13 ก.ย. เวลา 12:52 • สุขภาพ

พิษสุนัขบ้า อันตรายมากกว่าที่คิด

ช่วงนี้มีรายงานการระบาดของเชื้อพิษสุนัขบ้าในหลายพื้นที่ของ กทม. ขอให้ผู้ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ระมัดระวัง และหากถูกสุนัขกัด ควรรีบพบแพทย์ทันที
ถึงแม้เชื้อพิษสุนัขบ้าจะอยู่กับเรามานานแล้ว แต่ผลกระทบและความอันตรายของเชื้อพิษสุนัขบ้าที่แท้จริง เป็นสิ่งที่ถูกสื่อสารออกไปสู่สังคมวงกว้างน้อยมากๆ ทำให้เกิดควาามเชื่อหลายอย่างเกี่ยวกับเชื้อพิษสุนัขบ้าที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) หรือที่รู้จักกันในชื่อ โรคกลัวน้ำ (Hydrophobia) ติดต่อหลักๆ แล้วคือการสัมผัสกับน้ำลายของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นพาหะของโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุนัข
1
โรคพิษสุนัขบ้ายังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตของประชากรโลกราว 55,000-59,000 รายต่อปี สำหรับประเทศไทย ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า ในปี พ.ศ. 2567 พบผู้เสียชีวิต 4 ราย และในปี พ.ศ. 2568 พบผู้เสียชีวิตแล้ว 7 ราย การเสียชีวิตเหล่านี้สามารถป้องกันได้เกือบทั้งหมด หากแต่เกิดจากความไม่รู้ และไม่ตระหนักถึงอันตรายที่แท้จริงของโรคพิษสุนัขบ้า
1
ทันทีที่เราถูกสุนัขกัด เชื้อพิษสุนัขบ้าจะเข้าสู่เซลล์กล้ามเนื้อบริเวณบาดแผลก่อน จากนั้นจะเดินทางผ่านรอยต่อของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ (neuromuscular junction) เพื่อเข้าสู่เส้นประสาท ผ่านกระบวนการ retrograde axonal transport
เชื้อพิษสุนัขบ้ามีความสามารถในการหลบหลีกการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน
ทำให้ในช่วงแรกที่ถูกสุนัขกัด จะไม่มีการแสดงอาการใดๆ และทำให้ ร่างกายไม่สามารถสร้างแอนติบอดีมาทำลายไวรัสได้ทัน
5
ระยะฟักตัวหลังการถูกกัดจะอยู่ประมาณ 1 สัปดาห์ถึง 3 เดือน ยิ่งบาดแผลอยู่ใกล้สมอง เช่น บริเวณใบหน้าหรือคอ ระยะฟักตัวก็จะยิ่งสั้นลง นอกจากนี้ความรุนแรงของบาดแผล ปริมาณเชื้อไวรัสที่ได้รับ ก็มีผลต่อระยะฟักตัวเช่นกัน จนเมื่อไวรัสแสดงอาการในระยะนำ ผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำ, ปวดศีรษะ, ปวดเมื่อยตามตัว, อ่อนเพลีย, คลื่นไส้อาเจียน, กระวนกระวาย, และนอนไม่หลับ อาการคัน, เจ็บ, หรือเสียวแปล๊บคล้ายเข็มทิ่มในบริเวณบาดแผลเดิมที่ถูกกัด แม้ว่าแผลถูกกัดจะหายและปิดไปแล้วก็ตาม
จนเมื่อเวลาผ่านไป อาการทางระบบประสาทจะยิ่งชัดเจนขึ้น ผู้ป่วยจะยิ่งมีอาการ
กลัวน้ำ (Hydrophobia) และกลัวลม (Aerophobia) จากการเกร็งและกระตุกของกล้ามเนื้อลำคอและกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหายใจเมื่อพยายามกลืนน้ำหรือถูกลมพัด กล้ามเนื้อกระตุก, ชัก, ประสาทหลอน, เพ้อคลั่ง, ก้าวร้าว, และอาละวาด และมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นต่างๆ เช่น แสง เสียง หรือการสัมผัส
1
ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงแบบอ่อนปวกเปียก (flaccid paralysis) ซึ่งมักจะเริ่มจากบริเวณที่ถูกกัดและค่อยๆ ลุกลามขึ้นไปตามเส้นประสาท เมื่ออาการทางระบบประสาทรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยจะเข้าสู่ระยะสุดท้าย ซึ่งมักจะหมดสติและเข้าสู่ภาวะโคม่า
1
สาเหตุการเสียชีวิตที่พบบ่อยที่สุดคือภาวะระบบหายใจล้มเหลวและหัวใจหยุดเต้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักเสียชีวิตภายใน 2 สัปดาห์หลังจากเริ่มแสดงอาการทางคลินิก ซึ่งเมื่อมีอาการเหล่านี้ ก็ไม่เหลือวิธีการรักษาใดๆที่จะทำให้ผู้ป่วยหายขาดได้แล้ว
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการตอบสนองที่รวดเร็วเมื่อสัมผัสหรือถูกกัดโดยสัตว์ที่ต้องสงสัยว่าจะเป็นพิษสุนัขบ้า เนื่องจากเป็นโรคที่สามารถป้องกันได้เกือบ 100% หากดำเนินการอย่างถูกวิธีและทันท่วงที แนวทางการป้องกันหลังสัมผัสโรค (PEP) ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่ การปฐมพยาบาลแผล, การให้ Rabies Immune Globulin (RIG) และการให้วัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ซึ่งควรทำโดยบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพที่สุด
1
การที่จำนวนผู้เสียชีวิตยังคงมีอยู่แสดงให้เห็นว่า ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การขาดแคลนวัคซีน แต่เป็นปัญหาเชิงพฤติกรรมและการเข้าถึงข้อมูล นอกจากนี้ สถานการณ์ในสัตว์ยังน่าเป็นห่วง เนื่องจากยังคงพบการติดเชื้อในสัตว์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสุนัข และยังพบการติดเชื้อในสัตว์เศรษฐกิจอย่างวัวและกระบือ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงจากการสัมผัสและบริโภคอาหารดิบ
ปัญหาโรคพิษสุนัขบ้า จะหมดไปได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ร่วมกับการสร้างความตระหนักให้กับประชาน การบูรณาการแก้ปัญหาร่วมกัน เพื่อให้เป้าหมายการกำจัดโรคพิษสุนัขบ้าหมดไปในปี 2573 เป็นจริงได้(มั้ยนะ?)
อ้างอิง
โฆษณา