6 ชั่วโมงที่แล้ว • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

เปิดเบื้องลึกแผนการ 20 ปี ทำไมทุกบริษัทของ Elon Musk ต้องนำไปสู่จุดบรรจบเดียวกัน?

ถ้ามีคนบอกว่า “หุ่นยนต์” จะกลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ หลายคนคงคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว หรืออาจจะเป็นแค่คำพูดสวยหรูทางการตลาด
แต่ถ้าคนที่พูดประโยคนี้คือ Elon Musk ชายผู้สร้างรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ให้เป็นที่ยอมรับทั่วโลก และก่อตั้ง SpaceX จนส่งจรวดกลับมาใช้ซ้ำได้สำเร็จ เรื่องราวก็อาจจะแตกต่างออกไป
คำถามที่น่าสนใจจึงเกิดขึ้น.. ทำไมชายที่วุ่นอยู่กับการปฏิวัติอุตสาหกรรมยานยนต์และอวกาศ ถึงกับยอมทุ่มเท “พลังสมอง” ส่วนใหญ่ของเขาไปกับหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ที่ชื่อว่า Optimus?
เบื้องหลังโปรเจกต์ที่ดูเหมือนจะแยกขาดจากกัน ทั้งรถยนต์, จรวด, อินเทอร์เน็ตดาวเทียม และหุ่นยนต์ มันอาจจะมีภาพใหญ่ซ่อนอยู่ ภาพของแผนการที่ถูกวางไว้มานานกว่าทศวรรษ เพื่อเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าที่เราเคยจินตนาการ
เรื่องราวทั้งหมดอาจต้องย้อนกลับไปมองที่จุดเริ่มต้นของแต่ละบริษัท ที่ดูเหมือนจะแก้ปัญหาคนละเรื่อง แต่กลับมีดีเอ็นเอเดียวกันซ่อนอยู่ นั่นคือการแก้ปัญหาที่เป็นไปไม่ได้ ด้วยวิธีคิดแบบ First Principles Thinking หรือการมองปัญหาจากแก่นฟิสิกส์พื้นฐานที่สุด
Tesla ไม่ได้เริ่มต้นจากการคิดจะสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่ดีกว่า แต่เริ่มจากการตั้งคำถามว่า ทำไมเราจะสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าตื่นเต้นและมีประสิทธิภาพกว่ารถยนต์สันดาปไม่ได้?
เช่นเดียวกับ SpaceX ที่ไม่ได้มองว่าจะสร้างจรวดให้ถูกลงได้อย่างไร แต่มองว่าทำไมเราต้องทิ้งจรวดมูลค่าหลายพันล้านบาท หลังใช้งานแค่ครั้งเดียว ทำไมเราจะทำให้มันกลับมาใช้ซ้ำเหมือนเครื่องบินไม่ได้?
แนวคิดเดียวกันนี้ กำลังถูกนำมาใช้กับ Optimus หุ่นยนต์ที่ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นของเล่นโชว์เทคโนโลยี แต่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของโครงสร้างเศรษฐกิจโลก นั่นคือ “การขาดแคลนแรงงาน”
ในยุคที่หลายประเทศกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ และมีงานอีกมากมายที่อันตราย, น่าเบื่อ หรือหนักเกินกว่าที่มนุษย์ควรจะทำ Elon Musk มองว่า Optimus คือคำตอบ
ลองนึกภาพกองทัพแรงงานที่ไม่เคยเหนื่อย ไม่ต้องนอนหลับ และสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ตลอด 24 ชั่วโมงดูสิครับ มันคือการปฏิวัติ Productivity ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมเลยทีเดียว
แต่การจะสร้างหุ่นยนต์แบบนั้นขึ้นมาได้ มันคือความท้าทายในระดับที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
Elon Musk ยอมรับว่าส่วนที่ยากที่สุดคือ “มือ” มือของมนุษย์นั้นเป็นผลงานชิ้นเอกทางวิศวกรรมของธรรมชาติ มันสามารถทำงานที่ละเอียดอ่อนอย่างการเย็บผ้า ไปจนถึงการใช้กำลังอย่างการทุบค้อนได้ในมือเดียวกัน
การจะลอกเลียนแบบความสามารถนั้น ต้องอาศัยชิ้นส่วนที่เรียกว่า Actuator ซึ่งเปรียบเสมือนกล้ามเนื้อไฟฟ้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของข้อต่อทุกส่วน และน่าทึ่งที่ว่า ไม่มีซัพพลายเออร์รายใดในโลกที่ผลิตชิ้นส่วนตามสเปกที่พวกเขาต้องการได้
นั่นหมายความว่า Tesla ต้องย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง พวกเขาต้องออกแบบและสร้างห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) สำหรับหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมดจากศูนย์
ประสบการณ์จาก “นรกของการผลิต” (Manufacturing Hell) ในช่วงที่เร่งผลิตรถยนต์ Model 3 ได้สอนบทเรียนล้ำค่าให้กับพวกเขา มันคือความเจ็บปวดที่ทำให้ Tesla กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่เข้าใจการผลิตในสเกลใหญ่ได้ดีที่สุดในโลก
และประสบการณ์ทั้งหมดนั้น กำลังถูกถ่ายทอดมาสู่การสร้าง Optimus แต่ร่างกายที่สมบูรณ์แบบ ก็ยังต้องการสมองที่ชาญฉลาด แล้วสมองของ Optimus จะมาจากไหน?
คำตอบก็ซ่อนอยู่ในรถยนต์ Tesla ทุกคันที่วิ่งอยู่บนท้องถนนทั่วโลกนั่นเอง
หลายคนอาจเข้าใจว่าระบบ Full Self-Driving (FSD) ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อการขับขี่อัตโนมัติเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง มันคือโครงการวิจัยและพัฒนา AI ในโลกแห่งความเป็นจริงที่ใหญ่ที่สุดในโลก
รถยนต์ Tesla หลายล้านคันเปรียบเสมือน “หุ่นยนต์เก็บข้อมูล” ที่ติดตั้งกล้องและเซ็นเซอร์เพื่อเรียนรู้และทำความเข้าใจโลกที่วุ่นวายและคาดเดาไม่ได้ ข้อมูลการขับขี่หลายพันล้านไมล์ ถูกส่งกลับไปฝึกฝน AI บนซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของ Tesla
AI ที่เรียนรู้จากการหลบหลีกคนเดินเท้า, การอ่านสัญญาณไฟจราจร, หรือการตัดสินใจในเสี้ยววินาทีบนสี่แยกที่คับคั่ง คือสมองที่สมบูรณ์แบบที่สุดสำหรับหุ่นยนต์ที่จะต้องออกมาใช้ชีวิตและทำงานร่วมกับมนุษย์
และตอนนี้ Tesla กำลังจะยกระดับมันไปอีกขั้น ด้วยชิป AI5 รุ่นใหม่ ที่ Elon Musk บอกว่าอาจมีประสิทธิภาพสูงกว่ารุ่นปัจจุบันถึง 40 เท่า มันคือการก้าวกระโดดที่จะทำให้ทั้งรถยนต์และหุ่นยนต์ฉลาดขึ้นอย่างก้าวกระโดด
เมื่อนำร่างกายอย่าง Optimus ที่สร้างจากความเชี่ยวชาญด้านการผลิตของ Tesla มารวมกับสมอง AI ที่เกิดจากการเรียนรู้ในโลกจริงของ FSD เราก็จะได้ภาพของสิ่งมีชีวิตจักรกลที่สมบูรณ์แบบขึ้นมา
แต่คำถามต่อไปคือ แล้วจรวดของ SpaceX เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ได้อย่างไร?
ณ จุดนี้เอง ที่ภาพของจิ๊กซอว์ทั้งหมดจะเริ่มเชื่อมต่อกันเป็นภาพใหญ่
เป้าหมายสูงสุดของ SpaceX ไม่ใช่แค่การเป็นบริษัทขนส่งอวกาศ แต่คือการทำให้มนุษยชาติกลายเป็น “สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนหลายดาวเคราะห์” (Multiplanetary Species)
Elon Musk มองว่าการที่มนุษย์ทั้งเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่บนดาวเคราะห์เพียงดวงเดียว คือความเสี่ยงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มันเหมือนกับการวางไข่ทุกฟองไว้ในตะกร้าใบเดียว หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ไม่ว่าจะเป็นสงคราม, โรคระบาด, หรืออุกกาบาตพุ่งชน เรื่องราวของมนุษยชาติก็อาจจะจบลง
ทางรอดเพียงทางเดียว คือการสร้าง “แผนสำรอง” ด้วยการตั้งอาณานิคมที่สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่างยั่งยืนบนดาวเคราะห์ดวงอื่น และเป้าหมายแรกก็คือดาวอังคาร
กุญแจสำคัญที่จะทำให้ฝันนี้เป็นจริงได้ก็คือจรวดขนาดยักษ์ที่ชื่อว่า Starship มันถูกออกแบบมาให้เป็นระบบขนส่งที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ 100% ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการเดินทางสู่อวกาศลงได้อย่างมหาศาล
Starship ไม่ใช่แค่จรวด แต่คือ “รถบรรทุกแห่งอวกาศ” ที่สามารถขนส่งสัมภาระได้มากกว่า 100 ตันต่อเที่ยว และนี่คือจุดที่มันเชื่อมโยงกับ Optimus โดยตรง
การจะสร้างเมืองบนดาวอังคาร เราไม่สามารถส่งแค่นักบินอวกาศไปได้ เราต้องส่งโรงงาน, เครื่องมือ, แหล่งพลังงาน และที่สำคัญที่สุดคือ “แรงงาน” ที่จะไปบุกเบิกและสร้างโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมด
Optimus ถูกวางตัวให้เป็นกองทัพแรงงานชุดแรกที่จะถูกส่งไปยังดาวอังคาร พวกมันไม่ต้องหายใจ, ไม่ต้องการอาหาร และสามารถทำงานในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายได้ดีกว่ามนุษย์
ภาพในอนาคตคือฝูงบิน Starship ที่ขนส่งหุ่นยนต์ Optimus หลายพันตัวไปยังดาวอังคาร เพื่อสร้างทุกอย่างตั้งแต่ที่อยู่อาศัย, โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์, ไปจนถึงโรงงานผลิตเชื้อเพลิง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับวันที่มนุษย์จะเดินทางไปถึง
แต่การจะควบคุมกองทัพหุ่นยนต์และเมืองทั้งเมืองที่อยู่ห่างไกลออกไปหลายร้อยล้านกิโลเมตร จำเป็นต้องมีระบบสื่อสารที่ไร้รอยต่อ และนั่นคือหน้าที่ของจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย… Starlink
Starlink คือเครือข่ายอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้สัญญาณครอบคลุมทั่วทุกมุมโลก และในอนาคตก็จะขยายไปครอบคลุมระหว่างดาวเคราะห์ด้วย
มันคือ “ระบบประสาท” ที่จะเชื่อมต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทั้งรถยนต์ Tesla บนโลก, หุ่นยนต์ Optimus บนดาวอังคาร, และศูนย์ควบคุมภารกิจของ SpaceX ให้กลายเป็นเครือข่ายเดียวกัน
เมื่อมองภาพรวมทั้งหมด เราจะเห็นว่านี่ไม่ใช่แค่บริษัทเทคโนโลยีที่ประสบความสำเร็จ แต่คือระบบนิเวศที่ถูกสร้างขึ้นมาอย่างมีเป้าหมายและทำงานสอดประสานกันอย่างน่าทึ่ง
Optimus คือ “ร่างกาย” ที่เป็นแรงงาน
Tesla AI คือ “สมอง” ที่ใช้ในการตัดสินใจ
Starship คือ “ระบบขนส่ง” สำหรับการขยายอาณานิคม
Starlink คือ “ระบบสื่อสาร” ที่เชื่อมทุกอย่างเข้าไว้ด้วยกัน
ทั้งหมดนี้รวมกันเป็น “เครื่องจักรสำหรับขยายอารยธรรมมนุษย์” ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบคำถามที่ยิ่งใหญ่ที่สุด นั่นคืออนาคตและความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์เรา
Elon Musk เชื่อว่าโอกาสที่จะทำให้มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตหลายดาวเคราะห์นั้นยังเป็นไปได้อยู่ ซึ่งสถานการณ์ ณ ตอนนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 4.5 พันล้านปีของโลก และมันอาจจะไม่ได้มีโอกาสแบบนี้ยาวนานนัก
ไม่ว่าแผนการที่ยิ่งใหญ่นี้จะสำเร็จตามที่วาดฝันไว้หรือไม่ก็ตาม เรื่องราวของชายคนนี้ก็ได้เปลี่ยนวิธีคิดและขยายขอบเขตความเป็นไปได้ของมนุษย์ไปแล้ว
มันบังคับให้เราต้องเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และตั้งคำถามกับตัวเองว่า ในฐานะเผ่าพันธุ์หนึ่ง เราจะก้าวเดินไปในทิศทางไหนต่อไป
และนี่คงเป็นเหตุผลที่แท้จริง ว่าทำไมหุ่นยนต์ Optimus จึงอาจเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่ใช่เพราะเทคโนโลยีของมัน แต่เพราะมันคือตัวแทนของก้าวแรกในการเดินทางครั้งใหม่ของมนุษยชาติ สู่การเป็นอารยธรรมแห่งดวงดาวนั่นเองครับผม
References : [youtube/allin,tesla, spacex, starlink, techcrunch]
◤━━━━━━━━━━━━━━━◥
หากคุณชอบคอนเทนต์นี้อย่าลืม 'กดไลก์'
หากคอนเทนต์นี้โดนใจอย่าลืม 'กดแชร์'
คิดเห็นอย่างไรคอมเม้นต์กันได้เลยครับผม
◣━━━━━━━━━━━━━━━◢
ติดตามสาระดี ๆ อัพเดททุกวันผ่าน Line OA ด.ดล Blog
คลิกเลย --> https://lin.ee/aMEkyNA
รวม Blog Post ที่มีผู้อ่านมากที่สุด
——————————————–
ติดตาม ด.ดล Blog เพิ่มเติมได้ที่
=========================
โฆษณา