10 ก.ย. เวลา 07:50 • ข่าว

คดีฆาตกรรม ทูพัค ชาเคอร์ แร็ปเปอร์แห่งท้องถนน

ลาสเวกัส 7 กันยายน 1996 เมืองที่ไม่เคยหลับใหล ท้องถนนเต็มไปด้วยแสงนีออน คาสิโน และเสียงหัวเราะจากนักท่องเที่ยว แต่สำหรับวงการฮิปฮอป คืนนั้นคือค่ำคืนที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์
ทูพัค ชาเคอร์ (Tupac Amaru Shakur) แร็ปเปอร์ผู้เป็นทั้งกวีและกบฏแห่งท้องถนน นั่งอยู่ในรถ BMW สีดำที่แล่นไปตามถนนสตริป กับ ซูจ ไนท์ (Suge Knight) ผู้ก่อตั้งค่ายเพลง Death Row Records หลังจากเพิ่งออกจากการชมการแข่งขันมวยคู่หยุดโลกระหว่าง Mike Tyson vs. Bruce Seldon ที่ MGM Grand ความร้อนแรงยังคงคุกรุ่น แต่ไม่ใช่จากเวที หากเป็นการทะเลาะวิวาทที่ทูพัคและพรรคพวกมีส่วนเกี่ยวข้องภายในโรงแรมก่อนหน้านี้
…เวลา 23.15 น. รถคันหนึ่งเคลื่อนมาประกบข้าง BMW ที่ทูพัคนั่งอยู่ กระจกถูกเลื่อนลง และเสียงปืน 13 นัดดังขึ้นอย่างโหดเหี้ยม ทูพัคถูกยิงเข้าที่อก แขน และต้นขา เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่ 6 วันต่อมา ในวันที่ 13 กันยายน 1996 เขาสิ้นลมหายใจด้วยวัยเพียง 25 ปี
…ตำรวจลาสเวกัสเปิดการสืบสวน แต่หลักฐานกลับเต็มไปด้วยคำถาม ไม่มีการจับกุม ไม่มีคำตอบชัดเจน ข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่ว เบื้องหลังการฆาตกรรมถูกโยงเข้ากับสงครามระหว่างสองฝั่งของวงการฮิปฮอป West Coast ที่ทูพัคและ Death Row ยืนอยู่ กับ East Coast ที่นำโดย Biggie Smalls (The Notorious B.I.G.) และค่าย Bad Boy Records ความบาดหมางระหว่างทั้งสองฝั่งกลายเป็นเชื้อไฟที่ผลักดันให้ความรุนแรงลุกลามเกินขอบเขตของดนตรี
แม้ทฤษฎีมากมายจะถูกนำเสนอ การแก้แค้นของแก๊ง, การหักหลังภายใน, หรือการสมรู้ร่วมคิดของวงการเพลง แต่จนถึงวันนี้ ไม่มีใครถูกตัดสินว่าฆ่าทูพัค
ทุกทฤษฎี ทุกข่าวลือ กลายเป็นเชื้อเพลิงในตำนานของเขา ทำให้ ทูพัค ชาเคอร์ ไม่ได้เป็นเพียงเหยื่อ แต่เป็นสัญลักษณ์ที่มีชีวิตเหนือความตาย
…ศิลปินที่เป็นมากกว่านักดนตรี
…การตายของทูพัคไม่ใช่เพียงข่าวดัง แต่เป็นเหมือน ภาพยนตร์โศกนาฏกรรมของอเมริกา เขาไม่ได้เป็นเพียงศิลปินที่ขายได้หลายล้านแผ่น แต่คือเสียงของคนชายขอบ เสียงของเด็กยากจนในสลัม และคนผิวสีที่ถูกระบบกดทับ
…เพลงของเขา เต็มไปด้วยบทกวีแห่งความโกรธ ความรัก และความสิ้นหวัง ทำให้เขากลายเป็นสัญลักษณ์ของวัฒนธรรมฮิปฮอปที่กำลังระเบิดพลังในยุคนั้น และการถูกยิงกลางถนนก็ยิ่งทำให้เขากลายเป็นตำนาน
…ลาสเวกัสในคืนนี้ยังคงสว่างด้วยแสงไฟนีออน แต่เมื่อมองผ่านเงามืด บาดแผลที่เสียงปืน 13 นัดฝากไว้ยังไม่เคยหายไปจากประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอเมริกัน
เหมือนหนังที่จบกลางฉาก คำถามยังคงอยู่ ใครกันที่เหนี่ยวไก และเราจะยอมให้ความจริงกลายเป็นเงาที่ถูกกลืนหายไปตลอดกาลหรือไม่…
โฆษณา