10 ก.ย. เวลา 02:47 • การศึกษา

#ว่าด้วยเรื่องจิต 2

#ซีโหยวจี้ #ไซอิ๋วกี่
...
มนุษย์มีจินตนาการถึงปัญญาประดิษฐ์มาตั้งแต่ยุคโบราณในฐานะเป็นผู้รับใช้ของตน แต่ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2559 คนทั้งโลกตื่นขึ้นจากจินตนาการมาพบกับความจริงที่น่าตื่นเต้น เมื่อบริษัท ดีพมายด์ (DeepMind) นำปัญญาประดิษฐ์ที่ถูกตั้งชื่อว่า “อัลฟาโกะ” (AlphaGo) ออกจากห้องทดลอง มาเขย่าวงการคอมพิวเตอร์และวงการหมากล้อมโลก
ก่อนหน้านั้น ปัญญาประดิษฐ์ชื่อ ดีพบฺลู (DeepBlue) ของบริษัท ไอบีเอ็ม (IBM) เคยเอาชนะ การ์รี คาสพารอฟ แชมป์หมากรุกโลกได้ในการแข่งขันที่มหานครนิวยอร์คเมื่อปี พ.ศ. 2540 อย่างไรก็ตาม ความซับซ้อนบนกติกาที่เรียบง่ายของหมากล้อมนั้น มีมากกว่าหมากรุกอย่างเทียบกันไม่ได้ ทว่า อัลฟาโกะทำได้มากยิ่งกว่าเพียงแต่เอาชนะมนุษย์ในเกมหมากล้อม
หมากล้อมหรือเว่ยชี่ในภาษาจีน รู้จักกันไปทั่วโลกในชื่อ โกะ (Go) ไม่มีหลักฐานยืนยันว่า หมากล้อมถูกประดิษฐ์คิดค้นขึ้นมาโดยใครและเมื่อใด มีเพียงตำนานเล่าสืบต่อกันมาว่า "จักรพรรดิเหยา" ผู้มีชีวิตอยู่ในระหว่างปี 2357-2255 ก่อนคริสตกาล ทรงประดิษฐ์หมากล้อมขึ้นมาเพื่อใช้สอนพระโอรส "ตันจู่"
แต่ยังมีบันทึกอีกฉบับหนึ่งระบุไว้ว่า หมากล้อมได้รับการประดิษฐ์ขึ้นโดย "ซุน" ผู้มีชีวิตอยู่ในระหว่างปี 2255-2205 ก่อนคริสตกาล เพื่อใช้สอน "ซ่างจวิน" ผู้เป็นบุตรชาย
เอนไซโคลพีเดีย บริตานิกา บันทึกว่า หมากล้อมถูกประดิษฐ์ขึ้นในประเทศจีนเมื่อราวปี 2306 ก่อนคริสตกาล ในขณะที่ เอนไซโคลพีเดีย อเมริกานา ระบุว่าเป็นปี 2300 ก่อนคริสตกาล
บันทึกโบราณหลายฉบับ เช่น จั๋วจ้วน ลุ่นอฺวี่ และ เหมิงจื่อ ระบุว่า ในสมัยราชวงศ์ฮั่น หมากล้อมมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "อี้" แต่ถูกเปลี่ยนชื่อในภายหลังเป็น "เว่ยชี่" แม้ไม่เคยปรากฏว่า ในภาษาจีนโบราณ คำเดี่ยวหนึ่งคำจะวิวัฒน์ไปเป็นคำประกอบหลายคำ แต่นั่นอาจเป็นเพราะคำ "เว่ย" มีความหมายว่า "ล้อมรอบ" ที่สื่อได้ชัดเจนกว่าก็เป็นไปได้
หมากล้อมได้ชื่อในภาษาเกาหลีว่า “แพดุ้ก” เมื่อเผยแพร่เข้าสู่คาบสมุทรเกาหลีในศตวรรษที่ 5 และได้ชื่อในภาษาญี่ปุ่นว่า “อิโกะ” เมื่อไปถึงหมู่เกาะญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 7
ในสังคมขงจื่อยุคโบราณ ความสามารถในการเล่นหมากล้อมได้รับการยกย่องเสมอฝีมือในศิลปะแขนงอื่น เช่น วรรณกรรม จิตรกรรม ดนตรี ลิปิศิลป์ ฯลฯ หมากล้อมจึงเป็นที่นิยมเล่นกันในหมู่บัณฑิตขงจื่อ
ในอีกด้านหนึ่ง หมากล้อมและการทำสงครามมีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิด บันทึกสมัยฉิน (พ.ศ. 808-963) เขียนถึงสงครามระหว่าง เซียะอัน และ เซียะเสฺวียน สองอาหลาน หลังการรบอย่างดุเดือดเลือดนองเป็นท้องธารหลายครั้งหลายหนโดยไม่มีผู้ใดมีชัยอย่างเด็ดขาดจนนำไปสู่การยุติสงครามได้ สองขุนศึกจึงตกลงที่จะประลองหมากล้อมเพื่อหาผลแพ้ชนะ เพราะไม่ปรารถนาที่จะสูญเสียกำลังทหารของตนอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผลการประลองหมากล้อมครั้งนั้น ไม่ได้รับการบันทึกไว้แต่อย่างใด
ชาวจีนเล่นหมากล้อมกันมาตั้งแต่ยุคโบราณและยังคงนิยมเล่นกันต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันนี้ การแข่งขันหมากล้อมถูกจัดขึ้นในทุกระดับตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับโลก ทั้งระดับสมัครเล่นและระดับอาชีพ
จากการสำรวจของสมาพันธ์หมากล้อมสากล (International Go Federation) ที่มีสมาชิกกว่า 75 ชาติพบว่า ทุกวันนี้ มีผู้เข้าใจกติกาหมากล้อมมากกว่า 46 ล้านคนทั่วโลก โดยมีผู้ที่ยังคงเล่นหมากล้อมอยู่มากกว่า 20 ล้านคน
ความซับซ้อนของหมากล้อมประการหนึ่ง เกิดจากขนาดของกระดานหมากล้อมที่ค่อนข้างใหญ่ กระดานหมากล้อมมีขนาดมาตรฐาน 19x19 ตั้งแต่ครั้งแรกที่ถูกนำเข้าไปเผยแพร่ในคาบสมุทรเกาหลีในศตวรรษที่ 5
กระดานหมากล้อมจึงมีจุดวางหมากมากถึง 361 จุด กติกาการเล่นหมากล้อมก็แสนจะเรียบง่าย กล่าวคือ ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายจะสลับกันวางหมากลงบนกระดานเพื่อครองพื้นที่ให้ได้มากที่สุด และกินหมากของฝ่ายตรงกันข้ามโดยวางหมากของตนล้อมรอบหมากของฝ่ายตรงกันข้าม
เกมจะจบลงเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถอนตัวยอมรับความพ่ายแพ้ในกระดานนั้น หรือเมื่อไม่มีตำแหน่งว่างให้ทั้งสองฝ่ายวางหมากได้ จึงจะตัดสินผลแพ้ชนะโดยนับพื้นที่ที่แต่ละฝ่ายยึดครองได้ทั้งหมดรวมกับจำนวนหมากของฝ่ายตรงกันข้ามที่กินมาและคะแนน “โคมิ” (แต้มต่อ) ที่ให้กับผู้เล่นหมากขาวเพื่อชดเชยความเสียเปรียบจากการเป็นผู้วางหมากทีหลัง
นอกจากนี้ กลยุทธในการวางหมากเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้หมากล้อมมีความซับซ้อน เพราะมีรูปแบบการวางหมากได้ราว 2x10^170 (2 คูณ 10 ยกกำลัง 170) หรือจากการคำนวณจริงที่
208,168,199,381,979,984,699,478,633,344,862,770,286,522,453,884,530,548,425,639,456,820,927,419,612,738,015,378,525,648,451,698,519,643,907,259,916,015,628,128,546,089,888,314,427,129,715,319,317,557,736,620,397,247,064,840,935 รูปแบบ
ซึ่งมากกว่าจำนวนอะตอมในจักรวาลทั้งหมดที่นักวิทยาศาสตร์ประมาณว่ามีเพียง 10^80 (10 ยกกำลัง 80) อะตอมเท่านั้น
และที่สุดของความซับซ้อนในการเล่นหมากล้อมคือ หนทางในการที่จะเป็นผู้ชนะได้ ก็ต้องควบคุมการเล่นโดยเชื่อมโยงหมากของฝ่ายตนทั้งกระดานให้ได้เท่านั้น นักเล่นหมากล้อมจึงเชื่อกันว่า ผู้เป็นยอดฝีมือด้านหมากล้อม ต่างมีญานหยั่งรู้ (Intuition) ด้วยกันทั้งสิ้น
นั่นหมายความว่า ไม่มีทางเลยที่ปัญญาประดิษฐ์จะสามารถเป็นยอดฝีมือด้านหมากล้อมได้
ระหว่างวันที่ 8-15 มีนาคม พ.ศ. 2559 กูเกิลจัดการแข่งขันหมากล้อมรายการพิเศษชื่อ กูเกิล ดีพมายด์ ชาเลนจ์ (Google DeepMind Challenge) ระหว่าง “อีเซโดล” นักหมากล้อมอาชีพระดับ 9 ดั้งเจ้าของตำแหน่งแชมป์โลกหมากล้อมระดับอาชีพ 18 สมัย และ “อัลฟาโกะ” ปัญญาประดิษฐ์ที่เกิดจากการสร้างสรรค์ประดิษฐ์คิดค้นของบริษัท ดีพมายด์
การถ่ายทอดสดการแข่งขันทางอินเตอร์เน็ตมีผู้ชมมากถึง 240 ล้านคนทั่วโลก เฉพาะในประเทศจีนประเทศเดียวก็มีผู้ชมมากถึง 60 ล้านคน ผู้ชนะการแข่งขันจะได้รับเงินรางวัล 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
อีเซโดลได้รับค่าตอบแทนในการเข้าร่วมการแข่งขันเป็นเงิน 1.5 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ไม่ว่าจะจบการแข่งขันในฐานะผู้แพ้หรือผู้ชนะก็ตาม และยังจะได้รับเงินโบนัสเพิ่มอีก 2 หมื่นดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับชัยชนะแต่ละกระดาน
วัตถุประสงค์ของการแข่งขันคือ การทดสอบความสามารถของอัลฟาโกะว่าจะเอาชนะมนุษย์ผู้เก่งกาจที่สุดในเกมหมากล้อมของโลกได้หรือไม่
ผลการแข่งขันปรากฏว่า อัลฟาโกะเอาชนะอีเซโดลไปอย่างขาดลอย 4-1 กระดาน เป็นการยุติความเชื่อที่มีมานานว่า “ปัญญาประดิษฐ์ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ จึงไม่มีทางที่จะเล่นเกมหมากล้อมได้ดีเท่าเทียมกับมนุษย์”
อัลฟาโกะไม่เพียงลบล้างคำปรามาสที่ว่า “ไม่มีวัน. . .ที่เครื่องจักรกลจะมีความคิดสร้างสรรค์มากพอที่จะเอาชนะมนุษย์ในการเล่นหมากล้อม—หมากกระดานโบราณ—เกมแห่งการใช้ความคิดแบบนามธรรมที่แสนซับซ้อนได้”
ทว่า หลายต่อหลายครั้งในกระดานต่อๆ มาถัดจากนั้น “เครื่องจักรกล” ก็แสดงให้เห็นถึงการเดินหมากล้อมอย่างสร้างสรรค์ในระดับที่อาจจะไม่มีมนุษย์คนใดทัดเทียมได้
...
ยังมีต่อ
..

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา