7 ก.ย. เวลา 02:09 • หุ้น & เศรษฐกิจ

มาเลเซีย 2030! จากเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชียสู่เส้นทางมหาอำนาจด้านเทคโนโลยีโลก?

ถ้ามีคนถามว่า ประเทศไหนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีแววจะก้าวข้าม “กับดักรายได้ปานกลาง” ตามรอยรุ่นพี่อย่างสิงคโปร์ไปได้สำเร็จ
หลายคนอาจจะนึกถึงเวียดนาม ที่กำลังเป็นดาวรุ่งพุ่งแรง แต่ถ้ามองลึกลงไปในรายละเอียดแล้ว ยังมีม้ามืดอีกหนึ่งประเทศ ที่น่าจับตามองไม่แพ้กัน ประเทศนั้นคือ “มาเลเซีย”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มาเลเซียกำลังอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งประวัติศาสตร์ บริษัทเทคโนโลยีระดับโลก ต่างพากันขนเงินลงทุนมหาศาลเข้ามาในประเทศแห่งนี้อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ปรากฏการณ์นี้กำลังจุดประกายความหวังครั้งใหม่ ว่ามาเลเซียอาจกำลังจะสลัดภาพประเทศที่ติดหล่มทางเศรษฐกิจ แล้วก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีขั้นสูงของภูมิภาค
แต่เส้นทางสู่ความฝันครั้งนี้ ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะมาเลเซียยังต้องเผชิญกับบททดสอบอีกมากมาย ทั้งจากปัญหาภายในที่สะสมมานาน และการแข่งขันอันดุเดือดจากภายนอก
เรื่องราวของมาเลเซียในวันนี้จึงน่าสนใจอย่างยิ่ง..
หากเราย้อนเวลากลับไปในอดีตช่วงทศวรรษ 1970 ถึง 1980 มาเลเซียเคยเป็นเสือเศรษฐกิจที่น่าเกรงขาม พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างสูงในการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ
ภายใต้นโยบายที่ชื่อว่า New Economic Policy ซึ่งมุ่งเน้นการสร้างอุตสาหกรรมในประเทศและกระจายความมั่งคั่ง มาเลเซียสามารถสร้างฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
แต่ความสำเร็จนั้นก็มีด้านมืดซ่อนอยู่..
มาเลเซียในยุคนั้นทุ่มเทให้กับการผลิต แต่กลับละเลยการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ซึ่งเป็นหัวใจของการสร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีของตัวเอง
ประกอบกับนโยบายบางอย่างที่นำไปสู่ภาวะสมองไหล ทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพจำนวนมากเลือกที่จะเดินทางออกจากประเทศ ส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง
และเมื่อพายุ “วิกฤตต้มยำกุ้ง” โหมกระหน่ำเอเชียในปี 1997 เศรษฐกิจของมาเลเซียก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง ทำให้พวกเขาจมลึกลงไปในกับดักรายได้ปานกลางอย่างสมบูรณ์
ภาวะนี้คือการที่ประเทศไม่สามารถยกระดับตัวเอง จากเศรษฐกิจที่อาศัยแรงงานและทรัพยากร ไปสู่เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีขั้นสูงได้
แต่ถึงแม้จะต้องเผชิญกับอุปสรรคนานัปการ มาเลเซียก็ไม่เคยหยุดนิ่ง พวกเขายังคงพยายามดิ้นรนเพื่อพัฒนาประเทศอยู่เสมอ
หนึ่งในความสำเร็จที่โดดเด่นที่สุด และกลายเป็นต้นแบบสำคัญ คือการปั้น “รัฐปีนัง” ให้กลายเป็น Silicon Valley of the East
ปีนังได้กลายเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่สำคัญของโลก มีบริษัทยักษ์ใหญ่ข้ามชาติมากกว่า 350 แห่ง เข้ามาตั้งฐานการผลิตอยู่ที่นี่
ที่น่าทึ่งคือ รัฐเล็กๆ แห่งนี้มีส่วนแบ่งในการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ของโลกถึง 5% ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ไม่ธรรมดาเลย
และในวันนี้ โอกาสครั้งที่สองที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ก็ได้เดินทางมาถึงหน้าประตูบ้านของมาเลเซียอีกครั้ง..
คลื่นการลงทุนระลอกใหม่จากบริษัทเทคโนโลยีทั่วโลก กำลังหลั่งไหลเข้าสู่มาเลเซียอย่างบ้าคลั่ง ตัวเลขการลงทุนนั้นอยู่ในระดับที่น่าตกใจ
Intel ยักษ์ใหญ่ด้านชิปจากสหรัฐฯ ประกาศลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาลถึง 7,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อขยายโรงงานประกอบและทดสอบชิป
Nvidia ผู้นำด้านชิป AI เตรียมทุ่มเงิน 4,300 ล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลปัญญาประดิษฐ์แห่งใหม่
Texas Instrument จัดสรรงบประมาณ 3,100 ล้านดอลลาร์ สำหรับสร้างโรงงานประกอบเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มอีก 2 แห่ง
ยังไม่นับรวมบริษัทชั้นนำจากทั่วโลกอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Bosch จากเยอรมนี, AT&S จากออสเตรีย, Ericsson จากสวีเดน และบริษัทจากจีนอีกกว่า 50 แห่ง ที่กำลังย้ายฐานการผลิตมายังมาเลเซีย
เหตุผลสำคัญที่ทำให้บริษัทจีนแห่กันเข้ามา ก็เพื่อหลีกเลี่ยงกำแพงภาษีและมาตรการคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกา ซึ่งทำให้มาเลเซียกลายเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
รัฐบาลมาเลเซียเองก็รู้ดีว่านี่คือโอกาสทอง พวกเขาจึงมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าที่จะผลักดันประเทศให้ไต่ระดับขึ้นไปอยู่ใน Global Value Chain
เป้าหมายของพวกเขาชัดเจนมาก นั่นคือการเปลี่ยนมาเลเซียให้กลายเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เทียบเท่ากับ ญี่ปุ่น, ไต้หวัน หรือเกาหลีใต้
เพื่อไปให้ถึงจุดนั้น รัฐบาลได้เปิดตัวแผนแม่บทอุตสาหกรรมใหม่ที่ชื่อว่า New Industrial Master Plan 2030
นี่คือนโยบายที่มีความทะเยอทะยานอย่างสูง เพื่อกระตุ้นภาคการผลิตในประเทศ และตั้งเป้าให้มาเลเซียเป็นศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของโลกให้ได้
แผนการพัฒนานี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในปีนังอีกต่อไป แต่ครอบคลุมไปทั่วประเทศ ตั้งแต่เมืองท่าอย่าง Klang และ Tanjung Pelepas ที่จะถูกพัฒนาให้เป็นฮับสำหรับสร้าง ทดสอบ และส่งออกชิป
ไปจนถึงเมือง Seremban และ Malacca ที่จะเป็นฐานที่มั่นของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง NXP และ Infineon
แม้แต่เมือง Kuching บนเกาะบอร์เนียว ก็กำลังมีการขยายการลงทุนครั้งใหญ่จากบริษัทญี่ปุ่นอย่าง Taiyo Yuden
ภาพอนาคตของมาเลเซียดูสดใสอย่างมาก แต่หากมองให้ลึกลงไป พวกเขาก็กำลังเผชิญกับความท้าทายที่สำคัญหลายประการ ซึ่งอาจเป็นตัวตัดสินชี้ขาดอนาคตของประเทศได้เลย
ปัญหาแรก และอาจเป็นปัญหาที่ใหญ่ที่สุด คือการขาดแคลนแรงงานทักษะสูง โดยเฉพาะวิศวกรและบุคลากรในสายการผลิต
ปัจจุบัน มาเลเซียขาดแคลนแรงงานในกลุ่มนี้อยู่ราว 50,000 คน ขณะที่มหาวิทยาลัยสามารถผลิตบัณฑิตวิศวกรรมได้เพียงปีละ 5,000 คนเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการที่กำลังเติบโตแบบก้าวกระโดด
ซ้ำร้าย มาเลเซียยังเจอกับปัญหา “สมองไหล” อย่างรุนแรง คนเก่งจำนวนมากเลือกที่จะย้ายไปทำงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะสิงคโปร์ เพื่อโอกาสและค่าตอบแทนที่ดีกว่า
ปัญหาที่สอง คือปัญหาค่าครองชีพและที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะในเมืองอุตสาหกรรมอย่างปีนัง ราคาบ้านและค่าเช่าได้พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นอุปสรรคสำคัญในการดึงดูดคนให้ย้ายเข้ามาทำงาน
และปัญหาที่สาม คือความไม่แน่นอนทางการเมือง ความผันผวนทางการเมืองเช่นนี้ สร้างความไม่มั่นใจให้กับนักลงทุนต่างชาติ และกระทบต่อความต่อเนื่องของนโยบาย
นอกเหนือจากปัญหาภายในที่ต้องเร่งแก้ไขแล้ว มาเลเซียยังต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากประเทศเพื่อนบ้าน
คู่แข่งที่น่ากลัวที่สุดคือ “สิงคโปร์” ซึ่งอยู่ติดกัน สิงคโปร์มีความได้เปรียบในทุกด้าน ทั้งเสถียรภาพทางการเมือง โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และค่าจ้างที่สูงกว่า ทำให้สามารถดึงดูดบุคลากรหัวกะทิจากทั่วโลก รวมถึงจากมาเลเซียเอง
“ประเทศไทย” ก็เป็นคู่แข่งที่มองข้ามไม่ได้ เรามีจุดแข็งด้านโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีแรงงานที่มีทักษะ และมีสิทธิพิเศษทางภาษีที่ดึงดูดนักลงทุน
ส่วน “เวียดนาม” ก็มีความได้เปรียบจากการอยู่ใกล้กับฐานการผลิตทางตอนใต้ของจีน และมีประชากรวัยหนุ่มสาวจำนวนมาก ทำให้กลายเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุน
คำถามสำคัญคือ ท่ามกลางความท้าทายรอบด้านเช่นนี้ มาเลเซียจะทำอย่างไร?
หนึ่งในกลยุทธ์ที่น่าสนใจและอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด คือการเปลี่ยนจาก “การแข่งขัน” มาเป็น “ความร่วมมือ” กับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะกับสิงคโปร์
แทนที่จะมองสิงคโปร์เป็นคู่แข่ง ทั้งสองประเทศอาจจับมือกันเป็นพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ เพื่อสร้างคลัสเตอร์เทคโนโลยีที่สมบูรณ์ที่สุดในภูมิภาค
ภาพที่อาจเกิดขึ้นคือ ชิปที่ถูกออกแบบและผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูงในสิงคโปร์ จะถูกส่งมาประกอบ ทดสอบ และบรรจุ (Assembly, Testing, and Packaging) ในมาเลเซีย ก่อนส่งออกไปทั่วโลก
แนวทางนี้อาจหมายความว่า มาเลเซียต้องยอมลดความทะเยอทะยานในการเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปตั้งแต่ต้นน้ำลงบ้าง แต่ในทางกลับกัน พวกเขาก็จะสามารถรักษาบทบาทที่สำคัญยิ่งในห่วงโซ่อุปทานระดับโลกไว้ได้
นอกจากนี้ มาเลเซียยังต้องเดินเกมอย่างระมัดระวังในการรักษาสมดุลทางการเมืองระหว่างสองมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาและจีน
ขณะที่พวกเขาพยายามเปิดรับการลงทุนจากบริษัทจีน ก็ต้องไม่ทำให้ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ซึ่งเป็นพันธมิตรด้านการลงทุนที่สำคัญที่สุดต้องสั่นคลอน การเดินบนเส้นด้ายแห่งภูมิรัฐศาสตร์นี้ ถือเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนและท้าทายเป็นอย่างยิ่ง
แน่นอนว่า การแก้ปัญหาภายในประเทศยังคงเป็นภารกิจเร่งด่วนที่สุด รัฐบาลมาเลเซียได้ประกาศแผนที่จะฝึกอบรมวิศวกรเซมิคอนดักเตอร์ที่มีทักษะสูงเพิ่มขึ้นอีก 60,000 คน
แต่นี่เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น พวกเขาจำเป็นต้องปฏิรูปการศึกษาและการฝึกอบรมทั้งระบบ เพื่อสร้างแรงงานที่ตอบโจทย์ความต้องการของอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
พร้อมกันนั้น ก็ต้องเร่งสร้างระบบนิเวศทางนวัตกรรม (Innovation Ecosystem) ที่แข็งแกร่งขึ้น ทั้งการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา, การสนับสนุนบริษัท Startup และการสร้างความร่วมมือที่แน่นแฟ้นระหว่างภาครัฐ, ภาคอุตสาหกรรม และสถาบันการศึกษา
การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อชีวิตของผู้คนในมาเลเซียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มันจะสร้างโอกาสทางอาชีพใหม่ๆ แต่ในขณะเดียวกัน ก็อาจนำมาซึ่งความท้าทายใหม่ๆ เช่นกัน
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่อาจถ่างกว้างขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรม จากการหลั่งไหลเข้ามาของแรงงานและผู้เชี่ยวชาญจากต่างชาติ
ท้ายที่สุดแล้ว ความสำเร็จของมาเลเซียในการเดินทางครั้งนี้ จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการรับมือกับความท้าทายทั้งภายในและภายนอกประเทศ
รวมถึงการปรับตัวให้เข้ากับโลกของธุรกิจและเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วอยู่เสมอ
แม้ว่าหนทางข้างหน้าจะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ดูเหมือนว่าครั้งนี้ มาเลเซียมีโอกาสสูงที่จะทำได้สำเร็จ หากพวกเขาสามารถใช้ประโยชน์จากจุดแข็งที่มีอยู่ เรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต และปรับตัวให้เข้ากับโจทย์ของศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ อาจเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ที่จะนำพามาเลเซียไปสู่การเป็นประเทศรายได้สูง และกลายเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยีของภูมิภาคได้อย่างแท้จริง..
References : [nikkei, bloomberg, reuters, theedgemalaysia, worldbank]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
The original article appeared here https://www.tharadhol.com/malaysia-2030/
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา