15 ก.ย. เวลา 04:00

เมื่อการโทษคนอื่น กลายเป็นยาพิษของทีม บทความโดย รวิศ หาญอุตสาหะ

อาทิตย์ที่แล้วผมไปฟัง Ted Talk ของ Michael Timms เกี่ยวกับสไตล์ผู้นำมาครับ เขาเริ่มด้วยเรื่องเล่าที่ผมคิดว่าทุกครอบครัวต้องเคยเจอแน่ๆ
เขาเล่าว่าพ่อแม่ทุกคนต้องเคยประสบปัญหาในการพาลูกๆ ออกจากบ้านให้ทันเวลา ซึ่งเขาเปรียบว่ามันเหมือนการต้อนแมว บ้านของคุณ Michael มีลูกสาวสามคน และการจะทำให้ทั้งสามคนออกจากบ้านตรงเวลาแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
เขายกตัวอย่างให้เห็นภาพว่า "ก่อนจะต้องออกจากบ้านไปงานสำคัญห้านาที ผมเจอลูกสาวคนโตอยู่ที่ระเบียงกำลังอ่านหนังสือ ลูกสาวคนกลางกำลังเล่นเปียโน และลูกสาวคนเล็กยังไม่ใส่ถุงเท้า ผมจึงบอกพวกเขาว่า 'หยุดอ่าน หยุดเล่นเปียโน ใส่ถุงเท้า แล้วทุกคนขึ้นรถ' ห้านาทีผ่านไป ไม่มีใครอยู่ในรถเลย
1
ระหว่างที่ผมกำลังจะไปช่วยลูกสาวคนเล็กใส่ถุงเท้า ผมสังเกตเห็นลูกสาวคนโตยังคงอยู่ที่ระเบียงและกำลังอ่านหนังสือ ตอนนี้ผมเริ่มหัวเสียแล้ว คำตอบของเธอคือ 'หนูไม่ได้ยินค่ะ' แต่ก่อนที่ผมจะพูดอะไร ผมก็ได้ยินเสียงเปียโนดังขึ้นอีกครั้ง และแน่นอนว่าหลังจากนั้นผมก็สติแตก"
ผมเชื่อว่าพ่อแม่ส่วนใหญ่ Relate กับเรื่องนี้ได้ไม่ยาก Michael บอกว่าเขาแค่อยากให้ลูกสาวรับผิดชอบเรื่องการออกจากบ้านให้ทันเวลาบ้าง
แต่แล้วเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตัวเขานั้นไม่ได้รับผิดชอบต่อปัญหานี้เลย เขาโทษลูกสาวทั้งหมด ดังนั้นเขาจึงลองใช้วิธีที่แตกต่างออกไปและมองย้อนกลับมาที่ตัวเอง
อะไรที่ตัวเขาทำหรือไม่ได้ทำที่อาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้? แล้วเขาก็นึกออก เขารู้อยู่แล้วว่าลูกๆทั้งสามต้องทานอาหารเช้า แต่งตัว เตรียมตัว และพร้อมออกจากบ้านเมื่อไหร่ แต่ลูกๆรู้หรือเปล่า? ในห้องน้ำของพวกเธอไม่มีนาฬิกา ซึ่งสำหรับเด็กสาววัยรุ่น เวลาในห้องน้ำแทบจะเป็นอีกมิตินึงที่เวลาเคลื่อนที่ช้ากว่าโลกจริงเป็นสิบเท่า
วิธีการแก้ปัญหาคือ ติดนาฬิกาขนาดใหญ่ไว้ในห้องน้ำ และทุกที่ๆ และติดตารางเวลาไว้ในพื้นที่ส่วนกลางของบ้าน ปรากฏว่าปัญหาดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ แน่นอนว่าการสายยังมีอยู่บ้างแต่มันน้อยลงมากๆ
Michael บอกว่าผู้นำทั้งหลายติดกับดักคล้ายๆแบบนี้นั่นคือ "การโทษคนอื่นสำหรับปัญหาโดยไม่พิจารณาถึงส่วนของตัวเองในนั้น" ซึ่งเขาบอกว่ามันสามารถแก้ไขได้อย่างเรียบง่าย ถ้าเราฝึกสิ่งที่เรียกว่า "3 นิสัยแห่งความรับผิดชอบส่วนบุคคล"
อันประกอบไปด้วย นิสัยที่ 1 อย่าโทษคนอื่น นิสัยที่ 2 มองย้อนกลับมาที่ตัวเอง นิสัยที่ 3 ออกแบบวิธีแก้ปัญหา
ลำดับของนิสัยเหล่านี้มีผลเกือบจะมหัศจรรย์ต่อพฤติกรรมของคนอื่น แต่สิ่งนี้ ไม่ได้มีไว้สำหรับ CEO และผู้จัดการเท่านั้น แต่ยังใช้ได้ในฐานะพ่อแม่ เพื่อนร่วมงาน หรืออาสาสมัครอีกด้วย เราลองมาดูรายละเอียดกัน
นิสัยที่ 1 อย่าโทษคนอื่น
ลองนึกถึงครั้งสุดท้ายที่คุณโทษใครบางคนสำหรับบางสิ่ง มันจบลงอย่างไร? เชื่อว่าไม่ค่อยดีเท่าไรหรอกใช่ไหม นั่นเป็นเพราะสมองของเราตีความการถูกกล่าวโทษเหมือนกับการถูกทำร้ายทางกายภาพเลย
การโทษกระตุ้นการตอบสนองแบบสู้หรือหนี ซึ่งปิดการทำงานของสมองส่วนหน้า ซึ่งสมองส่วนหน้านั้นเป็นส่วนที่เก่งและมีเอาไว้ใช้แก้ปัญหา การที่เรากล่าวโทษคนอื่นเท่ากับว่าเราไปปิดสมองส่วนนี้ของเขาซะ
มีงานวิจัยของ Dr. Amy Edmondson ได้ศึกษาทีมในโรงพยาบาลเพื่อดูว่าวัฒนธรรมส่งผลต่อความเต็มใจของผู้คนในการรายงานข้อผิดพลาดทางการแพทย์อย่างไร เธอคาดว่าทีมที่มีประสิทธิภาพสูงจะทำผิดพลาดน้อยกว่า แต่ที่น่าประหลาดใจคือ พวกเขารายงานข้อผิดพลาดมากกว่า ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเมื่อผู้คนไม่ถูกตำหนิสำหรับปัญหา พวกเขาจะเต็มใจที่จะยอมรับความผิดพลาดของตนเองและเรียนรู้จากมันมากขึ้น
แต่ในวัฒนธรรมที่ชอบโทษ ผู้คนจะปิดบังปัญหาหรือชี้นิ้วไปที่คนอื่น ไม่มีใครจะรับผิดชอบถ้าพวกเขาคิดว่าจะถูกตำหนิ การโทษทำลายการทำงานเป็นทีม การแก้ปัญหา การเรียนรู้ และความคิดริเริ่ม กล่าวอีกนัยหนึ่ง "การโทษทำลายความรับผิดชอบ"
1
นิสัยที่ 2 มองย้อนกลับมาที่ตัวเอง
พวกเราส่วนใหญ่เก่งมากในการสังเกตข้อผิดพลาดของคนอื่น แต่เราไม่ค่อยเก่งในการสังเกตว่าเราก่อให้เกิดปัญหาอย่างไร เหมือนสุภาษิตโบราณที่ว่า "ความผิดคนอื่นเท่าขุนเขา ความผิดเราเท่าเส้นผม"
เรื่องนี้ผมเคยประสบกับตัวเองเลย ครั้งหนึ่งผมเคยให้ลูกน้องแก้ไขสัญญาที่เร่งมากๆ และเป็นเอกสารที่เยอะมากด้วย แต่ลูกน้องผมพลาดจุดที่สำคัญมากที่สุดไปหนึ่งจุดจากสองจุด แต่ที่เหลือที่เป็นเรื่องไม่ค่อยสำคัญอีก 30 จุดนั้นถูกต้องดี
แน่นอนมันสร้างความเสียหายมาก และลูกน้องผมก็รู้สึกผิดมาก แต่มาคิดดูจริงๆแล้ว ผมก็ส่วนผิดเหมือนกัน เพราะผมไม่ได้บอกว่าจุดไหนเป็นจุดสำคัญที่ต้องโฟกัสก่อน และเมื่อเขาไม่รู้ เขาเลยพยายามแก้ทุกอัน ในเวลาที่เร่งสุดๆ มันก็เลยผิด เพราะฉะนั้นจริงๆผมมีส่วนผิดในเรื่องนี้ด้วยเต็มๆ
ครั้งต่อไปเมื่อคุณเจอปัญหาทำนองนี้ ลองถามตัวเองว่า "เราอาจมีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้อย่างไร?" Micheal เล่าว่า เขาสอนหลักการเหล่านี้ให้กับบริษัทก่อสร้างแห่งหนึ่ง และติดตามผลสองสามสัปดาห์ต่อมาเพื่อดูว่าสิ่งต่างๆ เปลี่ยนไปอย่างไร ผู้จัดการโครงการคนหนึ่งมาเล่าให้ฟัง
ปกติ CEO ของเราชอบโทษคนอื่นมาก และการประชุมทีมมักจะกลายเป็นการประชุมเพื่อโทษกัน ประชุมเพื่อหาคนผิด แต่ในสัปดาห์หลังจากที่ได้เรียนเรื่อง "3 นิสัยแห่งความรับผิดชอบส่วนบุคคล" การประชุมนั้นเป็นไปอย่างแตกต่างมาก
เมื่อ CEO ระบุปัญหา เขากำลังจะโจมตีคนที่เขาคิดว่าต้องรับผิดชอบ แต่แล้วเขาก็หยุด เอามือกุมหัวชั่วครู่ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและพูดว่า "นี่คือวิธีที่ผมคิดว่าผมมีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้" บรรยากาศในการประชุมนั้นเปลี่ยนไปทันที และสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็เกิดขึ้น คนอื่นๆ เริ่มยกมือขึ้นพูดว่า "ไม่ใช่ความผิดของบอสอย่างเดียว นี่คือวิธีที่ผมคิดว่าผมมีส่วนทำให้เกิดปัญหานี้"
เมื่อผู้นำยอมรับส่วนของตนในปัญหาก่อน มันทำให้คนอื่นๆ รู้สึกปลอดภัยที่จะทำเช่นเดียวกัน เพราะเรื่องจริงๆก็คือเวลาลูกน้องเราทำผิด ยังไงมันก็ส่วนที่มันเกี่ยวกับการประพฤติของตัวเราไม่ว่าทางตรงก็ทางอ้อมอยู่แล้ว
นิสัยที่ 3 ออกแบบวิธีแก้ปัญหา
สมองของเรามีแนวโน้มที่จะโทษคนที่อยู่ใกล้กับปัญหาที่สุด และมองข้ามสาเหตุอื่นๆ ซึ่งทำให้คนที่อยู่ใกล้ปัญหานั้นซวยที่สุดเสมอ เราสามารถจัดการเรื่องนี้ได้โดยใช้วิธีที่เรียกว่า "การคิดเชิงระบบ" ซึ่งเป็นการสังเกตว่าสภาพแวดล้อมและกระบวนการมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมอย่างไร
ยกตัวอย่างการคิดเชิงระบบเกิดขึ้นในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง เมื่อกองทัพอากาศสหรัฐฯ สังเกตเห็นว่าเครื่องบินของพวกเขาจำนวนมากตกโดยไม่มีปัญหาทางเครื่องยนต์กลไกแต่อย่างใด และเครื่องบินก็อยู่ในสภาพสมบูรณ์สุดๆ ข้อสรุปของพวกเขาคือ "นักบินของเราโง่" พวกเขาจึงว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อช่วยคัดเลือกนักบินที่มีแนวโน้มจะทำผิดพลาดน้อยลง
เมื่อที่ปรึกษาสืบสวน พวกเขาพบว่าไม่ใช่ปัญหาที่นักบิน แต่เป็นปัญหาที่ Cockpit ตัวอย่างเช่น นักบินสับสนกับคันโยกเกียร์ที่ดูและรู้สึกเหมือนกันถ้าอยู่ติดกัน หรือพวกเขาสับสนกับการควบคุมถ้าอยู่ในตำแหน่งที่แตกต่างกันในเครื่องบินรุ่นอื่น ที่ปรึกษาสรุปว่า ออกแบบ Cockpit ให้ดีขึ้น แล้วคุณจะมีอุบัติเหตุน้อยลง ดังนั้นกองทัพอากาศสหรัฐฯ จึงออกแบบวิธีแก้ปัญหาโดยทำให้การออกแบบ Cockpit ให้ใช้งานง่ายขึ้น แล้วมันก็ได้ผลจริงๆด้วย
บางทีเราต้องอย่าโทษตัวบุคคลแต่เราต้องสังเกตเห็นปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของพวกเขา แทนที่จะถามว่า "นี่เป็นความผิดของใคร?" ให้ถามว่า "กระบวนการเกิดข้อบกพร่องตรงไหน?" คำถามนี้คืออาวุธลับของคุณที่จะหยุดเกมการโทษและหาทางแก้ปัญหาที่ยั่งยืน
เราไม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นรับผิดชอบได้จนกว่าเราจะเป็นแบบอย่างด้วยตัวเอง ครั้งต่อไปเมื่อเจอปัญหา ใช้หลัก "3 นิสัยแห่งความรับผิดชอบส่วนบุคคล" อย่าโทษคนอื่น มองย้อนกลับมาที่ตัวเอง ออกแบบวิธีแก้ปัญหา สิ่งที่จริงเสมอ ไม่ว่าจะกับใครก็ตามคือ เมื่อเราทำพฤติกรรมเหล่านั้นเป็นแบบอย่าง คนรอบข้างคุณก็จะทำตามด้วย ราวกับเวทมนต์เลยทีเดียว เพราะฉะนั้นจงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คุณอยากเห็น
เหมือนที่ Marshall Goldsmith กล่าวไว้ว่า "One of the most important actions, things a leader can do, is to lead by example. If you want everyone else to be passionate, committed, dedicated, and motivated, you go first!"
หรือแปลง่ายๆ ได้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้นำควรทำคือ เป็นตัวอย่างที่ดี ถ้าอยากให้ทีมงานมีไฟ มีใจรัก ทุ่มเท และมีแรงบันดาลใจ ตัวคุณเองต้องแสดงให้เห็นก่อน
บทความโดย รวิศ หาญอุตสาหะ
1
#RawitsThought
#Leadership
#Accountability
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
โฆษณา