11 ก.ย. เวลา 10:50 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] Man's Best Friend - Sabrina Carpenter >>> แสบกระสัน

-ตอนที่เธอให้สัมภาษณ์ว่า “นี่คืออัลบั้มที่ไม่เหมาะสำหรับคนจำพวก pearl clutchers” ผมเลยฉงนสนเท่ห์กับไอ้คำว่า pearl clutchers มากพิเศษ
-สำบัดสำนวนดูท่าจะเฟียส ประหนึ่งกำลังส่งสาสน์คนที่เคยวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่การเปิดตัวปกอัลบั้มที่บ่งบอกความมาโซคิสม์โดยไม่ต้องสงสัย ราวกับว่าพวกเขาเหล่านั้นแทบไม่ต่างจากเหล่าแม่ๆหัวโบราณทั้งหลายที่เห็นอะไรบัดสีบัดเถลิงแล้วรู้สึกรับไม่ได้ “อกอีแป้นจะแตก” ประมาณนั้น
-การทำตัวหัวโบราณของคนยุคดิจิตอลย่อมมาจากความรู้สึกอคติเป็นทุนเดิมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับ Sabrina เองก็ไม่ได้ยี่หระกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์นี้อยู่แล้ว
-ในเมื่อ Short n’ Sweet ได้ปูทางคาแรคเตอร์สาว horny สุดซุกซนปุ๊กปิ๊กไว้แล้ว Man's Best Friend ตอกย้ำความเงี่ยนได้เงี่ยนอีกในช่วงที่ต้องตีเหล็กตอนร้อน ไม่ตีตอนนี้จะร้อนอีกตอนไหน
-นั่นคงเป็นเหตุผลส่วนนึงในการไม่เกี่ยงเรื่องความถี่ที่ทิ้งช่วงแค่ 1 ปีเท่านั้น และเธอก็ไม่ถือสาด้วยว่าคนที่ติดตามผลงานจะรู้สึกเหนื่อยหน่ายจนไม่สามารถ catch up ได้ทันที พร้อมเมื่อไหร่ก็ฟัง ขนาดเธอเองก็ไม่ได้ตามเก็บ Frozen ภาคใหม่ทันทีที่ชนโรงเลยด้วยซ้ำ
-ผลลัพธ์ที่ได้จากการทิ้งช่วงแค่ 1 ปี บวกกับงานทัวร์คอนเสิร์ตแสนรัดตัวในแบบที่หาเวลาที่ไหนไม่รู้ในการทำเพลง Jack Antonoff (อีกแล้วครับท่าน) และ John Ryan ยังคงเป็นนายหัวโปรดิวซ์เซอร์เช่นเคย แต่ดูเหมือนว่าถ้าแกยังมาอีกในชุดหน้า มันแทบไม่ต่างจากการกดสูตรซ้ำที่อาจทำให้เธอกร่อยจนตกขบวนกระแสเลยก็ได้
-สิ่งที่อัลบั้มนี้เป็นยังคงไม่มีอะไรใหม่ outfit ภาพจำชุดดิสโก้-ยูโรป็อปเรียบๆไม่เน้นโฉ่งฉ่างแปร๋นๆอันแสนคุ้นเคยอย่างที่พี่ Jack ปรุงให้คนอื่นมาแล้วนัดต่อนัด เพิ่มเติมด้วยเหล่าหางเครื่องที่มาเสริมท่วงท่าเตรียมการแสดงสดโดยเฉพาะ ซึ่งอัลบั้มนี้มีความเป็นแบนด์ที่พรั่งพรูขึ้นอย่างที่เธอว่าไว้จริง
-แต่สิ่งที่มันเกินหน้าเกินตาโปรดักชั่นไปไกลคงหนีไม่พ้น คอนเทนท์เพลงสองแง่สองง่ามที่อาจทำให้พี่หน่วงเป็นอันต้องร้อง “อุ้ย” จนชาวเน็ตแคปเอาไปแชร์ quote แซ่บๆเรียก engagement ฉ่ำๆ ภาษาสองแง่สองง่ามและการเปรียบเปรยช่างสรรหาความจังรี้จังไรที่ไม่น่าเชื่อว่าไอเดียนี้ออกมาจากอดีตสาวดิสนี่ย์ ไม่แปลกที่ภาพลักษณ์การเป็นคนดิสนี่ย์ยังคงติดตัว ต่อให้จบการศึกษาไปแล้วก็โดนฝ่ายปกครองติเตียน เอาไม้เรียวฟาดรัวๆอยู่วันยังค่ำ
-ดูอย่างซิงเกิ้ลเปิดตัว Tears ที่บิดบริบทบ่อน้ำตาแตกให้กลายเป็น “น้ำแตกตรงหว่างขา” อย่างวาบหวามเสียวซ่านเมื่อถึงจุดสุดยอด ท่วงทำนองดุ๊กดิ๊ก สำเนียงการร้องในเพลงนี้แตะความเป็น Ariana Grande เวอร์ชั่นไม่แผดเสียง
-House Tour ที่ยกระดับการชวนหนุ่มเข้าบ้านตามปกติให้กลายเป็นซีนหนังสุดอีโรติคแหกรอไว้แล้วตั้งแต่หน้าประตู เขย่าล่างเขย่าบนได้หมด ไม่หวั่นหากพื้นบ้านจะพัง เพราะทำประกันซ่อมบ้านมาแล้ว ไอเดียจินตนาการเซ็กส์ role play ชวนระลึกถึง International Lover ของ Prince ที่มีการจำลองการประกาศบนสายการบินที่ตกหลุมอากาศแบบใดให้กลายเป็น missionary แต่ของ Sabrina จำลองการทัวร์บ้านพิพิธภัณฑ์นั่นแหละ
-When Did You Get Hot? ท่วงท่า R&B ดุ่มๆเหล่ผู้ที่เคยเป็นของตาย แต่ตอนนี้เมื่อเวลาผ่านไปกลายเป็นหนุ่มสุดฮอตอย่างน่าดึงดูดเสียจนอยากชวนเล่นเกมส์ Twister ด้วยชุดวันเกิดอ่ะนะ
-ผมเป็นคนไม่ซีเรียสกับการมีอยู่ของคอนเทนท์เพลงส่อทางเพศอย่างโจ๋งครึ้ม ผมยังคิดเลยว่า การที่ชาวเน็ตออกมาวิพากษ์วิจารณ์ปกอัลบั้มอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง คนเหล่านี้คิดมากจนเกินไป ประหนึ่งทั้งชีวิตยังไม่เคยผ่านเพลง Cardi B หรือ Sexy Redd เทียบเคียงใกล้สุดอัลบั้ม Virgin ของ Lorde ก็เจาะลึกเรื่องเพศอย่างไม่เหนียมอาย
-ความบันเทิงที่ดีไม่จำเป็นต้องมีคอนเทนท์เคร่งครัดในกรอบศีลธรรมเสมอไป เพราะสุดท้ายแล้วเพลงก็ทำหน้าที่ประโลมโลกให้คนลืมความหนักหน่วงในชีวิตเพียงชั่วครู่ ต่อให้มันจะเป็นคอนเทนท์น้ำดีหรือแย่ ความบันเทิงจะช่วยเป็นตัวกลางแห่ง work-life balance ที่ไม่ได้แปลว่าคนฟังโง่จนแยกอะไรจริงอะไรแต่งไม่ออกหรอกนะครับ
-ความบันเทิงเชิง horny ยังคงสร้างความสนุกแบบสะดีดสะดิ้งก็จริง แต่มันก็เป็นปัญหาในแง่ของการแย่งซีนในบางเพลงที่บดบังความรู้สึกลึกๆของสาวโสดที่เพิ่งเลิกรากับแฟนหนุ่มเมื่อปีกลาย มันจะมีเพลงที่มาเวย์ดราม่า แต่มันมักจะมีประโยคที่อดคิดเตลิดถึงเรื่องกามไม่ได้อยู่ร่ำไป
-เฉกเช่น Sugar Talking ที่ว่าด้วยผู้ชายปากหวานก้นเปรี้ยวที่มักจะพูดจาหวานๆนักเลงคีย์บอร์ดสวนทางกับการกระทำที่แลดูห่างเหินไม่แสดงออกอย่างชัดเจน ผมชอบมู้ดบัลลาดที่ชวนละห้อย แต่พอมีการสะกิดด้วยการหันก้นมาที่ฉันบ้างในท่อนฮุกเท่านั้นแหละ กลายเป็นว่าความน้อยเนื้อต่ำใจเลยถูกเบี่ยงเบนโดยอัตโนมัติ
-หรือแม้กระทั่ง Don’t Worry I’ll Make You Worry ที่ท่วงทำนองเนิบๆ melodrama อึมครึมที่ควรจะจริงจังบ้าง แต่ก็ดันติดเล่น mind game เน้นสะใจผิดบริบทไปหน่อย
-My Man on Willpower ก็เป็นการจิกกัดคนที่หมกมุ่นและหลงตัวเองแปรเปลี่ยนเป็นคนที่ไม่ค่อยหลงไหลในตัวเธอเหมือนแต่ก่อน ยังคงติดเล่นหยอกเย้าความนกเขาไม่คันอยู่นั่นแหละ ทั้งๆที่มันมีมุม toxic ให้พอขยี้ได้บ้าง
-Nobody's Son ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่า “คุณแม่ขา เลี้ยงดูลูกชายยังไงให้เป็นคนเฬวขนาดนี้คะ” ที่ต่อให้พรั่งพรูด้วยลวดลายเครื่องสายชวนร่ายรำ กลับกลายเป็นการสลัดทิ้งความผิดหวังได้ง่ายดายจนเกินไป
-แต่มันก็มีตัวอย่างเพลงที่สามารถเป็นทั้งบัลลาดสุดเว้าวอนไปพร้อมๆกับ parody ได้แนบเนียนอย่าง We Almost Broke Up Again Last Night ที่หยอกล้อการมีความรักในยุคปัจจุบันที่มักจะป่าวประกาศตัดพ้อแฟนลงโซเชี่ยลประหนึ่งเตรียมบอกเลิก จนเพื่อนแสนดีบางคนก็คอยปลอบคอยเชียร์ให้มันเลิกกัน ในที่สุดก็กลับไปเอากับมันอย่างดูดดื่ม ไอ้เพื่อนกองเชียร์ก็กลายเป็นไอ้โบ้แดกเพดดีกรีกันถ้วนหน้า
-เพลงสาปแช่งขอให้ไม่มีใคร “เย” อย่าง Never Getting Laid เมื่อได้ฟังท่อนฮุกแล้วก็ร้อง อื้อหือ!!! ABBA มาเต็มเว้ยเห้ย ไม่แปลกใจแล้วว่า ทำไม Amanda Seyfried ถึงออกปากอยากทาบทามให้ Sabrina มาร่วมรับบทนำในหนังเรื่อง Mamma Mia! ภาคต่อไป
-เดี๋ยวจะหาว่า ผมไม่เข้าใจเนเจอร์อัลบั้มนี้ที่เค้าจงใจเอ็นเตอร์เทนแบบประชดประชัน แต่มันก็อดคิดเปรียบเทียบไม่ได้ถึงมาตรฐานที่เริ่มลดหลั่นจากอัลบั้มที่แล้วที่สามารถบาลานซ์ความทีเล่นทีจริงได้ดีกว่าจนสามารถตกคนฟังอย่างผมได้ ขนาดซิงเกิ้ลชูโรง Manchild ก็ยังไม่ใช่ซิงเกิ้ลตัวตั้งตัวตีที่มีพลัง timeless hit ได้เทียบเท่า Espresso หรือ Please Please Please
-ถึงแม้ว่าจะพรั่งพรูด้วย live instrument ที่มากกว่าครั้งไหนๆก็ตาม แต่การปรุงรสความสนุกดังกล่าวกลับไม่ช่วยหลุดพ้นความวกวนในท่วงท่า ยิ่งเพลงไหนไปอยู่ในช่วงปลายม้วน ขาดความน่าค้นหาไปโดยปริยาย
-เพลงที่อยู่ช่วงปลายม้วนแล้วเริ่มกร่อยก็มีอย่าง Go Go Juice ที่มาแนวทาง Country Pop ก็ไม่สามารถเกิดความรู้สึกฉีกไปทางวาไรตี้แต่อย่างใด ไม่ต่างอะไรจากบริบทเพลงที่เมาแล้วชอบโทรหาแฟนเก่า ซักพักก็มลายหายไปผ่านแล้วผ่านเลย
-และการปิดท้ายด้วย Goodbye ก็ยังไม่หยุดที่จะดุ๊กดิ๊ก มันเลยทำให้โมเมนต์น้ำแตกแล้วแยกทางกลายเป็นความแผ่วไม่ได้ทิ้งเชื้อความรู้สึกทางลบหรือทางบวกอันแสนเริศใดๆไว้ จบแล้วจบกัน
-ผมก็เพิ่งรู้ว่าก่อนที่ Short n’ Sweet จะกลายเป็น phenomenon เป็นที่ประจักษ์ได้ เธอใช้เวลาถึง 2 ปีในการรังสรรค์ขึ้นมา ผมก็สามารถบอกได้ว่ามันเป็นระยะเวลาที่เหมาะสมในการตกผลึกจากความสัมพันธ์อันแสนสั้นที่ทั้งแซ่บและบอบบางได้ครบถ้วน
-fast forward มาที่ Man’s Best Friend ชื่อก็บอกอยู่ว่ามันเป็นการประชดประชันที่ค่อนข้างประนีประนอมพอสมควร มันคงไม่ใช่งานเพลงที่ขยี้ toxic relationship ในเชิง realistic มากขนาดนั้น ด้วยระยะเวลาแค่ 1 ปีกับตารางเวลาอันแสนแน่นเอี๊ยดของสาวฮอตเราเลยได้ความสนุกเชิง fantasy ที่แลกมากับความประเดี๋ยวประด๋าว ขาดความรู้สึกสุขปนเฮิร์ทระทมอย่างที่มนุษย์พึงมี
-การใช้ชื่ออัลบั้มในลักษณะนั้นและการบริหาร charisma ที่กำลังเจื้อยแจ้วร้อนแรงก็ถือเป็นการเอาตัวรอดที่ฉลาดใช้ได้ ในเมื่อความถี่ของเวลาไม่ใช่กฎตายตัวในการทำเพลง การยึดความสนุกเป็นหลัก ไอเดียมาเมื่อไหร่ก็จัดไป บางทีมันก็เป็นปาฏิหารย์ที่สามารถงัดมาใช้ได้ครั้งเดียวเหมือนกัน เช่นเดียวกับเคสของ Sabrina ที่ความเร่าร้อนนั้นมันจะโชกโชนได้แค่ครั้งนี้เท่านั้น หากเร่งไฟอีกล่ะก็ มันคงไม่ต่างจากการย่ำอยู่กับความสำเร็จเดิมๆที่จะมาแผดเผาตัวเธอให้สิ้นมนต์เสียเอง
เดี๋ยวความเก่งจะกลายเป็นความกร่อย
Top Tracks: Tears, We Almost Broke Up Again Last Night, Never Getting Laid, When Did You Get Hot?, House Tour
Give 7/10
Thx 4 Readin'
See Y’all
โฆษณา