9 ก.ย. เวลา 02:09 • ยานยนต์

Norway ทำได้อย่างไร? แค่ 5 ล้านคน แต่เปลี่ยนโลก ประเทศที่ 90% ของรถใหม่เป็น EV

ณ ดินแดนที่ได้ชื่อว่ามีแสงเหนือที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ประเทศเล็กๆ ในแถบสแกนดิเนเวียกำลังสร้างปรากฏการณ์ที่ทำให้โลกต้องหันมามอง
ประเทศนั้นคือ Norway ดินแดนที่ร่ำรวยจากการส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ แต่กลับกำลังจะกลายเป็นประเทศแรกในโลกที่กำลังจะยุติการใช้รถยนต์น้ำมันอย่างสิ้นเชิง
เรื่องราวนี้อาจฟังดูย้อนแย้ง แต่ตัวเลขไม่เคยโกหก
ในปีที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ใหม่ใน Norway เกือบ 90% เป็นรถยนต์ไฟฟ้าหรือ Plug-in Hybrid ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในโลกอย่างไม่มีใครเทียบ
คำถามคือ ประเทศที่มั่งคั่งจากพลังงานฟอสซิล ทำไมถึงเลือกเดินในเส้นทางตรงกันข้าม?
และพวกเขาทำได้อย่างไร ในการเปลี่ยนพฤติกรรมคนทั้งชาติให้หันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าได้สำเร็จ
เรื่องราวทั้งหมดไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่ต้องย้อนกลับไปไกลถึงยุค 90
ในขณะที่โลกยังตื่นเต้นกับเครื่องยนต์สันดาป รัฐบาล Norway กลับเริ่มมองเห็นอนาคตที่แตกต่างออกไป พวกเขาเริ่มวางรากฐานนโยบายสนับสนุนรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเงียบๆ
จุดเปลี่ยนเล็กๆ ที่สำคัญ เกิดขึ้นในมหกรรมโอลิมปิกฤดูหนาวปี 1994 ที่เมือง Lillehammer
ท่ามกลางการแข่งขันระดับโลก มีการนำรถยนต์ไฟฟ้าหน้าตาแปลกๆ ที่ชื่อว่า “Think” ออกมาจัดแสดง มันเป็นรถสองที่นั่งขนาดเล็กที่ในตอนนั้นอาจดูเหมือนของเล่นมากกว่ายานพาหนะจริงจัง
แน่นอนว่ามันไม่ประสบความสำเร็จในเชิงพาณิชย์ แต่การปรากฏตัวของมันเปรียบเสมือนการจุดประกายความคิด และเป็นสัญลักษณ์ที่บอกกับโลกและคนในชาติว่า Norway กำลัง “คิด” ถึงเรื่องนี้อย่างจริงจัง
รัฐบาล Norway ตระหนักดีว่ามลพิษจากภาคการขนส่งคือปัญหาใหญ่ที่ต้องจัดการ
พวกเขาจึงไม่ได้แค่คิด แต่ลงมือทำ ด้วยการตั้งเป้าหมายที่ท้าทายและดูเหมือนจะไกลเกินฝันในเวลานั้น
เป้าหมายนั้นคือ ภายในปี 2025 รถยนต์ใหม่ทุกคันที่จำหน่ายในประเทศ จะต้องเป็นรถยนต์ที่ปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ (Zero-Emission Vehicle)
นี่ไม่ใช่แค่คำประกาศสวยหรู แต่เป็นเหมือนสิ่งที่ชี้นำทุกนโยบายของประเทศตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ทศวรรษนับจากนั้น
เมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน ขั้นต่อไปคือการลงมือปฏิบัติ รัฐบาล Norway รู้ดีว่าการจะเปลี่ยนใจคนได้ ต้องใช้กลยุทธ์ทางเศรษฐศาสตร์ที่แยบยล
พวกเขาใช้หลักการที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังที่เรียกว่า “The Polluter Pays” หรือ “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย”
แนวคิดนี้คือการทำให้ทางเลือกที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม เป็นทางเลือกที่ “ฉลาดที่สุด” ในเชิงเศรษฐศาสตร์สำหรับประชาชน
กลยุทธ์แรกคือการใช้แรงจูงใจเชิงบวก
รัฐบาลประกาศยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่สูงถึง 25% สำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ลองจินตนาการดูว่า หากรถยนต์มีราคา 2 ล้านบาท การยกเว้นภาษีนี้ก็เหมือนกับการมอบส่วนลดให้ทันทีถึง 500,000 บาท
ส่วนลดมหาศาลนี้ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าที่เคยดูแพงเกินเอื้อม กลับลงมาอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับรถยนต์น้ำมันได้ หรือในบางรุ่นอาจมีราคาถูกกว่าด้วยซ้ำ
กลยุทธ์ต่อมาคือการใช้ “ไม้แข็ง” หรือแรงจูงใจเชิงลบ
ในทางกลับกัน รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปจะถูกเก็บภาษีนำเข้าและภาษีการซื้อในอัตราที่สูงมาก โดยคำนวณจากน้ำหนัก การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และไนโตรเจนออกไซด์
พูดง่ายๆ ก็คือ ยิ่งรถของคุณสร้างมลพิษมากเท่าไหร่ คุณก็ต้องจ่ายแพงขึ้นเท่านั้น
สิ่งนี้สร้างแรงกดดันให้ผู้บริโภคต้องคิดทบทวนอย่างหนักก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์น้ำมันสักคัน
แต่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอ รัฐบาลยังมอบ “สิทธิพิเศษ” ที่ทำให้ชีวิตของคนใช้รถ EV สะดวกสบายกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ว่าจะเป็นการได้รับส่วนลดค่าผ่านทางด่วนและค่าเรือเฟอร์รี่ ที่จอดรถฟรีในเขตเมือง หรือแม้กระทั่งสิทธิ์ในการวิ่งในช่องทางเดินรถประจำทาง (Bus Lane) เพื่อหลีกเลี่ยงรถติดในชั่วโมงเร่งด่วน
สิ่งเหล่านี้คือแรงจูงใจในชีวิตประจำวันที่จับต้องได้ และสร้างความรู้สึกว่าการเลือกใช้รถ EV คือการตัดสินใจที่ “เหนือกว่า” อย่างแท้จริง
แน่นอนว่านโยบายที่ดีต้องมาพร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่ง
เมืองหลวงอย่าง Oslo ได้กลายเป็นห้องทดลองขนาดใหญ่ พวกเขาทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อติดตั้งสถานีชาร์จสาธารณะหลายพันจุดทั่วเมือง
และยังมีแนวคิดสุดสร้างสรรค์ด้วยการปรับปรุงหลุมหลบภัยระเบิดเก่าตั้งแต่สมัยสงครามเย็น ให้กลายเป็นอาคารจอดรถใต้ดินขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยจุดชาร์จสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ
ภาคเอกชนเองก็ปรับตัวได้อย่างน่าทึ่ง บริษัทสถานีบริการน้ำมันอย่าง Circle K ไม่ได้มองว่ารถ EV คือผู้มาทำลายธุรกิจ แต่คือโอกาสครั้งใหม่
พวกเขาพลิกโฉมสถานีบริการน้ำมันเดิมให้กลายเป็นสถานีพลังงาน ที่มีทั้งหัวจ่ายน้ำมันและเครื่องชาร์จเร็วสำหรับรถ EV อยู่ร่วมกัน
เรื่องที่น่าสนใจคือ รูปแบบธุรกิจของสถานีบริการก็เปลี่ยนไป
เมื่อลูกค้าต้องใช้เวลาชาร์จรถนาน 20-30 นาที ซึ่งนานกว่าการเติมน้ำมันมาก นั่นคือโอกาสทองที่พวกเขาจะจับจ่ายใช้สอยในร้านสะดวกซื้อ หรือดื่มกาแฟรอ ซึ่งกลายเป็นแหล่งสร้างกำไรที่สำคัญกว่าการขายพลังงานเสียอีก
แต่การเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่นี้ก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
ความท้าทายแรกที่เกิดขึ้นคือปัญหา “สงครามแอปพลิเคชัน”
ผู้ให้บริการสถานีชาร์จแต่ละเจ้าต่างก็มีแอปพลิเคชันและระบบชำระเงินของตัวเอง สร้างความสับสนวุ่นวายให้กับผู้ใช้งานไม่น้อย
รัฐบาลจึงต้องเข้ามาแก้ปัญหานี้ ด้วยการออกกฎหมายเพื่อสร้างมาตรฐานกลาง และผลักดันให้ทุกสถานีชาร์จต้องมีเครื่องรับบัตรเครดิต เพื่อให้ประสบการณ์การใช้งานง่ายและสะดวกเหมือนการเติมน้ำมัน
ความท้าทายต่อมาคือความเชื่อและความกังวลของผู้คน
แม้ตัวเลขจะสวยหรู แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงกังวลเกี่ยวกับระยะทางในการขับขี่ โดยเฉพาะในฤดูหนาวที่อากาศหนาวจัดซึ่งส่งผลต่อประสิทธิภาพของแบตเตอรี่
รวมถึงความกังวลเรื่องคิวชาร์จที่ยาวเหยียดในช่วงเทศกาล และความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับอันตรายจากแบตเตอรี่ ซึ่งยังคงเป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันอยู่เสมอ
และมีความท้าทายที่น่าสนใจอีกประการหนึ่ง คือผลกระทบที่ไม่คาดคิด
เมื่อการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามีต้นทุนที่ถูกและสะดวกสบาย มันกลับจูงใจให้ผู้คนหันมาใช้รถยนต์ส่วนตัวมากขึ้น แทนที่จะใช้ระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งอาจสวนทางกับเป้าหมายการลดความแออัดในเมือง
นี่คือโจทย์ใหม่ที่รัฐบาล Norway กำลังพยายามหาทางแก้ไขอย่างจริงจัง
แต่สิ่งที่น่าชื่นชมคือ พวกเขาไม่เคยหยุดนิ่ง เมื่อเจอปัญหาก็พร้อมที่จะเข้าไปแก้ไขและปรับปรุงนโยบายให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
คำถามสำคัญที่สุดคือ อะไรคือกุญแจที่ทำให้โมเดลของ Norway ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม?
คำตอบอาจเป็นสิ่งที่หลายคนคาดไม่ถึง นั่นคือ “น้ำ”
ประเทศ Norway มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์อย่างมหาศาล พวกเขาพึ่งพา พลังงานน้ำ (Hydropower) ในการผลิตไฟฟ้าเกือบ 100% มาเป็นเวลากว่าศตวรรษแล้ว
สิ่งนี้ทำให้ไฟฟ้าของพวกเขาทั้งสะอาดและมีราคาถูกมาก เมื่อเทียบกับราคาน้ำมันแล้ว ค่าไฟฟ้าสำหรับชาร์จรถยนต์นั้นถูกกว่าถึง 3 เท่า นี่คือแต้มต่อที่สำคัญที่สุดที่ทำให้กลยุทธ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นได้จริง
เรื่องที่น่าทึ่งคือ Norway เป็นหนึ่งในผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในยุโรปตะวันตก
อุตสาหกรรมนี้สร้างรายได้มหาศาลและเป็นสัดส่วนถึง 24% ของ GDP ของประเทศ แต่พวกเขากลับมุ่งมั่นที่จะลดการปล่อยมลพิษอย่างจริงจัง
นี่คือภาพสะท้อนของวิสัยทัศน์ที่มองการณ์ไกล พวกเขารู้ว่าความมั่งคั่งจากฟอสซิลเป็นเพียงเรื่องชั่วคราว แต่อนาคตที่ยั่งยืนนั้นอยู่ที่พลังงานสะอาด
1
ประสบการณ์ของ Norway ได้มอบบทเรียนสำคัญหลายประการให้กับโลก
บทเรียนแรก คือความสำคัญของการวางแผนระยะยาวและมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน ความสำเร็จนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ของนโยบายที่ต่อเนื่องมาตลอด 30 ปี
บทเรียนที่สอง คือพลังของแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ รัฐบาลต้องกล้าใช้มาตรการทางภาษีและสิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อชี้นำพฤติกรรมของผู้บริโภคอย่างเด็ดขาด
บทเรียนที่สาม คือโครงสร้างพื้นฐานต้องมาก่อน การมีสถานีชาร์จที่ครอบคลุมและใช้งานง่าย คือหัวใจสำคัญที่จะขจัดความกังวลและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน
และ บทเรียนสุดท้าย คือการรู้จักใช้ประโยชน์จากจุดแข็งของประเทศตัวเอง
Norway ใช้ความได้เปรียบจากพลังงานน้ำมาเป็นรากฐานในการสร้างชาติแห่งยานยนต์ไฟฟ้า
แม้ Norway จะเป็นประเทศเล็กๆ แต่บทเรียนจากความสำเร็จของพวกเขาสามารถเป็นต้นแบบให้กับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกได้
ในอนาคตอันใกล้ เมื่อเทคโนโลยีพัฒนาขึ้นและต้นทุนถูกลง การเปลี่ยนผ่านสู่การคมนาคมที่สะอาดและยั่งยืนจะกลายเป็นความจริงในหลายประเทศ
โดยมี Norway เป็นต้นแบบที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ “เป็นไปได้จริง”
หากทุกภาคส่วนมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและร่วมมือกันอย่างจริงจัง เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าสำหรับคนรุ่นต่อไป
References : [reuters, cnbc, elbil, iea]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
The original article appeared here https://www.tharadhol.com/how-can-norway-do-it/
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา