้ว ก็จะได้ฉันทามติในประเด็นต่างๆ ได้ง่ายกว่ามาก
— กาแฟของผู้บริหาร
เวลาเป็นผู้บริหารระดับสูง มีเลขาคอยดูแล แค่นึกถึงกาแฟ กาแฟก็ลอยมา อยากได้อะไรก็แทบไม่ต้องกระดิกตัวจนชิน พอต้องทำอะไรเองหลังลงจากตำแหน่งก็ปรับตัวได้ไม่ง่ายเลย
ซีอีโอดีแทคที่มาทำงานต่อจากคุณซิกเว่ เบรกเก้ในสมัยนั้นชื่อ คุณทอเร่ จอห์นสัน เป็นคุณลุงใจดีชาวนอร์เวที่ทุกคนรัก เวลาคุณทอเร่อยากกินกาแฟสตาร์บัค ก็จะลงมาจากตึกสูงมาซื้อกาแฟเองทุกครั้ง
ผมก็เคยถามว่าทำไมถึงไม่ให้เลขาซื้อให้ล่ะ ขาแข้งก็ไม่ค่อยดีแล้ว มีเลขาซื้อให้ก็สะดวกดี บอกกี่ครั้งยังไงก็เดินลงมาเองตลอด
จนวันหนึ่งคุณทอเร่คงเบื่อที่ทั้งผม ทั้งเลขาพยายามคะยั้นคะยอ ก็เลยบอกว่า ขอเดินไปซื้อกาแฟเองเถอะ เพราะที่นอร์เวถ้าให้เลขาซื้อให้แบบนี้มันเด่นเกินคนอื่น อีกอย่างถ้าไอเกษียณไปก็ต้องซื้อกาแฟเอง ต้องฝึกตั้งแต่ตอนนี้จะได้ไม่เคยตัว
คำตอบกับการกระทำอย่างสม่ำเสมอของคุณทอเร่ได้ใจเลขาและพนักงานในชั้นนั้นอย่างมาก
และพอคุณทอเร่เกษียณ ก็กลายเป็นคุณลุงที่มีความสุขมากๆ คนหนึ่ง เดินทางท่องเที่ยวไปด้วยตัวเองเป็นปกติ เสมือนว่าตอนอยู่ดีแทคแค่ใส่หัวโขนชื่อซีอีโออยู่แป๊บเดียวเท่านั้นเอง
— การบินของผู้บริหาร
เมื่อไม่นานมานี้ องค์กรแห่งหนึ่งที่ผมทำงานอยู่ยังให้ผู้บริหารระดับสูงบิน first class อยู่เลย เวลาไปกับน้องๆพนักงานก็จะรู้สึกเขินๆ เพราะน้องๆนั่งชั้นประหยัด ยิ่งบินใกล้ๆยิ่งรู้สึกไม่ดีเพราะค่าใช้จ่ายแพงเกินจำเป็นไปมาก ผมก็ไม่กล้าใช้สิทธิ์ตรงนั้นด้วยความเกรงใจ
ภาพล่าสุดของนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ที่เสร็จจากการปฏิบัติภารกิจที่เวียดนามแล้วบินสายการบินโลว์คอสต์กลับประเทศตัวเองนั้นดูดีและได้ใจประชาชนในประเทศ รวมถึงผู้ที่ได้เห็นข่าวเป็นอย่างมาก
ข่าวเดียวนั้นแสดงให้เห็นตัวตนที่ไม่ยึดติด อยู่ระดับเดียวกับประชาชนทั่วไป และแสดงถึงความสมเหตุสมผลในการใช้จ่ายงบประมาณ
ในมุมผู้บริหารก็คงไม่ต่างกัน การบินไปทำงานก็เพื่อทำงาน ถ้าต้องบิน red eye แล้วตื่นมาต้องทำงานเลย การบินชั้นธุรกิจก็สมเหตุสมผล แต่ไม่ใช่ได้สิทธิบินชั้นหนึ่งหรือธุรกิจเพราะตำแหน่ง ยศถาบรรดาศักดิ์
นโยบายที่ใช้ทั่วกัน ตามเหตุตามผล ไม่ใช่ตามตำแหน่งจึงน่าจะเป็นนโยบายที่ทันต่อยุคสมัยมากกว่า
พวกอัฐบริขารหลายอย่างที่เป็นมรดกตกทอดมาจากยุคก่อน ตั้งแต่บริษัทห้างร้านยังไม่แข่งดุเท่านั้น ยุคสมัยยังไม่เปลี่ยนมากจนเหมือนทุกวันนี้ ถ้าลด เลิกได้ หรือแก้ไขนโยบายล้าสมัยที่ทำให้ขุ่นเคืองใจหรือไม่สามารถได้ใจพนักงานได้ก็น่าจะดีกับวัฒนธรรมองค์กรในยุคนี้
นอกจากจะทำให้ไม่มีกำแพงหนาระหว่างกน ได้ลดอีโก้ผู้บริหารเองแล้ว ก็ยังได้ใจ ได้ความรู้สึกที่ดีกับพนักงานอีก
การได้เห็นผู้บริหารที่ฝนตกแล้วเดินมาจากที่จอดรถพร้อมกัน นั่งโลว์คอสต์ด้วยกัน ประชุมแบบให้เกียรติกัน ได้เห็นพี่ๆรุ่นใหญ่เดินซื้อกาแฟเอง นั่งทำงานอยู่ มีปัญหาก็เดินไปหาได้เลย ไม่ต้องฝ่าด่านเลขารอนัดเข้าไปนั่งตัวเกร็งในห้องกว้าง ก็น่าจะเป็นจุดเริ่มของการสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งยุคสมัย มากกว่าการพยายามคิดหาคำเก๋ๆ แล้วให้พนักงานท่อง
ผู้บริหารที่ “walk the talk” และมีวัตรปฏิบัติที่สมเหตุสมผลเท่านั้นในยุคนี้ ถึงจะได้ใจพนักงานจริงๆ
จะให้องค์กรเปลี่ยน ก็ต้องเปลี่ยนที่ HIPPO ก่อนนี่แหละครับ…
โฆษณา