14 ก.ย. เวลา 06:40 • ข่าวรอบโลก

🇺🇸🔥 “กดดันด้วยพลังงาน”: ทรัมป์ขู่คว่ำบาตรรัสเซียรอบใหญ่ หากชาตินาโต้หยุดซื้อ “น้ำมันรัสเซีย”

🇺🇸🔥 “Energy Leverage”: Trump says he’s “ready” to sanction Russia if NATO stops buying its oil
ทรัมป์โพสต์บน Truth Social ย้ำว่า “พร้อม” เดินหน้าคว่ำบาตรรัสเซียครั้งใหญ่ แต่มีเงื่อนไขว่า ชาติสมาชิกนาโต้ต้อง “ตกลงและเริ่ม” หยุดซื้อน้ำมันรัสเซียก่อน พร้อมโยนไอเดียเก็บภาษีนำเข้าจีน 50-100% เพื่อบั่นทอนอิทธิพลทางเศรษฐกิจที่ “หนุน” รัสเซีย โดยเขาทิ้งท้ายในจดหมายถึงพันธมิตรว่า “I am ready to ‘go’ when you are.”
ขณะเดียวกัน ความตึงเครียดชายแดนตะวันออกนาโต้พุ่ง จากเหตุโดรนรัสเซียล้ำแดนโปแลนด์ต่อเนื่อง ทำให้โปแลนด์ต้องยกระดับป้องกันทางอากาศและปิดสนามบินหนึ่งช่วงสั้นๆ เหตุการณ์ถูกสหรัฐและนาโต้มองว่า “อันตรายและยกระดับความเสี่ยง” แม้มอสโกปฏิเสธเจตนามุ่งเป้าโปแลนด์ก็ตาม
ในเชิงโครงสร้าง ยุโรปลดพึ่งพาพลังงานรัสเซียลงอย่างมากตั้งแต่ปี 2022 สัดส่วนก๊าซรัสเซียในการนำเข้าของ EU ลดจาก 45% เหลือคาดการณ์ 13% ในปี 2025 (หลังยุติทรานซิตผ่านยูเครน) และสัดส่วนน้ำมันรัสเซียหดเหลือเพียงตัวเลขหลักหน่วยแล้ว แต่ยัง “ไม่เป็นศูนย์” ตามเอกสารของคณะกรรมาธิการยุโรปและบทวิเคราะห์ภาคอุตสาหกรรมไฟฟ้า นั่นคือพื้นที่ที่ทรัมป์พยายาม “ปิดประตูด่านสุดท้าย” ผ่านแรงกดดันแบบพหุภาคี
ศูนย์วิจัยพลังงานและอากาศสะอาด (CREA)ประเมินว่า นับแต่สงครามบานปลายในปี 2022 ยุโรปยังคงจ่ายเงินซื้อน้ำมัน/ก๊าซรัสเซียหลายหมื่นล้านยูโรต่อปี แม้จะลดลงมากแล้ว ตัวเลขเหล่านี้คือ “เชื้อเพลิงงบสงคราม” ของเครมลินในสายตาวอชิงตัน และคือเหตุผลด้านเศรษฐศาสตร์การคว่ำบาตรที่ทรัมป์ชูขึ้นมาในรอบนี้
🧭 เกมต่อรอง 3 ชั้น (นาโต้-จีน-ตุรกี)
🧩 ชั้นที่ 1 - นาโต้รวมพลัง:
ทรัมป์อยากให้นาโต้หยุดซื้อน้ำมันจากรัสเซียพร้อมกันทั้งหมด เพื่อให้ผลคว่ำบาตรแรงสุดๆ เหมือนกดปุ่มพร้อมกันทั่วทั้งกลุ่ม
🧩 ชั้นที่ 2 - กดดันจีน:
ทรัมป์ยังขู่จะเก็บภาษีสินค้าจีน 50-100% เพื่อบีบจีนทางอ้อม เพราะจีนยังมีบทบาทช่วยรัสเซียด้านเศรษฐกิจ ถ้าภาษีเกิดขึ้นจริง ของใช้หลายอย่างทั่วโลกอาจแพงขึ้น แต่ก็เป็นแรงผลักให้หลายบริษัทหนีจีนมาผลิตในอาเซียนมากขึ้น
🧩 ชั้นที่ 3 - ปมตุรกี:
โจทย์ยากที่สุดคือ ตุรกี ซึ่งยังซื้อน้ำมันรัสเซียเยอะ ถ้าจะให้หยุดจริงๆ ไม่ง่ายเลย เพราะตุรกีมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับมอสโกมากกว่านาโต้ประเทศอื่น
🌏 ผลสะเทือนไทย: เงินเฟ้อเชื้อเพลิง-ค่า Ft-ซัพพลายเชนย้ายบ้าน
⛽ ค่าน้ำมัน-ค่าครองชีพ:
ถ้าน้ำมันแพงขึ้น ค่าใช้จ่ายเดินทางก็สูงขึ้นตาม ทั้งค่าน้ำมันรถ ค่าแท็กซี่ ค่าขนส่งสินค้า → ราคาของกินของใช้ในห้างหรือร้านสะดวกซื้อก็อาจขยับขึ้น
⚡ ค่าไฟ (ค่า Ft):
ไทยใช้ก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าจำนวนมาก ถ้าก๊าซนำเข้าแพงขึ้น ค่าไฟของบ้านเราก็มีโอกาสสูงขึ้นด้วย → กระทบตรงกับบิลค่าไฟที่คนทั่วไปต้องจ่ายทุกเดือน
🏭 ซัพพลายเชนย้ายบ้าน (China+1):
ในอีกมุมหนึ่ง นี่อาจเป็นโอกาสของไทย เพราะถ้าบริษัทยักษ์ใหญ่ย้ายฐานผลิตจากจีนมาอาเซียน ไทยอาจได้โรงงานใหม่ๆ เกิดการจ้างงาน และรายได้กระจายสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น
📝 หมายเหตุ: “China+1” หมายถึงกลยุทธ์ที่บริษัทยักษ์ใหญ่กระจายฐานการผลิต ไม่พึ่งพาจีนเพียงประเทศเดียว แต่เพิ่มอีก 1 ประเทศหรือมากกว่า เช่น ไทย เวียดนาม หรืออินเดีย เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มความมั่นคงของซัพพลายเชนโลก
📈 Ripple Effect ต่อหุ้นไทย — คลื่นสะเทือนถึงบ้านเรา
🛢️ กลุ่มโรงกลั่นน้ำมัน
TOP (ไทยออยล์), BCP (บางจาก คอร์ปอเรชั่น), SPRC (สตาร์ ปิโตรเลียม รีไฟน์นิ่ง), IRPC (ไออาร์พีซี)
ถ้าหยุดซื้อน้ำมันรัสเซียจริง ส่วนต่างกำไรการกลั่นน้ำมันอาจเพิ่มขึ้นเร็ว แต่ก็เสี่ยงขาดทุนถ้าราคาน้ำมันพุ่งแล้วตกฮวบ
⚡ กลุ่มโรงไฟฟ้า
GPSC (โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่), BGRIM (บี.กริม เพาวเวอร์), GULF (กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์)
ต้นทุนก๊าซสูงขึ้นกดดันกำไร โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่ขายตรงให้โรงงาน แต่โรงไฟฟ้าที่มีสัญญาขายไฟกับรัฐจะกระทบน้อยกว่า
⛽ ค้าปลีกน้ำมัน
OR (ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก)
กำไรขายน้ำมันอาจถูกบีบ แต่ยังมีรายได้จากธุรกิจอื่น เช่น คาเฟ่อเมซอน และร้านค้าในปั๊มช่วยพยุงได้
⛏️ พลังงานขุดเจาะ
PTTEP (ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม)
ราคาน้ำมันโลกที่สูงขึ้นถือว่าเป็นผลบวกตรงๆ เพราะขายได้แพงขึ้น เงินสดไหลเข้าเพิ่ม
🚢 เดินเรือ
PRM (พริมา มารีน)
รัสเซียส่งน้ำมันอ้อมไปไกลขึ้น เรือใช้งานมากขึ้น → ค่าขนส่งสูงขึ้น PRM ได้ประโยชน์เต็มๆ
🏭 นิคมอุตสาหกรรม
WHA (ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น), AMATA (อมตะ คอร์ปอเรชัน)
หากภาษีจีนกดดัน โรงงานต่างชาติย้ายฐานมาที่ไทย ความต้องการที่ดินนิคมเพิ่ม หุ้นกลุ่มนี้ได้แรงหนุน
✈️ สายการบิน
AAV (เอเชีย เอวิเอชั่น), BA (การบินกรุงเทพ)
น้ำมันแพง = ต้นทุนบินสูง อาจต้องขึ้นราคาตั๋วเพื่อชดเชยค่าใช้จ่าย
🧠 มุมคิดต่อยอดสำหรับผู้อ่าน
🌍 เรื่องพลังงานของโลกไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลย เวลาน้ำมันขึ้นลง มันส่งผลถึงค่าน้ำมันที่เราจ่าย ค่าไฟฟ้าที่เราใช้ และแม้กระทั่งราคาของกินของใช้ที่ต้องขนส่งมาให้เรา
💡 เวลาประเทศใหญ่ๆ อย่างสหรัฐ รัสเซีย หรือกลุ่มนาโต้ มีการกดดันกันด้วย “น้ำมัน-พลังงาน” เราควรถามตัวเองว่า “สุดท้ายแล้วกระเป๋าเงินของคนธรรมดาอย่างเรา จะได้รับผลอย่างไร?”
📊 สำหรับคนที่ลงทุนในหุ้นหรือธุรกิจ แม้ไม่ได้อยู่ในตลาดน้ำมันโดยตรง ก็ต้องมองให้กว้าง เพราะเรื่องนี้กระทบไปถึงโรงกลั่น โรงไฟฟ้า การขนส่ง การบิน ไปจนถึงนิคมอุตสาหกรรมที่รองรับโรงงานใหม่ๆ
🔎 มุมที่น่าสนใจคือ บริษัทไทยที่ได้โอกาสจากการที่ต่างชาติย้ายฐานการผลิต (China+1) อาจเป็น “ผู้ชนะใหม่” ในระยะยาว ขณะที่ธุรกิจที่พึ่งพาน้ำมันมากๆ ก็ต้องหาทางปรับตัว
💬 ชวนคุย
เมื่อประเทศมหาอำนาจเล่นเกมการเมืองด้วย “น้ำมัน” ผลกระทบมันไหลย้อนถึงเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมัน ค่าไฟ ค่าเดินทาง หรือแม้แต่ราคาของกินของใช้ที่ขยับขึ้นตาม
👉 คุณคิดว่าถ้าน้ำมันแพงขึ้นจริงๆ เราควรปรับตัวอย่างไร?
- ใช้น้ำมันให้น้อยลง เปลี่ยนพฤติกรรมการเดินทาง?
- หันมาสนใจพลังงานสะอาดและรถไฟฟ้ามากขึ้น?
- หรือมองว่านี่เป็นโอกาสใหม่ของธุรกิจไทยในบางกลุ่ม?
มาลองแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันดูค่ะ ว่าคุณมองเรื่องนี้ในมุมของ “ผู้ใช้ชีวิตประจำวัน” หรือ “นักลงทุน” แตกต่างกันอย่างไร 👇
🔖 Hashtags:
#SuperpowerStage #เวทีมหาอำนาจ #GlobalPolitics #NATO #Russia #Sanctions #EnergyGeopolitics #Oil #China #Tariffs #Ukraine #Europe #Poland #สงครามเศรษฐกิจการเมือง #WorldScope #StockAtlas #GlobMaps

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา