23 ก.ย. เวลา 16:04 • สิ่งแวดล้อม

กักเก็บคาร์บอนใต้ดิน ไม่ได้ผลอย่างที่คิด ราคาแพง เก็บได้น้อย แถมก๊าซเสี่ยงรั่วกลับสู่ชั้นบรรยากาศ

“เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน” กลายเป็นหนึ่งในวิธีที่หลายประเทศใช้ป้องกันไม่ให้ “ก๊าซเรือนกระจก” ลอยขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน และหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหาสภาพภูมิอากาศเพิ่มขึ้น แต่ล่าสุดนักวิทยาศาสตร์กลับพบว่า ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ถูกกักเก็บไว้ใต้ดินมีน้อยกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้มาก และอาจรั่วไหลกลับสู่ชั้นบรรยากาศได้อีก หลังจากถูกปล่อยลงใต้ดินแล้ว
รายงานจากนักวิจัยจากอิมพีเรียลคอลเลจลอนดอนและทีมวิจัยนานาชาติ ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature พบว่าปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงจากแผ่นดินไหว ความล้มเหลวทางวิศวกรรม หรือข้อพิพาทเรื่องอาณาเขต จะทำให้สามารถกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ใต้ดินอย่างปลอดภัย ได้น้อยกว่า 1,500 กิกะตัน ซึ่งต่ำกว่าการประมาณการก่อนหน้าที่คำนวณไว้ 40,000 กิกะตัน
จากค่ามัธยฐานของสถานการณ์ที่วิเคราะห์โดย คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ IPCC ระบุว่า หากจะต้องการจำกัดภาวะโลกร้อนให้ไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียสก่อนยุคอุตสาหกรรม ตามที่กำหนดไว้ในข้อตกลงปารีสปี 2015 จะต้องกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 8.7 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี
แต่ปริมาณการกักเก็บทั้งหมดที่จะทำให้บรรลุเป้าหมาย กลับสูงกว่าขีดจำกัดความปลอดภัยที่นักวิทยาศาสตร์กำหนดไว้อย่างมาก ขึ้นอยู่กับความเร็วในการนำเทคโนโลยีไปใช้
โจเอรี โรเกลจ์ หนึ่งในผู้เขียนผลการศึกษาและผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของสถาบันแกรนแธมของอิมพีเรียล ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เขียนหลักของรายงานพิเศษของ IPCC กล่าวว่า การกักเก็บคาร์บอนไม่ควรถูกใช้เป็นวิธีหลักในการแก้ปัญหาโลกร้อน แต่ควรไปเป็นวิธีเสริม เพราะเป็นเครื่องมือที่มีข้อจำกัด ไม่สามารถกักเก็บคาร์บอนได้มากพอ
“ผู้กำหนดนโยบายควรวางแผนใช้การกักเก็บคาร์บอนเพื่อจำกัดผลกระทบของภาวะโลกร้อน ไม่ควรปล่อยใช้ไปอย่างสูญเปล่าไปกับการชดเชยมลพิษคาร์บอนไดออกไซด์ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและสามารถหลีกเลี่ยงได้จากการผลิตไฟฟ้าจากฟอสซิลหรือเครื่องยนต์สันดาปที่ล้าสมัย” โรเกลจ์กล่าวเสริม
ขณะที่แมทธิว กิดเดน นักวิจัยอาวุโสจาก IIASA และมหาวิทยาลัยแมริแลนด์ สหรัฐอเมริกา หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า “ด้วยแนวโน้มปัจจุบันที่บ่งชี้ว่าอุณหภูมิจะเพิ่มขึ้นถึง 3 องศาเซลเซียส ในศตวรรษนี้ การใช้แหล่งกักเก็บคาร์บอนที่ปลอดภัยเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถทำให้อุณหภูมิกลับมาอยู่ที่ 2 องศาเซลเซียส ได้”
แผนสภาพภูมิอากาศระดับชาติ เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายใน 25 ปี ของแต่ละประเทศ ต่างมีการใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนออกจากชั้นบรรยากาศและกักเก็บไว้ใต้ดิน ในระดับที่แตกต่างกันไป ซึ่งรวมไปถึงกระบวนการทางธรรมชาติ เช่น การปลูกป่าทดแทนหรือการปรับปรุงสุขภาพดิน แต่วิธีการเหล่านี้กักเก็บก๊าซคาร์บอนได้น้อยกว่า
บริษัทเทคโนโลยีผู้ก่อมลพิษรายใหญ่อย่าง Microsoft และ Amazon เป็นหนึ่งในบริษัทที่ลงทุนในโครงการกำจัดคาร์บอนด้วยเทคโนโลยี ด้วยการดูดหรือดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากอากาศ เมื่อมีการเผาไหม้ชีวมวลหรือเชื้อเพลิงฟอสซิลม้เพื่อผลิตไฟฟ้า หรือจากกระบวนการทางอุตสาหกรรม
เนื่องจากโครงการเหล่านี้มักจำเป็นต้องกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไว้ใต้ดิน ทำให้เกิดความท้าทายในด้านการกักเก็บ จากปัจจัยต่าง ๆ ทั้งต้นทุน วิศวกรรม ความพร้อมของพื้นที่ดินที่มีเสถียรภาพทางธรณีวิทยา และผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ เช่น มลพิษของน้ำใต้ดินจากกรดคาร์บอนิก
ทอม เคตเทิลตี นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด กล่าวว่า ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่น่าเชื่อถือต่างตระหนักและมีความโปร่งใสเกี่ยวกับข้อจำกัดเหล่านี้อยู่แล้ว ผลการวิจัยของ Nature ยังคงระบุว่ามีทรัพยากรสำรองที่สามารถนำมาใช้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้อีกหลายทศวรรษ
โดยทั่วไปแล้ว ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จะถูกกักเก็บไว้ใต้ดินในแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติที่ไม่ได้ใช้งานแล้ว หรือในชั้นหินที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ในประเทศที่ปล่อยมลพิษมากที่สุด เช่น รัสเซีย สหรัฐ จีน บราซิล ซาอุดีอาระเบีย และออสเตรเลีย ต่างมีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่มีศักยภาพในการกักเก็บก๊าซที่ปลอดภัย จึงควรต้องดำเนินการฝังคาร์บอนไว้ใต้ดินมากที่สุด
สิทธารถ โจชิ นักวิจัยจาก IIASA ผู้ร่วมเขียนบทความกล่าวว่า “ประเทศที่เคยมีส่วนทำให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุดในอดีต มักมีพื้นที่กักเก็บที่ใช้งานได้จริงมากที่สุด และต้องแสดงความเป็นผู้นำในการใช้ทรัพยากรนี้อย่างมีความรับผิดชอบ เพราะนี่ไม่แค่เรื่องการหาที่กักเก็บคาร์บอน แต่เป็นเรื่องของความยุติธรรมระดับนานาชาติ และส่งต่อโลกที่ดีให้คนรุ่นหลัง”
เพื่อลดการรั่วไหลให้น้อยที่สุด เอกสารฉบับนี้แนะนำให้ฉีดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ลงไปใต้ดินลึก 1-2.5 กิโลเมตร หรือที่ความลึกไม่เกิน 300 เมตร และในพื้นที่ที่มีกิจกรรมแผ่นดินไหวต่ำ ห่างจากแหล่งน้ำ พื้นที่คุ้มครองสิ่งแวดล้อม หรือพื้นที่พิพาท
อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น ในแต่ละปีมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 600,000 ตันถูกกักเก็บไว้ใต้ดินเท่านั้น ตามรายงานที่นำโดย Smith School of Enterprise and the Environment ของมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด
ขณะที่ เบน คาลเดคอตต์ ผู้อำนวยการ Oxford Sustainable Finance Group กล่าวว่า การประเมินความจุในการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของวิจัยนี้ ก็ยังคงสูงกว่าความเป็นจริง เนื่องจากไม่ได้คำนึงถึงข้อจำกัดทางเศรษฐกิจ เพราะเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนมีต้นทุนที่สูงมาก ไม่ใช่ทุกบริษัทจะยินดีจ่าย
โฆษณา