-ผลลัพธ์ที่ได้จากการทิ้งช่วงแค่ 1 ปี บวกกับงานทัวร์คอนเสิร์ตแสนรัดตัวในแบบที่หาเวลาที่ไหนไม่รู้ในการทำเพลง Jack Antonoff (อีกแล้วครับท่าน) และ John Ryan ยังคงเป็นนายหัวโปรดิวซ์เซอร์เช่นเคย แต่ดูเหมือนว่าถ้าแกยังมาอีกในชุดหน้า มันแทบไม่ต่างจากการกดสูตรซ้ำที่อาจทำให้เธอกร่อยจนตกขบวนกระแสเลยก็ได้
-สิ่งที่อัลบั้มนี้เป็นยังคงไม่มีอะไรใหม่ outfit ภาพจำชุดดิสโก้-ยูโรป็อปเรียบๆไม่เน้นโฉ่งฉ่างแปร๋นๆอันแสนคุ้นเคยอย่างที่พี่ Jack ปรุงให้คนอื่นมาแล้วนัดต่อนัด เพิ่มเติมด้วยเหล่าหางเครื่องที่มาเสริมท่วงท่าเตรียมการแสดงสดโดยเฉพาะ ซึ่งอัลบั้มนี้มีความเป็นแบนด์ที่พรั่งพรูขึ้นอย่างที่เธอว่าไว้จริง
-ดูอย่างซิงเกิ้ลเปิดตัว Tears ที่บิดบริบทบ่อน้ำตาแตกให้กลายเป็น “น้ำแตกตรงหว่างขา” อย่างวาบหวามเสียวซ่านเมื่อถึงจุดสุดยอด ท่วงทำนองดุ๊กดิ๊ก สำเนียงการร้องในเพลงนี้แตะความเป็น Ariana Grande เวอร์ชั่นไม่แผดเสียง
-House Tour ที่ยกระดับการชวนหนุ่มเข้าบ้านตามปกติให้กลายเป็นซีนหนังสุดอีโรติคแหกรอไว้แล้วตั้งแต่หน้าประตู เขย่าล่างเขย่าบนได้หมด ไม่หวั่นหากพื้นบ้านจะพัง เพราะทำประกันซ่อมบ้านมาแล้ว ไอเดียจินตนาการเซ็กส์ role play ชวนระลึกถึง International Lover ของ Prince ที่มีการจำลองการประกาศบนสายการบินที่ตกหลุมอากาศแบบใดให้กลายเป็น missionary แต่ของ Sabrina จำลองการทัวร์บ้านพิพิธภัณฑ์นั่นแหละ
-When Did You Get Hot? ท่วงท่า R&B ดุ่มๆเหล่ผู้ที่เคยเป็นของตาย แต่ตอนนี้เมื่อเวลาผ่านไปกลายเป็นหนุ่มสุดฮอตอย่างน่าดึงดูดเสียจนอยากชวนเล่นเกมส์ Twister ด้วยชุดวันเกิดอ่ะนะ
-หรือแม้กระทั่ง Don’t Worry I’ll Make You Worry ที่ท่วงทำนองเนิบๆ melodrama อึมครึมที่ควรจะจริงจังบ้าง แต่ก็ดันติดเล่น mind game เน้นสะใจผิดบริบทไปหน่อย
-My Man on Willpower ก็เป็นการจิกกัดคนที่หมกมุ่นและหลงตัวเองแปรเปลี่ยนเป็นคนที่ไม่ค่อยหลงไหลในตัวเธอเหมือนแต่ก่อน ยังคงติดเล่นหยอกเย้าความนกเขาไม่คันอยู่นั่นแหละ ทั้งๆที่มันมีมุม toxic ให้พอขยี้ได้บ้าง
-Nobody's Son ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่า “คุณแม่ขา เลี้ยงดูลูกชายยังไงให้เป็นคนเฬวขนาดนี้คะ” ที่ต่อให้พรั่งพรูด้วยลวดลายเครื่องสายชวนร่ายรำ กลับกลายเป็นการสลัดทิ้งความผิดหวังได้ง่ายดายจนเกินไป
-แต่มันก็มีตัวอย่างเพลงที่สามารถเป็นทั้งบัลลาดสุดเว้าวอนไปพร้อมๆกับ parody ได้แนบเนียนอย่าง We Almost Broke Up Again Last Night ที่หยอกล้อการมีความรักในยุคปัจจุบันที่มักจะป่าวประกาศตัดพ้อแฟนลงโซเชี่ยลประหนึ่งเตรียมบอกเลิก จนเพื่อนแสนดีบางคนก็คอยปลอบคอยเชียร์ให้มันเลิกกัน ในที่สุดก็กลับไปเอากับมันอย่างดูดดื่ม ไอ้เพื่อนกองเชียร์ก็กลายเป็นไอ้โบ้แดกเพดดีกรีกันถ้วนหน้า
-เพลงสาปแช่งขอให้ไม่มีใคร “เย” อย่าง Never Getting Laid เมื่อได้ฟังท่อนฮุกแล้วก็ร้อง อื้อหือ!!! ABBA มาเต็มเว้ยเห้ย ไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไม Amanda Seyfried ถึงออกปากอยากทาบทามให้ Sabrina มาร่วมรับบทนำในหนังเรื่อง Mamma Mia! ภาคต่อไป
-ถึงแม้ว่าจะพรั่งพรูด้วย live instrument ที่มากกว่าครั้งไหนๆก็ตาม แต่การปรุงรสความสนุกดังกล่าวกลับไม่ช่วยหลุดพ้นความวกวนในท่วงท่า ยิ่งเพลงไหนไปอยู่ในช่วงปลายม้วน ขาดความน่าค้นหาไปโดยปริยาย
-เพลงที่อยู่ช่วงปลายม้วนแล้วเริ่มกร่อยก็มีอย่าง Go Go Juice ที่มาแนวทาง Country Pop ก็ไม่สามารถเกิดความรู้สึกฉีกไปทางวาไรตี้แต่อย่างใด ไม่ต่างอะไรจากบริบทเพลงที่เมาแล้วชอบโทรหาแฟนเก่า ซักพักก็มลายหายไปผ่านแล้วผ่านเลย