10 ก.ย. เวลา 05:26 • ปรัชญา

ณ ที่ราบสูงแห่งอนาโตเลีย

ที่ซึ่งสายลมเย็นพัดผ่านยอดโดมเงียบสงบ
และเสียงอะซานทอดตัวไปไกลสุดขอบฟ้า
มีสุสานแห่งหนึ่งตั้งอยู่กลางเมืองเก่าแก่...คอนย่า (Konya)
สุสานนั้นมิใช่ของนักรบผู้เกรียงไกร
หรือกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจ
หากแต่เป็นของกวีผู้หนึ่ง
ผู้ซึ่งไม่ได้ถือกำเนิดที่นี่
แต่กลับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนแผ่นดินนี้
...เขาคือ Jalal al-Din Rumi...
รูมีมิได้เป็นเพียงนักกวี
หากเป็นเสียงสะท้อนของดวงจิตที่แสวงหาความจริง
เขาเขียนด้วยอักษรเปอร์เซีย
แต่ถ้อยคำของเขาละเมียดละไมพ้นพรมแดนแห่งภาษา
กลั่นมาจากความรัก
ความศรัทธา และ
ความเปราะบางของใจมนุษย์
บทกวีของเขามิใช่เพียงตัวหนังสือ
แต่เป็นบทสนทนาระหว่างมนุษย์กับจักรวาล
เมื่อย้อนกลับไปในศตวรรษที่ 13
โลกอิสลามกำลังเผชิญกับความสั่นไหวจากพายุประวัติศาสตร์
ทัพมองโกลเข้าครอบครองดินแดนอันไพศาล
ครอบครัวของรูมี
ขณะนั้นเขายังเป็นเพียงเด็กหนุ่มในครอบครัวนักปราชญ์
ต้องอพยพจากเมือง บัลค์ (Balkh) แห่งโคราซาน (อัฟกานิสถานในปัจจุบัน)
เดินทางผ่านดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์
แวะเวียนตามเมืองใหญ่ของโลกมุสลิม
ก่อนจะพบบ้านหลังใหม่ ณ คอนย่า
เมืองแห่งปัญญาและความสงบ
ภายใต้การอุปถัมภ์ของสุลต่านแห่งราชวงศ์เซลจุก (Seljuks of Rum)
ที่นี่เอง จิตวิญญาณของรูมีได้ผลิบานอย่างเงียบ ๆ
เขาเติบโตเป็นนักวิชาการศาสนา
แต่หัวใจของเขาค่อย ๆ ก้าวข้ามเส้นพรมแดนของถ้อยคำ
ไปสู่การเสาะแสวงหา ผ่านเสียงขลุ่ย
ความเงียบ และการหมุนรอบอันละเมียดละไม
เสมือนการโคจรของจักรวาลในภาวะนิ่ง
เมื่อเขาได้พบกับชัมส์แห่งตาบริซ (Shams of Tabriz)
นักจาริกผู้เงียบขรึมจากแดนเปอร์เซีย
บางสิ่งบางอย่างในวิญญาณของรูมีได้เปลี่ยนไป
มิตรภาพระหว่างเขาทั้งสอง
เป็นดั่งประตูที่เปิดสู่อีกฟากของความเข้าใจ
จากการครอบครองสู่การมอบให้
จากความรู้สู่ความนิ่งเงียบ
จากความเป็นตัวตน
สู่การสลายตัวในความรักอันไร้ขอบเขต
บทกวีของรูมีจึงมิใช่เพียงงานวรรณกรรม
หากเป็นบทภาวนา
เป็นแสงเรืองรองที่สะท้อนเงาของวิญญาณมนุษย์ในทุกยุคสมัย
แม้ร่างของเขาจะดับสูญในปี 1273
แต่สิ่งที่เขาหลงเหลือไว้กลับไม่เคยจางหาย
ทุกลมหายใจของผู้มาเยือน
ยังคงสัมผัสได้ถึงจังหวะของเสียงกลองภายใน
ราวกับเสียงกระซิบของความรักที่แผ่วเบาแต่มั่นคง
“เมื่อใจยอมปล่อยวางดุจผู้จากไป ชีวิตแท้จริงจึงเผยตนออกมา”
- รูมี
แม้ร่างของเขาหลับใหลอยู่ใต้ผืนดินแห่งคอนย่า
แต่ถ้อยคำของเขายังคงปลุกชีวิตแก่จิตวิญญาณของผู้ที่แวะเวียน
ที่ผู้แสวงหาจากทั่วโลกต่างมาเยือน
เพื่อรับฟังเสียงอันเงียบงัน
เสียงที่กังวานในห้วงแห่งความนิ่ง
...เสียงของความรักที่ไม่มีพรมแดน...
และนี่คือเหตุผลว่าทำไม
แม้เขาจะเป็น วิญญาณเปอร์เซีย
แต่กลับหยั่งรากลึก อย่างอ่อนโยนในผืนดินแห่งอนาโตเลีย
เพราะความรักไม่รู้จักเส้นแบ่ง
และจิตวิญญาณไม่ต้องถือสัญชาติ
ในโลกที่ถูกวาดด้วยเส้นแบ่งของแผนที่
รูมีกลับเป็นสายลมที่พัดผ่านโดยไม่ต้องขออนุญาต
เขาไม่ใช่ของเปอร์เซีย
หรือของตุรกีเท่านั้น
...แต่เป็นของมนุษยชาติทั้งหมด...
เพราะบทกวีของเขา
ไม่ได้พูดกับเพียงชนชาติใดชนชาติหนึ่ง
หากแต่พูดกับหัวใจที่โหยหาความจริงในทุกผู้คน
และหากคุณได้ยืนอยู่หน้าสุสานของเขา ณ คอนย่า เมืองเก่าที่เงียบสงบ
ท่ามกลางเงาไม้ โดมเขียว และเสียงนกยามเช้า
จงหลับตา แล้วเงี่ยหูฟัง...
คุณอาจได้ยินเสียงกระซิบของสายลม...
"ฉันไม่ได้จากไปไหน...
ฉันล่องลอยอยู่ในบทกวี
และในทุกหัวใจที่ยังเชื่อว่าความรักคือทางกลับบ้าน”
โฆษณา