9 ก.ย. เวลา 12:00 • ธุรกิจ

Next Gen + Current Gen เชื่อมพลังต่างรุ่น สร้างอนาคตธุรกิจครอบครัว

ธุรกิจครอบครัวกำลังเผชิญ “สงครามเย็น” ระหว่างคนรุ่นก่อตั้งที่ยังไม่อยากปล่อยมือ กับทายาทรุ่นใหม่ที่พร้อมพิสูจน์ฝีมือ ความต่างด้านเป้าหมายและวิธีคิดอาจสั่นคลอนอนาคตธุรกิจ แต่หากมีการวางแผนสืบทอด สื่อสารอย่างเปิดใจ และสร้าง ระบบธรรมาภิบาลที่โปร่งใส ทั้งกติกา บทบาท และกลไกการตัดสินใจที่ชัดเจน ความต่างเหล่านี้จะสามารถต่อยอดเป็นพลัง ที่ทำให้คนต่างรุ่นก้าวไปข้างหน้าร่วมกันสร้างการเติบโตที่มั่นคง และส่งต่อคุณค่าครอบครัวให้ยั่งยืนจากรุ่นสู่รุ่น”
ผู้ก่อตั้งหลายคนยังคงยืนหยัดอยู่ในตำแหน่งบริหารด้วยเหตุผลที่คุ้นเคย “ยังวางมือไม่ได้” “ไม่มีใครไว้ใจได้เท่าตัวเอง” หรือ “กลัวว่าธุรกิจที่สร้างมาจะล้ม” ความกังวลเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะธุรกิจคือผลลัพธ์ของทั้งชีวิตที่ทุ่มเทลงไปในอีกด้านหนึ่ง ทายาทจำนวนไม่น้อยกลับรู้สึกว่าตนเองพร้อมแล้ว พวกเขาเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เข้าใจเทคโนโลยี และมองเห็นโอกาสที่คนรุ่นก่อนอาจไม่คุ้นเคย แต่กลับต้องเผชิญกำแพงความไม่เชื่อใจ และไม่ได้รับโอกาสในการพิสูจน์ฝีมือ
ภาพเหล่านี้สะท้อนถึงสิ่งที่เปรียบได้กับ “สงครามเย็น” ในธุรกิจครอบครัวทั่วโลก เมื่อความกลัวของคนหนึ่ง ปะทะเข้ากับความกระหายในการสร้างสรรค์ของอีกคน ธุรกิจที่เคยมั่นคง ก็ต้องเผชิญแรงสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยเจอมาก่อน
📌ช่องว่างระหว่างรุ่นในธุรกิจครอบครัว
 
ลองนึกถึงผู้ก่อตั้งรุ่นพ่อแม่ที่เริ่มต้นกิจการจากศูนย์ด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย เป้าหมายหลักคือสร้างความมั่นคงให้ครอบครัวด้วยความมุมานะและความภูมิใจ ขณะที่ทายาทรุ่นถัดมาเติบโตท่ามกลางโลกที่เปลี่ยนเร็ว พวกเขามักมีแรงจูงใจต่างออกไป เน้นการต่อยอดสิ่งใหม่และนำธุรกิจให้ทันสมัย ควบคู่กับการดูแลครอบครัวที่เป็นรากฐาน
ความต่างนี้ไม่หยุดแค่เหตุผลในการทำงาน แต่ยังขยายไปถึงวิธีการบริหาร คนรุ่นใหม่มักมองหาการเปลี่ยนแปลงเพื่อตอบโจทย์โลกปัจจุบัน เช่น ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน (ESG) หรือการลงทุนด้านวิจัยและพัฒนา ขณะที่รุ่นก่อนยังยึดสูตรสำเร็จที่ใช้มาแล้วได้ผล ข้อมูลจาก PwC Global Family Business Survey 2023 ระบุว่า 59% ของ NextGen เห็นว่าธุรกิจครอบครัวของตนดำเนินเรื่องความยั่งยืนช้ากว่าที่ควร เป็นสัญญาณชัดเจนว่าคนรุ่นใหม่ต้องการให้บริษัทก้าวเร็วขึ้นในประเด็นนี้
อีกหนึ่งความต่างที่สำคัญคือเรื่อง “เวลาและบทบาทในการส่งมอบอำนาจ” คนรุ่นปัจจุบันจำนวนมากยังไม่อยากวางมือง่าย ๆ เพราะกังวลว่าธุรกิจจะสะดุด ในขณะที่ทายาทจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าตนพร้อมแล้ว แต่ยังไม่ได้รับความไว้วางใจ การสื่อสารที่ไม่ตรงกันจึงกลายเป็นสาเหตุสำคัญของความตึงเครียด และส่งผลต่อความต่อเนื่องของการบริหาร
📌กรณีศึกษาจากธุรกิจครอบครัวระดับโลก
Ford Motor Company (สหรัฐอเมริกา) ฟอร์ดเป็นธุรกิจครอบครัวเก่าแก่ที่เผชิญปัญหาใหญ่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน จนในที่สุดในปี 2006 ตัดสินใจแต่งตั้ง Alan Mulally ซีอีโอคนนอกตระกูลเข้ามาบริหารในช่วงวิกฤตการเงินโลก Mulally ซึ่งเคยกอบกู้ Boeing มาก่อน ได้นำแนวคิด “One Ford” มาสร้างเอกภาพในองค์กร ปรับวัฒนธรรมการทำงาน ลดความซ้ำซ้อน และสร้างทีมผู้บริหารที่สอดประสานกัน ผลลัพธ์คือ Ford สามารถพลิกกลับมามีกำไรต่อเนื่อง 19 ไตรมาสติดต่อกันหลังวิกฤต และรักษาความเป็นหนึ่งในบริษัทรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลกได้สำเร็จ
Reliance Industries (อินเดีย) กรณีของตระกูลอัมบานีเป็นตัวอย่างชัดเจนของผลเสียเมื่อไม่มีแผนสืบทอดที่แน่นอน หลัง Dhirubhai Ambani ผู้ก่อตั้งเสียชีวิตในปี 2002 โดยไม่มีพินัยกรรม สองพี่น้อง Mukesh และ Anil เกิดความขัดแย้งรุนแรงต่อเนื่องหลายปี
จนในปี 2005 มารดาของพวกเขา Kokilaben ต้องเข้ามาไกล่เกลี่ย และแบ่งธุรกิจออกเป็น 2 ส่วน Mukesh ได้ธุรกิจหลักด้านน้ำมันและปิโตรเคมี ส่วน Anil ได้กลุ่มโทรคมนาคม สื่อ พลังงาน และการเงิน การขาดแผนการส่งต่อที่ชัดเจนนี้ทำให้ธุรกิจต้องเผชิญความปั่นป่วนทั้งภายในและภายนอก และยังสร้างรอยร้าวในครอบครัวที่ยากจะเยียวยา
2 เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า “ช่องว่างระหว่างรุ่น” ไม่ได้เป็นเพียงความต่างทางความคิด แต่หมายถึงความอยู่รอดของธุรกิจครอบครัว ฟอร์ดเลือกปรับตัวและหาจุดสมดุลได้สำเร็จ ขณะที่ครอบครัวอัมบานีซึ่งขาดการเตรียมการ ต้องเผชิญกับการสูญเสียความเป็นปึกแผ่นภายใน
📌แนวทางปฏิบัติที่ธุรกิจครอบครัวสามารถนำไปใช้ได้จริง
 
เมื่อทราบถึงความต่างและบทเรียนจากกรณีศึกษาแล้ว คำถามสำคัญคือ ธุรกิจครอบครัวควรทำอะไรเพื่อเชื่อม ช่องว่างระหว่างรุ่น? ต่อไปนี้คือแนวทางปฏิบัติที่ได้รับการแนะนำในงานวิจัย
✅เริ่มวางแผนสืบทอดตั้งแต่เนิ่นๆ ควรเริ่มวางแผนล่วงหน้าอย่างน้อย 5–10 ปีก่อนเกษียณหรือส่งมอบงาน การเตรียมตัวนานพอจะเปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้งาน ฝึกทักษะการบริหาร และสร้างความเชื่อมั่นจากคนรุ่นก่อน
✅ส่งเสริมการสื่อสารและความเข้าใจระหว่างรุ่น กุญแจสู่ความสำเร็จคือ การพูดคุยกันอย่างเปิดใจและต่อเนื่อง การจัดให้มีการประชุมครอบครัวหรือวงหารือเกี่ยวกับธุรกิจเป็นประจำจะช่วยให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงความคิดเห็นและคนรุ่นเก่าได้ถ่ายทอดประสบการณ์ รายงานของ Deloitte ชี้ว่าการเปิดใจรับฟังและสอนงานกัน (Mentorship) เป็นเครื่องมือสำคัญในการปรับมุมมองของทั้งสองรุ่นให้สอดประสานกัน
✅กำหนดบทบาทและโครงสร้างการกำกับดูแลที่ชัดเจน ธุรกิจครอบครัวควรจัดทำ “ธรรมนูญ” หรือข้อตกลงร่วมของครอบครัว เพื่อกำหนดหน้าที่ความรับผิดชอบและอำนาจการ ตัดสินใจอย่างชัดเจน
✅ระบบธรรมาภิบาล ที่โปร่งใส เช่น การตั้งคณะกรรมการบริษัทที่มีผู้ทรงคุณวุฒิภายนอก จะช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าอย่างมืออาชีพและลดแรงเสียดทานจากอารมณ์ความรู้สึก
✅เปิดรับผู้เชี่ยวชาญหรือผู้บริหารมืออาชีพจากภายนอก กรณีของฟอร์ดแสดงให้เห็นว่า “คนนอก” อาจเป็นกาวใจที่ดี การนำที่ปรึกษาหรือผู้บริหารมืออาชีพที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาช่วย สามารถเพิ่มมุมมองใหม่และความเป็นกลางในการตัดสินใจได้ งานวิจัยพบว่าธุรกิจครอบครัวจำนวนไม่น้อยที่อยู่ยืนยาวเกินสามรุ่น มักนำระบบบริหารแบบมืออาชีพเข้ามาใช้
ความแตกต่างระหว่างรุ่นอาจเป็นความท้าทายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ไม่ใช่ช่องว่างที่ถมไม่เต็ม กุญแจสำคัญคือการเตรียมตัวและการปรับตัวร่วมกันของทุกคน ธุรกิจครอบครัวที่สามารถสร้างสะพานเชื่อมความคิดระหว่าง Next Gen และ Current Gen จะช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าต่อได้อย่างต่อเนื่องจากรุ่นสู่รุ่น พร้อมรักษาความผูกพันของครอบครัว
แนวทางที่ได้กล่าวมา ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนสืบทอดตั้งแต่เนิ่นๆ การสร้างระบบธรรมาภิบาลที่ชัดเจน การเปิดใจรับฟังและสื่อสารอย่างต่อเนื่องระหว่างรุ่น หรือการเปิดรับมุมมองจากมืออาชีพภายนอก ล้วนเป็น “เครื่องมือเชิงรุก” ที่จะทำให้ธุรกิจครอบครัวสามารถปรับตัวและก้าวเดินไปพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ประเด็นเหล่านี้ยังสอดคล้องโดยตรงกับหัวข้อที่จะถกกันในงาน The 3rd SET Annual Conference on Family Business ที่กำลังจะจัดขึ้นเร็วๆ นี้ ซึ่งเวทีนี้จะเปิดโอกาสให้ทั้งเจ้าของกิจการและทายาทรุ่นใหม่ได้แลกเปลี่ยนมุมมอง กลยุทธ์ และประสบการณ์จริงจากผู้เชี่ยวชาญและธุรกิจครอบครัวชั้นนำ เพื่อร่วมกันหาคำตอบว่า “ธุรกิจครอบครัวจะสร้างสะพานเชื่อมความต่างระหว่างรุ่น เพื่อส่งต่อความสำเร็จสู่อนาคตได้อย่างไร”
✨ก้าวต่อไปสู่การ Transform...ปรับเพื่อรอด เปลี่ยนเพื่อไปต่อ
แนวทางเหล่านี้เป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ของการปรับตัว แต่การนำไปใช้จริงจำเป็นต้องเรียนรู้จาก กรณีศึกษาจริงจากธุรกิจครอบครัวที่ทำสำเร็จแล้ว และคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
ซึ่งทั้งหมดนี้คุณจะได้พบในงานสัมมนาธุรกิจครอบครัวครั้งใหญ่แห่งปี The 3rd SET Annual Conference on Family Business ภายใต้ธีม “Transforming Family Business”
📅 วันศุกร์ที่ 26 กันยายน 2568 ณ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
🎟️ จองบัตรได้ที่ https://setfam.link/sfbld
โฆษณา