9 ก.ย. เวลา 08:08 • การศึกษา

#ว่าด้วยเรื่องจิต 1

#ซีโหยวจี้ #ไซอิ๋วกี่
...
ในนิยายไซอิ๋วกี่ ซึงหงอคงมีหน้าที่ขับไล่ภยันตรายอันเกิดจากเหล่าปีศาจผู้หมายใจจะกินเนื้อพระถังซำจั๋งเพื่อบรรลุอมตภาพ หน้าที่นั้นเป็นหน้าที่ของ #เหรุกะ เทพผู้พิทักษ์ผู้เป็นตัวแทนของโพธิจิตที่แสดงออกในรูปลักษณ์ของเทพแห่งความเกรี้ยวกราด (โกรธา-วิฆนันตกะ) ซึ่งมีรูปร่างลักษณะที่น่ากลัวและมาพร้อมกับกวัดแกว่งอาวุธร้าย
ในหลายต่อหลายครั้งที่ต้องปกป้องพระถังซำจั๋ง ซึงหงอคงแสดงออกถึงความเกรี้ยวกราดโดยไม่ยั้งมือชั่งใจใดๆ ซึ่งสอดคล้องกับบุคลิกภาพของพระธยานิพุทธอักโษภยะในภาคดุร้าย ดังนั้น ราชาวานร #ซึงหงอคง จึงมีฐานะเป็นตัวแทนของพระธยานิพุทธอักโษภยะ หลายบทหลายตอนในนิยายไซอิ๋วกี่ ซึงหงอคงจึงถูกเรียกว่า “#ซินหยวน” (วานรจิต) เพื่อสื่อว่า ซุนหงอคงมีสถานะเป็น “โพธิจิต” เช่นดียวกับพระธยานิพุทธอักโษภยะ
คำ หงอคง (อู้คง) มีความหมายว่า ตื่นรู้ในความว่าง (อนตฺตา) ราชาวานรได้ชื่อว่า “หงอคง” เพื่อสื่อว่า จิตมีบทบาทสำคัญที่ทำให้มนุษย์ต้องเผชิญกับทุกข์หรือสุขในชีวิตของตน และมนุษย์จะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ โดยการรู้แจ้งในความว่างนั่นเอง
ธรรมชาติของวานรนั้น “อยู่ไม่สุข” เช่นเดียวกันกับจิตมนุษย์ที่จะว่อกแว่กแกว่งไกวไปมาตลอดเวลา ไม่เคยหยุดนิ่ง การสยบจิตให้อยู่นิ่ง ต้องอาศัยมหาสติปัฏฐานสร้างสัมมาสมาธิ เช่น การฝึกปฏิบัติกรรมฐาน สวดมนต์ ฯลฯ เช่นเดียวกับที่พระถังซำจั๋งควบคุมซึงหงอคงโดยสวดมนต์เร้ารัดเกล้าให้บีบขมับของราชาวานร
ซึงหงอคงมีอิทธิฤทธิ์มากมายหลายประการ มีพละกำลังมหาศาลสามารถแบกภูผาสวรรค์สองลูกไว้บนบ่าพร้อมกับออกวิ่งด้วยความเร็วสูงราวกับผีพุ่งไต้ แปลงร่างได้ 72 รูปแบบ อาทิ แปลงร่างเป็นได้ทั้งสัตว์หรือวัตถุชนิดต่างๆ ถอนขนเสกเป็นร่างจำแลงของตน เป็นสัตว์หรือเป็นอาวุธใดๆ ก็ได้ รวมทั้งหดหรือขยายร่างได้ ตีลังกาครั้งเดียวไปได้ไกลถึง 108,000 ลี้หรือ 54,000 กิโลเมตร
เพื่อดูแลลิงทุกตัวในฐานะราชาวานร ซึงหงอคงจึงมีความทรงจำเป็นเลิศกระทั่งจำลิงได้ทุกตัวที่เกิดมาบนโลก มีพลังสะกดให้คนหยุดนิ่งไม่ติงกาย มีเมฆวิเศษเป็นพาหนะ มีอาวุธคู่มือเป็นพลองวิเศษ ที่เปลี่ยนขนาดได้อย่างน่าอัศจรรย์ โดยเมื่อยืดออกก็ยาวไปถึงสรวงสวรรค์ หรือในยามหดก็เล็กจนเก็บไว้ในรูหูได้
อิทธิฤทธิ์ที่มี สร้างความลำพองใจให้ซึงหงอคงถึงกับไปอาละวาดถึงสรวงสวรรค์จนปั่นป่วนกระทั่งเง็กเซียนฮ่องเต้ก็ไม่อาจปราบปรามได้ ร้อนถึงองค์พระยูไลต้องเสด็จมาจากวัดเหลยอินสื้อเพื่อกำหราบด้วยพระองค์เอง
ซึงหงอคงประกาศตนว่าต้องการครองสวรรค์แทนเง็กเซียนฮ่องเต้ พระยูไลจึงท้าทายว่าหากหนีพ้นฝ่ามือของพระองค์ได้ จะยินยอมตามความต้องการนั้น
ซึงหงอคงรับคำท้าโดยตีลังกาไปไกลกว่า 108,000 ลี้และบินต่อไปด้วยเมฆวิเศษ และเมื่อไปถึงสุดขอบจักรวาลแต่ไม่พบเห็นสิ่งใดนอกจากเสาห้าต้น ก็กระหยิ่มใจว่า หนีพ้นฝ่ามือพระยูไลจนมาแล้ว จึงประทับชื่อ #ฉีเทียนต้าเซิ่ง ของตนเอาไว้บนเสาเพื่อเป็นหลักฐานโดยหารู้ไม่ว่า นั่นคือพระองคุลีทั้งห้าของหัตถ์พระยูไล
ซึงหงอคงพยายามหนีต่อไปอีก พระยูไลจึงแปลงฝ่ามือเป็นภูเขาหินกดทับซึงหงอคง แต่ซึงหงอคงยกภูเขาหินทั้งห้าขึ้นได้ พระยูไลจึงประทับยันต์กระดาษจารึกบทสวดมนต์ “โอม มณี ปัทเม ฮัม” และจองจำซึงหงอคงไว้ใต้ภูเขาหินห้านิ้วเพื่อให้เรียนรู้ถึงการอดทนและความนอบน้อมถ่อมตนโดยให้รอคอยพระถังซำจั๋งมาปลดปล่อยในอีก 500 ปีข้างหน้า
มีผู้วิเคราะห์เนื้อหาของนิยายไซอิ๋วกี่ในประเด็นนี้ไว้ว่า ในเชิงสัญลักษณ์นั้น ภูเขาหินห้านิ้วเป็นตัวแทนของขันธ์ทั้งห้า ในขณะที่ซึงหงอคงเป็นตัวแทนของจิต การที่ซึงหงอคงถูกกักขังไว้ใต้ภูเขาหินห้านิ้วจีงหมายถึง จิตของมนุษย์ถูกกักขังอยู่ในขันธ์ทั้งห้านั่นเอง
ทว่า หากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในมุมมองแบบวิทยาศาสตร์แล้ว ประเด็นนี้ยังมีข้อพิจารณาต่อไปว่า ในความเป็นจริงนั้น ควรจะสรุปว่า “จิตมนุษย์ถูกกักขังอยู่ในขันธ์ทั้งห้า” หรือ “จิตมนุษย์เกิดจากขันธ์ทั้งห้า” กันแน่
โดยข้อเท็จจริงแล้ว เรามักพบคำบรรยายถึงขันธ์ทั้งห้าอย่างเป็นแบบแผนในทำนองที่ว่า “ขันธ์ 5 (หรือเบญจขันธ์) เป็นหลักธรรมในศาสนาพุทธ โดยหมายถึง กองแห่งรูปธรรมและนามธรรมทั้ง 5 ที่รวมกันแล้วก่อให้เกิดเป็นคนหรือสัตว์
ขันธ์ 5 ประกอบด้วยกองรูปธรรมและนามธรรมทั้ง 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ซึ่งสามารถแยกออกเป็น รูป 1 และ นาม 4 ดังต่อไปนี้
1. รูป หมายถึง ส่วนที่เป็นร่างกาย พฤติกรรม คุณสมบัติต่างๆ ของร่างกาย และสิ่งที่เป็นรูปธรรมทั้งหมด
2. เวทนา หมายถึง ส่วนที่เป็นความรู้สึกทุกข์ สุข ดีใจ พอใจ
3. สัญญา หมายถึง ส่วนที่เป็นการจำสิ่งที่ได้รับ
4. สังขาร หมายถึง ส่วนที่เป็นการคิดปรุงแต่ง โดยสามารถแยกแยะสิ่งที่รู้สึกหรือจดจำได้
5. วิญญาณ หมายถึง จิต เป็นการรับรู้ถึงสิ่งต่างๆ ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ”
เมื่อพิจารณาข้อความข้างต้น ข้อสรุปจากการตีความที่ได้จึงมักจะออกมาในทำนองที่ว่า ขันธ์ทั้งห้าเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ และจิตย่อมถูกกักขังอยู่ในขันธ์ทั้งห้าแน่นอน
เมื่อเทียบกับข้อความในพระไตรปิฎก [ฉบับมหาจุฬาฯ] เล่มที่ 14 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 6 มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ 6. ฉฉักกสูตร ว่าด้วยธรรม 6 ประการ 6 หมวด อันมีความตอนหนึ่งว่า
“...เรากล่าวคำนี้ไว้ว่า ‘พึงทราบหมวดเวทนา 6’ เพราะอาศัยเหตุอะไร เราจึงกล่าวไว้เช่นนั้น คือ
1. เพราะอาศัยจักขุและรูป จักขุวิญญาณจึงเกิด ความประจวบแห่งธรรม3 เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิด
2. เพราะอาศัยโสตะและเสียง โสตวิญญาณจึงเกิด ความประจวบแห่งธรรม3 เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิด
3. เพราะอาศัยฆานะและกลิ่น ฆานวิญญาณจึงเกิด ความประจวบแห่งธรรม3 เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิด
4. เพราะอาศัยชิวหาและรส ชิวหาวิญญาณจึงเกิด ความประจวบแห่งธรรม3 เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิด
5. เพราะอาศัยกายและโผฏฐัพพะ กายวิญญาณจึงเกิด ความประจวบแห่งธรรม3 เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิด
6. เพราะอาศัยมโนและธรรมารมณ์ มโนวิญญาณจึงเกิด ความประจวบแห่งธรรม3 เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาจึงเกิด”
คำบรรยายในพระไตรปิฏกข้างต้น มีความหมายว่า เมื่อ อายตนะภายนอก (สิ่งเร้าทั้ง 6 Sensing object หรือ สัญญาณของข้อมูลที่อวัยวะรับรู้ทั้งหกสามารถรับได้) อันได้แก่ ภาพ เสียง กลิ่น รส กายสัมผัส (โผฏฐัพพะ) และ กระแสความคิด (ธรรมารมณ์) กระทบกับ อายตนะภายใน (อวัยวะรับรู้ทั้ง 6 Sensing organ) อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และ จิต (มโน) จะก่อให้เกิดการรับรู้ (วิญญาณ)
ความครบพร้อมบริบูรณ์ของกลไกที่เกิดขึ้นนี้เรียกว่า “ผัสสะ” ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดเวทนา (ความรู้สึกนึกคิด Sentiment)”
อย่างไรก็ตาม หากยอมรับตามการตีความข้างต้น มีส่วนหนึ่งที่แปลกแยก
ไม่เข้าพวกคือ “จิต” (หรือ มโน) อันเป็นหนึ่งในอายนตนะภายใน แต่กลับแตกต่างจากอายตนะภายในอีกห้าประการซึ่งเป็นอวัยวะของมนุษย์ที่บอกได้แน่นอนว่าคือส่วนใดของร่างกาย หากไม่อาจระบุได้แน่นอนว่า “จิต” (มโน) เป็นอวัยวะใด และเป็นเรื่องง่ายเกินไปที่จะระบุว่า “จิต” (มโน) เป็นอวัยวะของมนุษย์ที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ยังไม่ก้าวหน้ามากพอที่จะยืนยันได้ว่าคืออะไร
การศึกษาสิ่งที่มีภูมิปัญญาใกล้เคียงกับมนุษย์ในแง่การมีความคิด เช่น ปัญญาประดิษฐ์ อาจให้ความกระจ่างในประเด็นนี้ได้ง่ายขึ้น
...
ยังมีต่อ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา