7 ก.ย. เวลา 05:57 • ความคิดเห็น

ชีวิตวัยเด็กหล่อหลอมให้เราเป็นคนแบบไหน

ช่วงนี้ผมกำลังอ่านหนังสือชื่อ Are Your Mad at Me: How to Stop Focusing on What Others Think and Start Living for You ของ Meg Josephson อยู่ครับ
3
เป็นหนังสือที่อ่านสนุกมาก ไม่แปลกใจว่าทำไมถึงได้ 4.48 ดาวบน Goodreads
หนังสือเหมือนจะเขียนให้ผู้หญิงอ่านเป็นหลัก เพราะอยู่ในสังคมที่ผู้ชายเป็นใหญ่ แต่ผมอ่านแล้วก็คิดว่ามันใช้ได้กับทุกเพศทุกวัยเหมือนกัน
เราคงคุ้นเคยกันว่า เวลาเจอ "สถานการณ์อันตราย" เรามักจะมีวิธีตอบสนองแบบ fight or flight - ไม่สู้ก็หนี เช่นเวลาที่แฟนโกรธเรามากๆ ถ้าเราไม่ทะเลาะด้วยก็ใช้วิธีเดินหนี
หรือบางคนอาจจะเคยได้ยินข้อสามคือ freeze คือหยุดนิ่งทำอะไรไม่ถูก ชวนให้นึกภาพกวางที่ยืนแน่นิ่งกลางไฮเวย์ยามค่ำคืน สายตาจับจ้องรถที่กำลังวิ่งมาด้วยความเร็วสูง
fight, flight or freeze นี่คือสามวิธีที่เราใช้เมื่อพบกับความรู้สึกว่าเราตกอยู่ในอันตราย
หนังสือ Are You Made at Me สอนให้รู้จักกับวิธีการที่สี่ที่คือ fawn - อ่านว่า "ฟอว์น"
เป็นคำสั้นๆ พยางค์เดียว จนผมอดแปลกใจไม่ได้ว่าทำไมไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลยในชีวิต
Fawn แปลว่า give a servile display of exaggerated flattery or affection, typically in order to gain favor or advantage
ถ้าให้แปลเป็นไทยจะฟังดูแรงไปหน่อย คือ ประจบสอพลอ
แต่ความหมายของ fawn ในบริบทของ fight/flight/freeze/fawn หมายถึงการที่เราไม่กล้าขัดใจคนอื่น เพราะการทำอย่างนั้นจะทำให้เราไม่ปลอดภัย จะสู้ก็ไม่ได้ จะหนีก็ไม่ได้ จะอยู่เฉยๆ ก็อาจโดนทำร้าย ก็เลยใช้วิธี "เอาอกเอาใจ" แทน
1
เมื่อเราคุ้นชินกับการทำอย่างนั้น โตขึ้นมาเราก็เลยกลายเป็น "people pleasers" ที่อยากทำให้คนอื่นสบายใจไปเสียหมด ส่วนเรารู้สึกอย่างไรก็เก็บกดมันเอาไว้ข้างใน
จึงเป็นที่มาของชื่อหนังสือ Are You Made at Me? เพราะคนที่เป็น people pleasers นั้นจะกังวลอยู่ตลอดว่าเราไปทำอะไรให้ใครไม่พอใจรึเปล่า
Meg Josephson ผู้เขียนหนังสือเล่มนี้บอกว่า ก่อนที่เราจะเป็น people pleasers ได้นั้น เราเป็น parent pleasers กันมาก่อน
นั่นคือเราต้องเคยเอาอกเอาใจพ่อแม่ หรือใครคนใดคนหนึ่งมาก่อนจนติดเป็นนิสัย
การเอาอกเอาใจไม่ใช่เรื่องผิด มันคือกลไกสำคัญที่ทำให้เราปลอดภัยและรอดพ้นวัยเด็กมาได้
มาลองดูกันว่าชีวิตวัยเด็กที่บังคับให้เราต้องเอาอกเอาใจคนในบ้าน ทำให้เราโตขึ้นมาเป็นคนแบบไหนได้บ้างนะครับ
1. The Peacekeeper - ผู้รักษาความสงบ
เราอาจโตมาในครอบครัวที่คนในบ้านทะเลาะกันบ่อยๆ หรือมีใครคนใดคนหนึ่งโมโหร้าย ปิดประตูโครมคราม เดินกระทืบเท้า อารมณ์แปรปรวน บางทีก็โกรธหรือไม่ยอมคุยกับเราโดยที่เราไม่เข้าใจเหตุผล
เด็กที่อยู่ในบ้านแบบนี้มักจะโดนแม่บังคับให้ไปขอโทษกับพ่อ หรือพ่อสั่งให้ไปขอโทษแม่ ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องขอโทษเรื่องอะไร พอเด็กเอ่ยปากถามว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คนเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ได้ให้คำอธิบายใดๆ และบอกกับเด็กว่าอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
เมื่อโตขึ้นมา เราจึงกลายเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงอารมณ์ และถ้ารู้สึกว่าทำอะไรให้ใครไม่พอใจ ก็จะโทษตัวเองไว้ก่อนและขอโทษขอโพยคนอื่นมากเกินพอดี (overapologize)
The Peacekeeper มักจะมีความเชื่อเหล่านี้
- การเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจลึกๆ นั้นดีกว่าแสดงมันออกมาและทำให้คนอื่นไม่พอใจ
- เราต้องแสดงให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นคนดี ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะจับได้ว่าเราเป็นคนไม่ดี
- ถ้ามีใครอารมณ์เสีย แสดงว่านั่นเป็นความผิดของเรา
-----
2. The Performer - นักแสดง
บ้านหลังนี้ไม่ได้มีการทะเลาะเบาะแว้งกันรุนแรงเหมือนหลังแรก แต่มีความ "มาคุ" อยู่ตลอดเวลา เพราะความรู้สึกของผู้ใหญ่ในบ้านไม่เคยถูกเอาขึ้นมาคุยกันอย่างเปิดอก ความไม่ชอบใจไม่พอใจนั้นถูกเก็บเอาไว้เนิ่นนานหลายปี จนแทบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าไม่พอใจเรื่องอะไร พ่อมักจะค่อนแคะแม่ให้ลูกฟัง และแม่ก็บ่นถึงพ่อให้ลูกฟังเช่นกัน
เมื่อลูกจับความตึงเครียดในครอบครัวได้ สิ่งที่ลูกพอจะทำได้คือการยิงมุกหรือทำตัวตลกโปกฮาเพื่อให้บรรยากาศในบ้านดีขึ้น
เด็กที่โตขึ้นมาในบ้านแบบนี้จะมีอารมณ์ขัน และมีมองโลกในแง่บวกเยอะกว่าคนปกติ เด็กจะมองว่าการทำให้คนในบ้านมีความสุขเป็นหน้าที่ของเขา และเด็กคนนี้จะรู้สึกว่าไม่ค่อยได้เป็นตัวของตัวเองเพราะต้อง "แสดง" (perform) อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่โดดเดี่ยวและเหน็ดเหนื่อยมาก
The Performer มักจะมีความเชื่อเหล่านี้
- การสร้างรอยยิ้มให้คนอื่นเป็นหน้าที่ของเรา
- เราควรเอาอกเอาใจคนอื่นเพื่อให้เขาชอบเรา
- เรารู้สึกเหมือนอยู่บนเวทีตลอดเวลา และต้องรักษาภาพลักษณ์ของตัวละครนี้ไว้เสมอ
-----
3. The Caretaker - ผู้ดูแล
เด็กที่โตขึ้นมาในบ้านที่มีพี่หรือน้องไม่ค่อยแข็งแรง หรือมีพัฒนาการช้า เวลาและพลังงานของพ่อกับแม่ก็จะเทไปอยู่ที่คนที่ต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ ทำให้ "เด็กปกติ" อย่างเราไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าไหร่นัก ซึ่งเราก็โอเค เพราะเราก็รักพี่รักน้องของเราเหมือนกัน
เด็กคนนี้จึงทำตัวเป็นคน low maintenance ไม่ค่อยเรียกร้องอะไร แถมยังพยายามช่วยเหลือทุกคนจนมักได้รับคำชมว่า "ความคิดความอ่านโตเกินไว"
เด็กที่โตมาในครอบครัวแบบนี้ จะรู้สึกว่าเขาจะเป็นที่รักได้ก็ต่อเมื่อทำตัวมีประโยชน์กับคนอื่น เด็กจึงกลายมาเป็นที่ปรึกษาตัวน้อยของพ่อแม่ รับฟังความเหน็ดเหนื่อยและความโกรธเคืองที่พ่อแม่มีต่อกันและกัน
เด็กคนนี้จะไม่เล่าปัญหาของตัวเองให้ใครฟัง เพราะไม่อยากไปเพิ่มภาระให้พ่อหรือแม่อีก การที่เขาอยากจะช่วยแบ่งเบาภาระของคนในบ้าน เพราะลึกๆ แล้วแอบหวังว่าถ้าพ่อแม่มีเวลามากขึ้นแล้วจะแบ่งเวลามาดูแลเขาได้บ้าง
เมื่อโตขึ้น เด็กคนนี้จะเป็นคนที่ไม่พึ่งพาใครเลย (hyperindependent) ทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว และแทบไม่เคยเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใคร ไม่เคยมีใครมาถามว่าเขาเป็นอย่างไร เพราะทุกคนคิดไปเองว่าเขาคนนี้จัดการทุกอย่างได้อยู่หมัด
คนที่เป็น Caretaker เวลาคบกับใคร จิตใต้สำนึกมักจะผลักให้เขาเลือกคบกับแฟนที่ต้องการการดูแล เพราะมันคือความสัมพันธ์ที่เขาคุ้นเคย
The Caretaker มักจะมีความเชื่อเหล่านี้
- ถ้าเราแคร์คนอื่นมากพอ สุดท้ายพวกเขาจะแคร์เราบ้างเหมือนกัน
- ความต้องการของคนอื่นนั้นสำคัญกว่าความต้องการของเรา
- เรามีคุณค่าต่อเมื่อเราทำตัวมีประโยชน์กับคนอื่น
-----
4. The Lone Wolf - หมาป่าเดียวดาย
ถ้าชีวิตในวัยเด็ก เรารู้สึกว่าถูกละเลย (emotional neglect) ไม่มีใครมาสนใจเรา เราก็จะมีโอกาสโตขึ้นมาเป็นหมาป่าเดียวดาย
เวลาเราไปเข้าค่ายหลายๆ คืน บ้านอื่นอาจจะเตรียมขนมและข้าวของเครื่องใช้แบบจัดเต็ม ในขณะที่กระเป๋าของเราแทบไม่มีอะไรเลย แถมระหว่างตอนอยู่ค่ายก็ไม่มีคนที่บ้านทักมาหาเหมือนเพื่อนคนอื่น
เวลาทะเลาะกับพ่อแม่ และเราเข้ามาเก็บตัวร้องไห้ในห้องคนเดียว เราแอบหวังว่าพ่อหรือแม่จะมาเคาะประตูห้องและเข้ามาถามไถ่ว่าเป็นยังไงบ้างแล้ว ดีขึ้นหรือยัง แต่ปรากฎว่าไม่มีใครมาหาเราเลย
เราไม่กล้าบอกพ่อแม่เวลาที่ทุกอย่างกำลังไปได้สวย เพราะถ้าพ่อแม่เชื่อแบบนั้นจริงๆ เรากลัวว่าพ่อแม่จะเลิกใส่ใจเราไปอย่างสิ้นเชิง
เด็กที่โตมาในบ้านหลังนี้ จะกลายเป็นคนที่ไม่พึ่งพาใครเช่นกัน (hyperindepedent) เวลาเล่นกีฬาก็มักจะเล่นกีฬาเดี่ยว ไม่อยากเล่นเป็นทีมเพราะกลัวว่าจะทำให้คนอื่นผิดหวัง และพื้นที่ที่รู้สึกปลอดภัยที่สุด คือห้องนอนของตัวเอง
The Lone Wolf มักจะมีความเชื่อเหล่านี้
- ความรักเป็นสิ่งที่ได้มาโดยยาก
- ไม่ควรสนิทกับใครเพราะไม่อยากจะผิดใจกัน
- การปล่อยให้ใครรู้จักเรามากเกินไปเป็นเรื่องไม่ปลอดภัย
-----
5. The Perfectionist - เพอร์เฟกชั่นนิสต์
บ้านหลังนี้เต็มไปด้วยความรักและความใส่ใจ แต่ก็เต็มไปด้วยความคาดหวังที่สูงลิบลิ่วเช่นกัน
เด็กในบ้านหลังนี้มักจะมีพ่อหรือแม่ (หรือทั้งคู่) ที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์และควบคุมชีวิตลูก มักจะบอก (หรือบังคับ) ลูกว่าควรเรียนอะไร เรียนที่ไหน การที่เด็กจะหนีให้พ้นข้อติติงได้ ก็ด้วยการทำตัวให้ใกล้เคียงความสมบูรณ์แบบมากที่สุด
เวลาที่ลูกท้อแท้หรืองอแง พ่อแม่จะบอกว่าอย่าทำตัวแบบนี้เพราะมันไม่มีประโยชน์ (not productive) และพอพ่อแม่เห็นว่าอารมณ์เหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระและไม่ควรค่าแก่การนั่งคุยกัน ลูกก็จะมองว่าการที่ตัวเองผิดที่มีความรู้สึกแบบนี้
เด็กจึงโตมาเป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ ที่จะร้องไห้เมื่อเห็นว่าสอบได้ B หนึ่งวิชาในขณะที่วิชาอื่นๆ ได้ A หมด จะเป็นคนไม่กล้าบอกใครเวลาทำอะไรผิดพลาดเพราะกลัวจะโดนเพื่อนๆ วิจารณ์เหมือนที่เคยโดนพ่อแม่ตำหนิ
เพอร์เฟกชั่นนิสต์จะแสดงออกว่าเขา productive ตลอดเวลา ถ้าในวัยเด็กกำลังนอนดูทีวีอยู่และได้ยินเสียงคนเดินเข้ามา เขาก็จะโยนรีโมตทิ้งแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาทำทีเป็นนั่งอ่านเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าตัวเองกำลังพักผ่อนอยู่ เขาจะเป็นคนที่กดดันตัวเองและรู้สึกผิดตลอดเวลาที่ไม่สามารถเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเหมือนดั่งที่วาดภาพเอาไว้ได้
The Perfectionist มักจะมีความเชื่อเหล่านี้
- เราต้องเพอร์เฟ็กต์เราถึงจะได้รับความรัก
- สิ่งต่างๆ ที่เราทำนั้นไม่เคยดีพอ
- โดยลึกๆ แล้วเรามีอะไรที่ผิดปกติไปจากคนอื่น
-----
6. The Chameleon - กิ้งก่าคาเมเลี่ยน
ใครที่ในวัยเด็กที่รังแกหรือถูกล้อบ่อยๆ มักจะมีโอกาสโตขึ้นมาเป็นกิ้งก่าที่ปรับสีสันไปตามสภาพ
เราอาจถูกล้อเรื่องการแต่งตัว ข้าวของเครื่องใช้ รูปร่างหน้าตา เวลาตอบคำถามในห้องเรียนก็ถูกเพื่อนๆ หัวเราะคิกคัก โดยเฉพาะเพื่อนกลุ่มนึงที่ชอบมาหาเรื่องเราบ่อยๆ เด็กกลุ่มนี้ดูเท่ ดูอินเทรนด์ ดูมีพาวเวอร์ และเด็กพวกนี้ก็ชอบมารังแกคนที่ไม่มีทางสํู้อย่างเรา เพราะเราอาจเพิ่งย้ายโรงเรียนมาหรือมีฐานะครอบครัวที่ยากจน
พอเราโดนรังแกมากๆ แล้วเสียใจ ร้องไห้กลับไปบอกที่บ้าน พ่อหรือแม่กลับบอกว่าอย่าไปใส่ใจ จงทำตัวให้เข้มแข็งกว่านี้ แล้วเดี๋ยวอะไรๆ มันจะดีขึ้น
แต่การล้อเลียนก็ยังคงดำเนินไป เราเลยต้องปรับยุทธศาสตร์ใหม่ ด้วยการเลียนแบบกลุ่มที่ชอบรังแกเรา ถ้าเด็กกลุ่มนี้ดูรายการทีวีเรื่องอะไรเราก็ดูตาม จะได้คุยกับเขารู้เรื่อง เด็กกลุ่มนี้แต่งตัวแบบไหนเราก็แต่งตาม เขาจะได้ว่าเราไม่ได้ว่าเราแต่งตัวเชย
การเลียนแบบคนที่ชอบรังแกเราคือแนวทางในการปกป้องตัวเอง ซึ่งก็มักจะใช้ได้ผล แต่สิ่งที่ตามมาคือเราไม่รู้ว่าตกลงแล้วเราเป็นใครกันแน่ เราต้องการอะไรกันแน่ เราไม่มีความเห็นเป็นของตัวเองเพราะเราเคยชินกับการทำตามคนรอบตัวมาโดยตลอด
The Chameleon มักจะมีความเชื่อเหล่านี้
- เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
- เราไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธใคร
- เราไม่รู้ว่าเราเป็นใคร เราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร
-----
และนี่คือคน 6 ประเภทที่เราอาจเป็นได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน
บ้านที่มีปากเสียง จะทำให้เราเป็น ผู้รักษาความสงบ
บ้านที่บรรยากาศตึงเครียด -> นักแสดง(ตลก)
บ้านที่บังคับให้เรารีบโตเป็นผู้ใหญ่ -> ผู้ดูแล
บ้านที่ไม่มีใครใส่ใจดูแลเรา -> หมาป่าเดียวดาย
บ้านที่คาดหวังให้ลูกเป็นเลิศ -> เพอร์เฟกชั่นนิสต์
บ้านที่ปล่อยให้ลูกโดนรังแก -> กิ้งก่าคาเมเลี่ยน
คิดว่าหลายท่านคงจะพอเห็นภาพว่าตัวเองเป็นคนแบบไหน และเหตุใดเราถึงกลายเป็น people pleasers และต้องใช้วิธีการ fawning เพื่อเอาตัวรอดมาตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน
แล้วถ้าเราเหน็ดเหนื่อยกับการใช้ชีวิตแบบนี้แล้ว เราจะเยียวยารักษาตัวเราได้อย่างไรบ้าง?
ผมยังอ่านหนังสือเล่มนี้ไม่จบ จึงยังไม่มีคำตอบ แต่ก็อยากเชิญชวนให้ไปหาหนังสือ Are You Mad at Me ของ Meg Josephson มาลองอ่านดู
ก่อนจากกัน ขอฝากหนึ่งประโยคในหนังสือที่ผมชอบมาก และอยากให้ลองพูดกับตัวเอง:
"Thank you, past self, for protecting me for so long. I am safe now."
ขอบคุณนะ ตัวเราในอดีต ที่ดูแลเรามาตลอด ตอนนี้เราปลอดภัยแล้วล่ะ
โฆษณา