Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
รายการ ต้นรู้ โลกรู้ BY : Anurak News
•
ติดตาม
10 ก.ย. เวลา 02:00 • การเมือง
อินโดนีเซีย’: จากเหตุไม่พอใจค่าเบี้ยเลี้ยงนักการเมือง
จากเหตุการณ์ความรุนเเรง สู่ "ตำรวจขับรถชนไรเดอร์"
ความสัมพันธ์ของปราโบโว ซูเบียนโต กับ ซูฮาร์โตและการปราบปรามผู้เห็นต่าง ฉายภาพต้นเหตุของการประท้วงต่อต้านรัฐบาลซูฮาร์โตและการเรียกร้องความยุติธรรมให้เหยื่อการสูญหาย
พลโทปราโบโว ซูเบียนโต ซึ่งเกิดในตระกูลชนชั้นสูง และในอดีตเคยเป็นบุตรเขยของอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โต ผู้นำเผด็จการของอินโดนีเซีย มีกำหนดจะเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ของอินโดนีเซีย ในวันที่ 20 ต.ค. 2567 นี้ โดยมีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี
ปราโบโว ซูเบียนโต้ ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี การได้นั่งเก้าอี้ผู้นำประเทศและผู้นำรัฐบาลของซูเบียนโตสร้างความหวั่นหวาดว่า “ยุคทมิฬใต้ปีกครุฑ” ในอดีตของอินโดนีเซียจะย้อนรอยกลับมาอีก แม้ว่าปัจจุบันเขาจับมือเป็นสหายกับประธานาธิบดีโจโก วิโดโด หรือ "โจโกวี" ผู้นำที่ได้รับความนิยม แต่จะก้าวลงจากตำแหน่งในอีกไม่กี่วัน และเขาได้นั่งเก้าอี้ รมว.กลาโหม เป็นหัวแถวของเหล่าทัพในรัฐบาลโจโกวีด้วย
มูฮัมหมัดเล่าย้อนเรื่องราวที่ตรึงอยู่ในความทรงจำของเขาเกี่ยวกับการปราบปรามกลุ่มนักศึกษาผู้ประท้วงของ “Kopassus” ซึ่งเป็นกองกำลังเฉพาะกิจในสังกัดกองทัพบกอินโดนีเซียภายใต้การบัญชาการของซูเบียนโต ที่มหาวิทยาลัย Trisakti ในกรุงจาการ์ตา นครหลวงของอินโดนีเซีย อย่างหฤโหดเมื่อเดือน พ.ค. 2541 มีกลุ่มผู้ประท้วงถูกทารุณกรรมจำนวนมาก และถูกลักพาตัว 23 คนโดย 1 ในผู้ถูกลักพาตัวเสียชีวิต และ 13 คน ยังหายสาบสูญไม่รู้ชะตากรรม
เหตุผล คือ ถึงแม้ซูเบียนโต วัย 72 ปี ว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 8 ของอินโดนีเซีย ประเทศหมู่เกาะที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีประชากรชาวมุสลิมมากที่สุดในโลก จะมีรองประธานาธิบดีรุ่นหลานวัย 38 ปี บุตรชายของโจโกวี อีกทั้งเขา แสดงภาพลักษณ์ ใน “TikTok app” เป็น “คุณปู่/คุณตา” เท้าไฟ เต้นท่าน่ารัก ๆ เป็นไวรัล พร้อมให้สัญลักษณ์มือรูปหัวใจเป็นที่ชื่นชอบของวัยรุ่นหนุ่มสาว แต่คนรุ่นเก่าก็ยังไม่ลืมเลือนประวัติการปราบปรามกลุ่มผู้เห็นต่าง และชนกลุ่มน้อยชาวจีนอย่างน่าสะพรึงของเขา
จอห์น มูฮัมหมัด หนึ่งในแกนนำสำคัญในการประท้วงของกลุ่มนักศึกษาเพื่อต่อต้านรัฐบาลเผด็จการของอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โต เมื่อปี 2541 ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวอัลจาซีราว่า เขาวิตกต่ออนาคตประชาธิปไตยของอินโดนีเซียหลังจากซูเบียนโตขึ้นนั่งเกาอี้ประธานาธิบดี เพราะอาจไม่มีผู้ใดเกรงกลัวต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชน เนื่องจากผู้นำประเทศเคยเป็นผู้กระทำผิดเอง แต่ปกปิดและหลบหนีเงื้อมมือกฎหมายได้ตลอด
อดีตประธานาธิบดีจอมเผ็ดจการเเห่งอินโดนีเซีย ซูฮาโต้
ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น กองกำลัง Kopassus ภายใต้การนำของซูเบียนโต ยังได้ปราบปรามการก่อจลาจล ต่อต้านชนกลุ่มน้อยชาวจีนทั่วประเทศอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตหลายร้อยคน ไม่รวมผู้ที่ถูกทุบตี และกลุ่มเหยื่อสตรีที่ถูกข่มขืน โดยผู้กระทำผิดหลายคนเป็นทหาร
กลุ่มนักปกป้องสิทธิมนุษยชนชี้ว่า ซูเบียนโตอยู่เบื้องหลังการจลาจลใหญ่ในครั้งนั้น เพื่อเบนความสนใจของประชาชนจากความโกรธแค้นและต่อต้านรัฐบาลซูฮาร์โต และจากภาวะวิกฤตเศรษฐกิจและการเงินที่กระจายไปทั่วภูมิภาค ไม่เว้นแม้แต่อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคและวัตถุดิบรายใหญ่ในอาเซียน
ถึงแม้ว่าในที่สุดแล้วรัฐบาลเผด็จการซูฮาร์โตก็ถึงจุดจบเมื่อเดือน พ.ค. 2541 และซูเบียนโตถูกปลดจากตำแหน่ง อีกทั้งต้องลี้ภัยไปอยู่จอร์แดน เปิดทางให้อินโดนีเซียได้เปลี่ยนผ่านสู่ยุคประชาธิปไตย
นอกจากนี้ ซูเบียนโตยังถูกกล่าวหาว่า พัวพันกับการก่ออาชญากรรมทางทหารและการเข้ายึดครองติมอร์ตะวันออก เมื่อปี 2518 ตลอดจนการสังหารหมู่เมื่อปี 2526 ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนกว่า 200 คน หลายปีก่อนที่ติมอร์ตะวันออกจะได้รับเอกราชเมื่อปี 2545 ด้วย อีกทั้งเขาถูกกล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังอาชญากรรมทางทหารที่คล้ายคลึงกันในจังหวัดปาปัวตะวันตก ทางตะวันออกของอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นปัญหาความขัดแย้งอยู่หลายทศวรรษ
ช่วงที่ซูเบียนโต หาเสียงในฐานะประธานาธิบดี
นายอุสมัน ฮามิด (Usman Hamid) ผู้อำนวยการองค์การนิรโทษกรรมสากลประจำอินโดนีเซีย ถึงกับเคยกล่าวว่า การที่ซูเบียนโตกลับมากุมอำนาจทางทหารอีกครั้ง ในตำแหน่ง รมว.กลาโหม เสมือนบุคคลระดับผู้นำในอินโดนีเซียลืม “ยุคทมิฬ” และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเลวร้ายที่สุดในยุครัฐบาลซูฮาร์โตที่มีซูเบียนโตคุมกำลังพลไปแล้วจนหมดสิ้น
ภาพความรุนเเรงหลังจากที่ประชาชนไม่พอใจในรัฐบาล
อย่างไรก็ตาม ซูเบียนโตเป็นผู้มีบารมี เพราะมีฐานทุนทางสังคมสูงแต่เดิม เนื่องจากเขาเป็นบุตรชายของนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง ที่เป็นอดีต รมว. คลังและรมว. การค้าหลายสมัย อีกทั้งเป็นหลานปู่ของผู้ก่อตั้งธนาคารกลางอินโดนีเซีย(Negara Indonesia) ที่เป็นอดีตผู้นำสภาที่ปรึกษาประธานาธิบดีด้วย นอกจากนี้ ซูเบียนโตยังเคยเป็นบุตรเขยของซูฮาร์โต โดยใช้ชีวิตคู่กับ Siti Hediati Hariyadi บุตรสาวของซูฮาร์โตอยู่ 15 ปี ก่อนหย่าร้างเมื่อซูฮาร์โตถูกโค่นอำนาจสำเร็จ
ปัจจัยเกื้อหนุนดังกล่าวทำให้ซูเบียนโตสามารถหวนคืนสู่ชนชั้นผู้ปกครองได้อีกครั้ง ด้วยการตั้งพรรคการเมืองที่ชื่อว่า พรรคเกอรินดรา (Gerindra) และสามารถจับมือกับพรรคการเมืองพันธมิตรยืนหยัดและเติบโตในแวดวงการเมืองได้อย่างต่อเนื่อง หลังจากลี้ภัยกบดานอยู่ในจอร์แดนเพียงไม่กี่ปี โดยเขาเดินทางกลับประเทศก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในอินโดนีเซียเมื่อปี 2547 และไม่เคยถูกดำเนินคดีในข้อหาใด ๆ
ซูเบียนโตเคยถูกสหรัฐฯ และออสเตรเลียขึ้น blacklist และถูกห้ามเข้าประเทศทั้งสองฐานมีสถิติละเมิดสิทธิมนุษยชนสูงมาก แต่ข้อห้ามดังกล่าวก็ถูกยกเลิกไปเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ เขายังได้รับเชิญให้ดำรงตำแหน่ง รมว. กลาโหม ในรัฐบาลชุดปัจจุบันของโจโกวีด้วย ได้เฉิดฉายเดินทางไปต่างประเทศได้อย่างเสรี ทั้งสหรัฐฯ ฝรั่งเศส และจีน เสมือนไม่เคยถูกติด blacklist
ซูเบียนโตและบิดาของเขาน่าจะเข้าตำรา “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” เพราะบิดาของเขาก็เคยพาครอบครัวลี้ภัยไปอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์และอังกฤษเมื่อครั้งที่ซูเบียนโตยังเป็นเด็ก หลังจากถูกกล่าวหาว่า พัวพันกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดน บนเกาะสุมาตรา ซูเบียนโตเดินทางกลับมาอยู่อินโดนีเซียเมื่อปี 2513 ขณะเขาอายุได้ 19 ปี เขาได้เข้าเป็นทหารไม่นาน หลังจากนั้น และเติบโตในกองทัพอย่างรวดเร็ว
ซูเบียนโต กับ โยโกวิโดโด
ในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซียเมื่อปี 2557 และ2562 เขาขับเคี่ยวชิงชัยกับโจโกวีอย่างถึงพริกถึงขิง และถึงแม้ซูเบียนโตจะเป็นฝ่ายพ่าย พลาดนั่งเก้าอี้ผู้นำสูงสุดของประเทศทั้ง 2 ครั้ง แต่ก็ได้รับเชิญจากโจโกวีให้นั่งเก้าอี้ รมว. กลาโหม หลังจากกลุ่มผู้สนับสนุนเขาก่อหวอดประท้วงภายหลังเขาพ่ายการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 จนลุกลามเป็นเหตุจลาจลรุนแรง มีผู้เสียชีวิต 10 คน
อย่างไรก็ดี หมากการเมืองระหว่างอดีตคู่อริที่กลับกลายเป็นสหายในปัจจุบันอย่างโจโกวี-ซูเบียนโตก็ยังน่าติดตาม เพราะโจโกวีเคยประสบความสำเร็จในการชักชวนให้ซูเบียนโตเข้าร่วมรัฐบาลของเขา โดยมอบเก้าอี้ รมว. กลาโหมให้ แลกกับการให้ซูเบียนโตยุติการก่อจลาจลของกลุ่มผู้สนับสนุนเขา และในครั้งนี้โจโกวีสามารถดันให้บุตรชายวัยเพียง 36 ปีของเขา คือ กิบราน รากาบูมิง รากา Gibran Rakabuming Raka ได้ขึ้นนั่งเก้าอี้ “รองประธานาธิบดี”
ในรัฐบาลภายใต้การนำซูเบียนโตหลังพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 ต.ค. 2567 ในขณะที่ “ประธานาธิบดี” ซูเบียนโตอยู่ในวัยชรา72 ปีแล้ว และมีวาระการดำรงตำแหน่งได้ 5 ปี
เมื่อปราโบโว ซูเบียนโต กุมชัยชนะการเลือกตั้งอินโดนีเซีย 5 ปีต่อจากนี้อินโดนีเซียจะไปทิศทางใด บาดแผลในอดีตจะฉุดรั้งอินโดนีเซียหรือไม่ ติดตามชม "PRABOWO บาดแผล ชัยชนะ ความหวัง"
ซูเบียนโต เเละ ลูกชายของโยโกวิโดโด
เรียบเรียงโดย อาจารย์ต้นสัก สนิทนาม
#อินโดนีเซีย #การเมือง #ประท้วง #ซูเบียนโต #โยโกวิโดโด้ #ซูฮาโต้
อินโดนีเซีย
การเมือง
ประธานาธิบดี
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย