22 ก.ย. เวลา 16:00 • สิ่งแวดล้อม

‘หน้ากากอนามัย’ ระเบิดเวลาทางสิ่งแวดล้อม ปล่อยสารเคมี แตกตัวเป็น ‘ไมโครพลาสติก’

ตั้งแต่เข้าสู่ยุคโควิด-19 เป็นต้นมา “หน้ากากอนามัย” ก็กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการป้องกันตนเอง แต่ในขณะเดียวกันก็มีหน้ากากอนามัยที่ใช้แล้วถูกทิ้งหลายพันล้านชิ้น กองพะเนินอยู่บนบกและในแหล่งน้ำ นักวิทยาศาสตร์เตือนว่าหน้ากากอนามัยเป็น “ระเบิดเวลาทางสิ่งแวดล้อม” ที่กำลังสลายตัวเป็น “ไมโครพลาสติก”
ช่วงที่การระบาดของโควิด-19 รุนแรงที่สุด ในแต่ละเดือนมีการนำหน้ากากอนามัยแบบใช้แล้วทิ้งจำนวน 129,000 ล้านชิ้น เนื่องจากไม่มีกระบวนการรีไซเคิล หน้ากากอนามัยส่วนใหญ่จึงถูกฝังกลบหรือถูกทิ้งเกลื่อนกลาดในสิ่งแวดล้อม ซึ่งในปัจจุบันเริ่มเสื่อมสภาพ และปล่อยไมโครพลาสติกปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม
เพื่อจำลองสถานการณ์จริง นักวิจัยได้นำหน้ากากอนามัยที่ไม่ได้ใช้ใส่ลงในบีกเกอร์บรรจุน้ำบริสุทธิ์ และทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 24 ชั่วโมง จากนั้นน้ำจะถูกกรองและวิเคราะห์โดยใช้เทคนิคขั้นสูงในห้องปฏิบัติการ พร้อมระบบควบคุมที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการปนเปื้อน
แม้จะไม่มีการสวมใส่หรือการใช้งานหนัก หน้ากากก็ปล่อยไมโครพลาสติกและสารเคมีในปริมาณที่วัดได้ลงสู่แหล่งน้ำอยู่ดี ดังนั้นการค้นพบนี้ชี้ให้เห็นว่าสารมลพิษฝังตัวอยู่ในกระบวนการผลิตและสามารถชะล้างออกมาได้โดยการสัมผัสเพียงเล็กน้อย
หน้ากากกรองฝุ่นปล่อยอนุภาคไมโครพลาสติกออกมามากกว่าหน้ากากอนามัยทั่วไปถึง 4-6 เท่า โดยไมโครพลาสติกที่พบมีแตกต่างกันอย่างมาก ตั้งแต่ประมาณ 10-2,082 ไมโครเมตร แต่อนุภาคไมโครพลาสติกที่มีขนาดเล็กกว่า 100 ไมโครเมตร พบมากในน้ำที่แช่
วัสดุที่พบมากที่สุดคือ “โพลีโพรพิลีน” พลาสติกที่ใช้การผลิตหน้ากากกันอย่างแพร่หลาย นอกจากนี้ยังพบร่องรอยของโพลีเอทิลีน โพลีเอสเตอร์ ไนลอน และพีวีซีด้วย ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความทนทานสูง แทบจะไม่สามารย่อยสลายตามธรรมชาติได้
จากการวิเคราะห์ทางเคมีของน้ำที่แช่หน้ากากอนามัย พบว่าหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ยังปล่อย “บิสฟีนอล บี” สารเคมีที่รบกวนการทำงานของต่อมไร้ท่อ และเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำ
เมื่อพิจารณาปริมาณหน้ากากอนามัยแบบใช้ครั้งเดียวทั้งหมดที่ผลิตขึ้นในช่วงที่การระบาดใหญ่รุนแรงที่สุด นักวิจัยประเมินว่าหน้ากากอนามัยเหล่านี้นำไปสู่การปล่อยสารบิสฟีนอลบีออกสู่สิ่งแวดล้อมมากถึง 128-214 กก.
โฆษณา