10 ก.ย. เวลา 03:00 • การตลาด

รู้จักเจ้าของ เครื่องวัดความสุก อะโวคาโด ด้วย AI ที่ Tops เอามาใช้ สาขาแรกที่ Central Park

- หนึ่งใน Pain Point ของการซื้อผลไม้ของหลายคน คือ เลือกไม่ถูกว่าผลไม้ลูกนั้น ๆ สุกดีหรือยัง โดยเฉพาะอะโวคาโด ที่บางครั้งซื้อมาแล้วพบว่า แข็งไป ยังไม่สุก หรือสุกเกินไป กินไม่ทัน
แต่ปัญหาเหล่านั้นจะหมดไป..
ล่าสุด Tops สาขาที่เพิ่งเปิดตัวใหม่อย่าง Central Park ได้ติดตั้งเครื่อง “วัดระดับความสุก” ของอะโวคาโดด้วย AI เป็นสาขาแรกในประเทศไทยที่มีเครื่องนี้ให้ใช้งาน
แล้วเครื่องวัดความสุกของอะโวคาโดด้วย AI ทำงานอย่างไร ?
เครื่องวัดระดับความสุกนี้ มีหน้าตาคล้ายเครื่องแคชเชียร์
คือ มีหน้าจอสี่เหลี่ยมขนาดไม่ใหญ่มาก มาพร้อมกับตัวสแกน คล้าย ๆ กับที่สแกนบาร์โคด
ซึ่งวิธีการใช้งานเครื่องนี้ ก็ง่าย ๆ เพียงแค่
- เลือกอะโวคาโดที่ต้องการ
- นำอะโวคาโดไปแตะบริเวณที่สแกนของตัวเครื่อง
- เครื่องจะแสดงผลที่หน้าจอว่า อะโวคาโดที่เลือกมีความสุกอยู่ในระดับไหน ตั้งแต่ดิบไปจนถึงสุก
ที่น่าสนใจคือ เครื่องวัดความสุกนี้เป็นของ “OneThird” สตาร์ตอัปจากประเทศเนเธอร์แลนด์ ก่อตั้งขึ้นในปี 2019 หรือก่อตั้งมาแล้ว 6 ปี
ซึ่งเครื่องวัดความสุกอะโวคาโดของ OneThird ไม่ได้นำมาใช้แค่ใน Tops ของไทยเท่านั้น
แต่ยังมีอีกหลายซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านค้าปลีกชื่อดังในต่างประเทศด้วย เช่น JUMBO ซูเปอร์มาร์เก็ตชื่อดังในเนเธอร์แลนด์, ICA ซูเปอร์มาร์เก็ตในสวีเดน
นอกจากนี้ OneThird ไม่ได้ทำแค่เครื่องสแกนความสุกของอะโวคาโด
แต่ยังมีเครื่องสแกนผักและผลไม้อื่น ๆ เช่น มะเขือเทศ สตรอว์เบอร์รี และบลูเบอร์รี อีกด้วย
หลักการทำงานง่าย ๆ ของเครื่องวัดความสุกของผักและผลไม้เหล่านี้ คือ ใช้ “AI” ในการทำความเข้าใจและประเมินระดับความสุกของผักและผลไม้ชนิดต่าง ๆ
โดย AI ที่ว่านี้ สามารถประเมินความสุกได้ละเอียดจนถึงระดับที่ว่า อะโวคาโดหรือผลไม้ลูกนั้น ๆ เก็บได้อีกกี่วัน หรืออีกกี่วันจะไม่สามารถรับประทานได้
การเข้ามามีบทบาทของเครื่องสแกนอะโวคาโด นับว่าช่วยลดปริมาณอะโวคาโดเสียได้เป็นอย่างดี
เพราะอย่างที่ทราบกันดี การดูว่าอะโวคาโดพร้อมรับประทานหรือยัง จำเป็นต้องกด ๆ บีบ ๆ เพื่อดูว่า นุ่มหรือแข็งแค่ไหน ทำให้ผลที่ตามมาคือ อะโวคาโดมักจะช้ำ ทำให้ลูกค้าที่มาซื้อคนต่อ ๆ ไปได้รับอะโวคาโดที่ไม่สมบูรณ์
เพราะฉะนั้น เมื่อมีเครื่องสแกนอะโวคาโด นอกจากจะช่วยลดปัญหาอะโวคาโดช้ำแล้ว ยังช่วยลดปัญหาขยะจากการที่ต้องทิ้งอะโวคาโดเพราะรับประทานไม่ทันอีกด้วย
ซึ่งเรื่องนี้ ก็ตรงตามเป้าหมายของ OneThird ที่ต้องการลด Food Waste ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง..
โฆษณา